ลาก่อน คุณสามี – ตอนที่ 20 อัตราการเข้าคู่กันของดีเอ็นเอ

แววตาของหลินเฟยเอ๋อร์วูบลงไปนิดหนึ่งอย่างใจหาย

เมื่อเฉินเป่ยชวนสวมนาฬิกาข้อมือและเตรียมออกจากห้อง เธอก็รีบคว้าแขนเขาไว้ “เป่ยชวน ฉันยกอาหารเช้ามาให้แล้ว คุณทานหน่อยสิคะ”

เธอพูดพลางพาเฉินเป่ยชวนเดินไปที่ระเบียงด้านนอก

เฉินเป่ยชวนเหลือบมองเธอนิดหนึ่ง ก้าวยาวๆ ไปที่ระเบียงแล้วดึงเก้าอี้หวายมานั่ง

“เมื่อคืนคุณไม่ได้ไปทานอาหารกับฉัน วันนี้ช่วยอยู่ทานอาหารเช้าเป็นเพื่อนฉันสักมื้อนะคะ”

หลินเฟยเอ๋อร์กล่าวพลางยิ้มอย่างอ่อนหวาน หยิบอาหารเช้าแบบจีนที่เตรียมไว้ออกมาจากถาด “ฉันเพิ่งขอให้เหวินเหวินไปซื้อมาให้”

ด้วยความที่หลินเฟยเอ๋อร์พยายามถ่วงเวลาอย่างสุดความสามารถ อาหารเช้ามื้อนี้จึงกินเวลาไปมากกว่าสิบนาที

จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นขึ้น หลินเฟยเอ๋อร์จึงค่อยโล่งอกที่รู้ว่าเหวินเหวินกลับมาแล้ว เธอบอกอย่างสำรวมว่าอิ่มแล้ว จากนั้นจึงเก็บจานอาหารและลงไปข้างล่างพร้อมเฉินเป่ยชวน

ซองเอกสารวางอยู่บนโต๊ะกาแฟในห้องนั่งเล่นในตำแหน่งเดิมที่เคยวางไว้ ราวกับไม่เคยมีใครหยิบไปไหน

นัยน์ตาของเฉินเป่ยชวนเป็นกระกายวาบเมื่อเห็นซองเอกสาร เขาก้าวยาวๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็ไปถึงโต๊ะ พลางบอกหลินเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังว่า “เดี๋ยวแม่บ้านก็มาทำความสะอาดอพาร์ตเมนต์เอง คุณไปก่อนก็ได้เฟยเอ๋อร์”

หลินเฟยเอ๋อร์ตอบรับอย่างว่าง่ายก่อนจะถือกระเป๋าเดินออกจากอพาร์ตเมนต์ไป

ทันทีที่ปิดประตูลง รอยยิ้มแสยะก็ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเธอเหมือนปีศาจร้าย

เฉินเป่ยชวนนั่งลงบนโซฟาและเปิดซองเอกสาร ในใจเกิดความรู้สึกสับสนวุ่นวายอย่างบอกไม่ถูก คิดไปไกลว่าถ้าเจ้าตัวน้อยเป็นลูกของเขาจริงๆ เขาจะบอกให้เจ้าตัวน้อยรู้ถึงสถานะของตัวเองได้ยังไงและจะสานสัมพันธ์กับเขาอย่างไรดี

เมื่อกวาดตาอ่านอย่างคร่าวๆ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง

ผลการวินิจฉัยระบุว่าดีเอ็นเอของทั้งคู่เข้าคู่กันได้เพียงร้อยละ 3.3

พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าตัวน้อยที่ดูคล้ายเขาคนนั้นไม่ใช่ลูกของเขา!

“บ้าเอ๊ย!” เฉินเป่ยชวนกำมือแน่น ขยำผลการตรวจดีเอ็นเอนั้นจนไม่เหลือเค้าเดิม

บรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นอึมครึมขึ้นมาคล้ายจะกลายเป็นขั้วโลกเหนือ

คอยดูเถอะ เฉียวชูเฉี่ยน!

ณ ตอนนั้นเฉียวชูเฉี่ยนซึ่งกำลังขับรถไปที่บริษัทจามอย่างแรงจนตัวโยน

คิดว่าคงเป็นเพราะเมื่อคืนไม่ได้ห่มผ้าจึงทำให้เป็นหวัด เธอเลยรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว

เฉียวชูเฉี่ยนยังสลัดภาพท่าทีที่แข็งแรงของเฉินเป่ยชวนออกไปจากความคิดไม่ได้ จนเกือบจะขับรถเกยขึ้นไปบนทางเท้า

“นี่เธอ! กลับไปเรียนขับรถอีกสักสองปีค่อยกลับมาขับรถใหม่ไป๊!” คนที่เดินอยู่บนทางเท้าด่าส่งขึ้นมาทันทีทันใด กลัวมากว่าเฉียวชูเฉี่ยนจะเหยียบเบรกผิดไปเหยียบคันเร่งแทน

“ขอโทษจริงๆ ค่ะ” เฉียวชูเฉี่ยนยิ้มแห้งๆ ให้ผู้คนที่เดินอยู่บนทางเท้าก่อนจะพยายามสงบจิตสงบใจ

เมื่อคืนมันเป็นคืนที่เลวร้ายจริงๆ!

กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาแตะจมูกทันทีที่เฉียวชูเฉี่ยนเดินผ่านประตูหมุนเข้ามาในล็อบบี้ เธอคิดว่าคงมีใครสักคนฉีดน้ำหอมกลิ่นดอกไม้จนฟุ้ง แต่ทันใดนั้นพนักงานส่งดอกไม้ที่รออยู่ตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้าก็เดินตรงมาหาเธอ

“สวัสดีครับ คุณใช่คุณเฉียวชูเฉี่ยนหรือเปล่า”

เฉียวชูเฉี่ยนพยักหน้า “ใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

พนักงานส่งดอกไม้หนุ่มส่งกล่องสีม่วงในมือให้เธอ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “คุณลู่ฝากส่งดอกไม้มาให้คุณ หากเช็คแล้วไม่ปัญหาอะไร รบกวนเซ็นรับให้ผมด้วยครับ”

พูดแล้วคนส่งของก็เปิดกล่องนั้นออก

ภายในกล่องมีดอกกุหลาบสีน้ำเงินที่สวยงามช่อหนึ่งวางไว้ เป็นดอกกุหลาบตูมที่สวยงามราวกับหญิงสาวที่บอบบาง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ อย่างน่าหลงใหล… นับอย่างละเอียดแล้วมี 27 ดอกพอดี

เมื่อเพื่อนร่วมงานสาวที่อยู่ข้างๆ เหลือบมาเห็นก็ร้องอุทานขึ้นมาอย่างอิจฉา

เฉียวชูเฉี่ยนชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะรีบเซ็นชื่อลงในใบรายการส่งของและรับกล่องมา “ขอบคุณค่ะ”

ขณะที่กำลังถือดอกไม้ไปที่สำนักงาน ลู่ฉีก็โทรเข้ามา “อรุณสวัสดิ์เฉี่ยนเฉียน ได้รับดอกไม้แล้วหรือยัง”

“เพิ่งรับมาเมื่อกี้ สวยมากเลย” เฉียวชูเฉี่ยนยิ้มบางๆ ใช้นิ้วลูบบนกลีบดอกไม้เบาๆ สองที “กุหลาบสีน้ำเงินแบบนี้ดอกนึงราคาแพงมาก คุณซื้อมาช่อใหญ่ขนาดนี้แต่เก็บไว้ได้แค่สามวันเอง มันสิ้นเปลืองออก”

ลู่ฉีหัวเราะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สำหรับผมแล้ว ไม่มีอะไรเทียบเท่าคุณได้เลย”

ขนาดเฉียวชูเฉี่ยนที่เยือกเย็นมาตลอดยังถูกเขาทำให้เขินจนหูแดงด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและคำพูดที่ซึ้งจับใจ แล้วเขาก็พูดอีกว่า “ผมจะกลับไปถึงเมืองซั่นเป่ยตอนบ่ายสาม ตอนเย็นผมจะไปรับคุณกับเจ้าซาลาเปาน้อยมากินข้าวนะ”

เฉียวชูเฉี่ยนดูกำหนดการของตัวเองแล้วตอบรับสั้นๆ “ตกลง ตอนนั้นฉันว่างพอดี”

เฉินเป่ยชวนมาถึงบริษัทตอนสิบโมงสิบนาที

หลังจากที่เขาเข้าไปในห้องทำงานของประธานบริษัท เฉียวชูเฉี่ยนก็พยายามจัดการกับความรู้สึกของตัวเองแล้วรีบนำเอกสารสัญญาที่ลงนามแล้วไปให้เขา เธอยืนรออยู่หน้าห้องและเคาะประตูเบาๆ สามครั้ง

“เข้ามาได้”

เฉียวชูเฉี่ยนบิดลูกบิดเปิดประตูและเดินเข้าไป

เมื่อสายตาปะทะเข้ากับใบหน้าที่เย็นชาของเฉินเป่ยชวน ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุขและนึกถึงภาพเขาที่มีเหงื่อไหลอาบกายยามอยู่กับเธอเมื่อคืนขึ้นมา ทำให้เกิดอาการใจสั่นจนแทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่

“เป็นอะไรไปถึงเดินเซแบบนั้น เลขาเฉียว” เฉินเป่ยชวนชำเลืองมองเธอนิดหนึ่ง นิ้วเรียวยาวเอื้อมไปปลดเนคไทออก เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างมหาศาลเมื่อเห็นเขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ประจำตำแหน่ง

ราวกับว่าเฉินเป่ยชวนเป็นกษัตริย์ผู้สูงส่ง ส่วนเธอเป็นเพียงพลทหารที่อยู่ภายใต้การปกครอง

“ท่านประธานเฉิน นี่เป็นสัญญาระหว่างหมิงลี่จิวเวลรี่ค่ะ” เฉียวชูเฉี่ยนก้าวไปข้างหน้าและยื่นสัญญาไปให้เขา “ฉันเจรจากับท่านประธานหลิวแห่งบริษัทหมิงลี่จิวเวลรี่แล้วค่ะ หวังว่าท่าน…”

“จะไม่มีความร่วมมือกันระหว่าง MR และหมิงลี่” เฉินเป่ยชวนเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ ขณะที่เฉียวชูเฉี่ยนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความงุนงง เขาก็พูดต่อไปอย่างเฉยเมยว่า “ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีวันร่วมมือกันโดยเด็ดขาด”

“ประธานเฉิน สัญญานี้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย ถ้าหมิงลี่เป็นฝ่ายยกเลิกสัญญาเพียงฝ่ายเดียว พวกเขาต้องจ่ายเงินค่าชดเชยอย่างน้อยสามล้านหยวน” เฉียวชูเฉี่ยนคิดว่าประธานผู้บริหารของหมิงลี่ไม่ยอมรับสัญญานี้ จึงบอกไปว่า “ท่านประธานไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะกลับไปหารือกับท่านประธานหลิวอีกครั้ง”

“เฉียวชูเฉี่ยน ที่ผมพูดมันเข้าใจยากนักหรือ คุณถึงฟังแล้วไม่เข้าใจ” เฉินเป่ยชวนวางมือลงบนโต๊ะ สีหน้าดูเย็นชายิ่งขึ้นกว่าเดิม “ผมบอกว่า MR จะไม่มีวันร่วมมือกับหมิงลี่ คุณเข้าใจไหม?”

เฉียวชูเฉี่ยนกำมือแน่นขึ้นทันทีทันใด แต่ไม่กล้าแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า “ตอนนี้ MR อยู่ในจุดตกต่ำ หากไม่ยืมมือคู่ค้าเพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามา เราจะแก้ปัญหาเพื่อให้อยู่รอดในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ต่อไปได้อย่างไรคะ”

เฉินเป่ยชวนยกมือข้างหนึ่งขึ้นจุดบุหรี่ที่อยู่ตรงริมฝีปาก เกิดรู้สึกความดื้อด้านเอาแต่ใจขึ้นมา ไม่แม้แต่จะมองไปที่เฉียวชูเฉี่ยน และออกคำสั่งอย่างไม่ใส่ใจว่า “ออกไป เลขาเฉียว”

เฉียวชูเฉี่ยนต้องอดทนเป็นอย่างมาก ในที่สุดจึงหยิบเอกสารกลับคืนมาแล้วหันหลังเดินออกไป

ถ้าจะไม่ร่วมมือกับหมิงลี่ทำไมถึงไม่บอกตั้งแต่แรก? ปล่อยให้เธอวิ่งเต้นจนเหนื่อยอยู่หลายวันมันน่าสนุกนักหรือ!

เฉียวชูเฉี่ยนไม่รู้ว่าเฉินเป่ยชวนจงใจหรือเปล่า แต่หลังกลับมาจากการเดินทางไปประชุมสามวัน เขาก็สั่งงานเธอไว้เป็นกอง พนักงานในแผนกเองก็เร่งรัดเธอเหมือนกัน เธอยุ่งจนเวลาจะเข้าห้องน้ำยังไม่มี ไหนเขาจะยังต้องจำเพาะเจาะจงให้เธอไปซื้อกาแฟมาให้อีก

ขณะที่ถึงเวลาพักเที่ยงตอนสิบสองนาฬิกา เฉินเป่ยชวนก็วางปากกาลงแล้วใช้นิ้วคลึงบริเวณหว่างคิ้ว ในหัวกำลังคิดถึงเรื่องการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ช่วงบ่ายและเอกสารที่ยังรอให้จัดการ

เขาเหลือบไปเห็นบานเกล็ดที่อยู่ทางขวามือปิดอยู่ จึงหยิบรีโมทคอนโทรลออกมาจากลิ้นชักแล้วกดเปิดมัน

ลาก่อน คุณสามี

ลาก่อน คุณสามี

ความทรงจำของปลาอยู่ได้แค่ 7 วินาที แต่ฉันกลับรักคุณมาถึง 7 ปี ……………..เฉียวชูเฉี่ยน เฉียวชูเฉี่ยนไม่คิดเลยว่าวันแรกที่เธอมาถึงประเทศจีน เธอจะได้พบกับอดีตสามีของเธอ……….เฉินเป่ยชวน มีข่าวลือมาว่า เจ้าของกิจการสถานบันเทิงอย่างเฉินเป่ยชวน เป็นคนที่มีนิสัยแปลกๆ และไม่สนใจผู้หญิง แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยแต่งงานและเคยหย่ามาก่อน ซ้ำยังมีลูกแล้วอีกด้วย “ใคร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งในขั่วโลกเหนือ “เป็น…….เป็นลูกของฉันเอง” “อ่อ ถ้างั้นคุณเลขาเฉียวสาธิตผมหน่อยสิว่าทำยังไง” เขาหยุดคำพูดของเขา และก้าวเข้าไปหาเธอ ทำให้เธอไปไหนไม่ได้ดวงตาของชายหนุ่มมืดลงทันที คุณลุงลู่ฉีเหรอ? “………” เธอ ซวย แล้ว! เฉียวชูเฉี่ยน เด็กน้อยเฉียวจิ่งเหยียนไม่ทำตาม และเข้าไปกัดต้นขาของเขา “ปล่อยหม่ามี๊ของผมนะ ผมเป็นลูกของหม่ามี๊และคุณลุงลู่ฉี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset