ลานจอดรถของบริษัทกว้างมากพอๆ กับลานจอดรถภายในห้างสรรพสินค้า บรรยากาศที่นี่ค่อนข้างทึมทึบ ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนที่เดินมาพร้อมกับเจ้าตัวน้อยรู้สึกไม่ค่อยดีและเริ่มปวดหนุบที่ศีรษะขึ้นมาอีกครั้ง
เจ้าตัวน้อยจูงมือเธอเดินไปเรื่อยๆ พลางพูดเจื้อยแจ้วอย่างร่าเริง แต่เฉียวชูเฉี่ยนไม่ได้ยินอะไรเลย เธอยกมือขึ้นกุมขมับและเริ่มเดินไม่มั่นคง
“หม่ามี๊ ระวัง!” เจ้าตัวน้อยตะโกนอย่างตื่นตระหนกแล้วออกแรงดึงเฉียวชูเฉี่ยนไปข้างๆ
มีรถคันหนึ่งซึ่งเปิดไฟต่ำแล่นมาจากฝั่งตรงข้ามของพวกเขาด้วยความเร็วมิใช่น้อย ไม่ทันไรก็เคลื่อนมาประชิดอยู่ตรงหน้าเฉียวชูเฉี่ยน แสงไฟหน้ารถส่องกระทบใบหน้าทำให้สายตาของเธอพร่ามัว ร่างกายของเธอสั่นไหวก่อนจะล้มลงไปอย่างแรง
เฉียวจิ่งเหยียนตกใจอุทานออกมาเสียงดัง “หม่ามี๊! หม่ามี๊เป็นอะไรไหม?!”
เด็กน้อยรีบวิ่งไปหาเฉียวชูเฉี่ยน
มีเสียงดัง ‘เอี๊ยดดดด’ เกิดขึ้น รถมายบัคสีดำคันหรูจอดสนิทอยู่ห่างจากเฉียวชูเฉี่ยนไปประมาณสองเมตร
ร่างสูงใหญ่ของเฉินเป่ยชวนก้าวลงมาจากรถ เขากระแทกประตูปิดและก้าวเข้าไปหาหญิงสาวที่ล้มลงตรงหน้า
เมื่อเริ่มเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่ล้มลงไปชัดขึ้น คิ้วคมก็ขมวดมุ่นเข้าหากัน ก้าวเท้าเร็วขึ้น
เฉียวชูเฉี่ยน?!
เจ้าตัวน้อยกำลังค้นหาโทรศัพท์ในกระเป๋าของเฉียวชูเฉี่ยน เขาต่อสายไปที่เบอร์ 120 แล้วแจ้งพิกัดแก่เจ้าหน้าที่อย่างมีสติ แต่เมื่อพบว่าหม่ามี๊ของตนกำลังถูกใครบางคนอุ้มขึ้นไปก็ระเบิดความตกใจขึ้นมาทันที
อาคนที่อุ้มหม่ามี๊ไว้คือคุณอานิสัยไม่ดีที่ทำให้หม่ามี๊เสียใจตอนที่อยู่ร้านอาหารเมื่อครั้งก่อน
“คนนิสัยไม่ดี ปล่อยหม่ามี๊ผมนะ!”
เมื่อเห็นเฉินเป่ยชวนอุ้มเฉียวชูเฉี่ยนเดินไป เฉียวจิ่งเหยียนก็ไล่ตาม ทั้งเตะทั้งต่อยเขาเหมือนสัตว์ร้ายตัวเล็กๆ และพูดอย่างโกรธๆ ว่า “ปล่อยหม่ามี๊ผมลงเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นผมจะต่อยคุณ”
เฉินเป่ยชวนเหลือบมองเจ้าตัวน้อยแวบหนึ่งและเดินต่อไปเรื่อยๆ “ฉันจะพาหม่ามี๊ของเธอไปโรงพยาบาล”
ก่อนที่เฉินเป่ยชวนจะขึ้นรถ หลินเฟยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังและเห็นทุกอย่างเต็มสองตาก็ลุกออกมา
เธอกัดฟันอย่างคับแค้นเมื่อเห็นเฉินเป่ยชวนกำลังอุ้มหญิงสาวเข้าไปที่เบาะหลัง อดไม่ได้พูดออกมาว่า “เป่ยชวน เธอเป็นแค่เลขานะคะ คุณจะดีกับเธอเกินไปแล้ว ลูกชายเธอก็อยู่ไม่ใช่หรือ ให้ลูกเธอโทรเรียก 120 ก็น่าจะพอแล้วนี่”
“คนในบริษัทของผม เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้ ผมในฐานะเจ้านายต้องเป็นคนรับผิดชอบ”
เฉินเป่ยชวนเอ่ยพลางเหลือบไปมองหลินเฟยเอ๋อร์ “ถ้าปล่อยให้เธอรอ 120 อยู่ที่นี่ พนักงานจะพูดถึงผมที่เป็นเจ้านายว่ายังไง?”
หลินเฟยเอ๋อร์บีบกระเป๋าถือของตัวเองแน่นและฝืนใจยิ้มออกมา “ความจริงฉันก็ไม่คิดให้รอบคอบเอง”
หลังจากที่เฉินเป่ยชวนวางเฉียวชูเฉี่ยนลงที่เบาะหลัง เฉียวจิ่งเหยียนก็ฉวยโอกาสนี้มุดใต้แขนของเขาเข้าไปในรถ ใช้ตัวบังเพื่อปกป้องเฉียวชูเฉี่ยนเอาไว้และจ้องมองเฉินเป่ยชวนอย่างดุร้าย การที่เขาปกป้องผู้เป็นแม่เช่นนี้ทำให้แววตาของเฉินเป่ยชวนขรึมขึ้น
เมื่อเห็นชายหนุ่มขึ้นรถ หลินเฟยเอ๋อร์จึงรีบเดินอ้อมไปที่ประตูฝั่งตรงข้ามคนขับตั้งใจจะขึ้นรถบ้าง แต่ได้ยินเฉินเป่ยชวนเอ่ยกับเธออย่างเฉยเมยว่า “บอกให้ผู้ช่วยขับรถตู้มารับคุณ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะไปส่งเธอที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนคุณ” หลินเฟยเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
ตามคาด… สีหน้าของเฉินเป่ยชวนค่อยๆ เย็นชาขึ้นอย่างน่ากลัวจนเธอต้องปล่อยมือและก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว “งั้น… งั้นฉันไปรอคุณที่ร้านอาหารนะคะ?”
เธอยังไม่ทันได้คำตอบ รถของเฉินเป่ยชวนก็แล่นลับสายตาไป
เหลือไว้เพียงควันสีเทาๆ จากท่อไอเสียเท่านั้น
หลินเฟยเอ๋อร์มองไปยังทิศที่รถแล่นไปพลางขบฟันแน่น
ใบหน้าที่งดงามเริ่มบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ “เฉียวชูเฉี่ยน! คิดไม่ถึงว่าเธอจะใช้กลอุบายตื้นๆ แบบนี้ ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
……
ที่โรงพยาบาลประจำเมือง เฉียวชูเฉี่ยนถูกย้ายไปที่ห้องผู้ป่วยเพื่อให้น้ำเกลือหลังจากตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อย
หมอที่รักษาคิดว่าเฉินเป่ยชวนเป็นคนในครอบครัว จึงยืนพูดกับเขาอยู่ที่ประตูหน้าห้องผู้ป่วยว่า “คนไข้แค่มีอาการขาดสารอาหารและเป็นไข้ อาการไม่ได้ร้ายแรง หลังจากนี้ต้องให้ภรรยาของคุณทานอาหารให้ตรงเวลาวันละสามมื้อ แล้วก็อย่าทำงานหามรุ่งหามค่ำบ่อยนัก”
เฉินเป่ยชวนกำลังจะแย้งว่าเธอไม่ใช่ภรรยาของเขา แต่พอคิดว่าเฉียวชูเฉี่ยนก็ถือว่าเคยเป็นภรรยาคนหนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากและพยักหน้ารับ พูดสั้นๆ ว่า ‘อืม’ เพื่อแสดงว่ารับรู้