เฉียวชูเฉี่ยนได้แต่ส่งยิ้มไปให้ เธอแอบเหล่ไปที่โต๊ะของเฉินเป่ยชวนอีกครั้ง กลับเห็นเขายกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างเย้ยหยัน เหมือนจะหัวเราะเยาะที่ลู่ฉีขอแต่งงานไม่สำเร็จ และรวมถึงสภาพที่ลำบากใจจนมือไม้อ่อนไปหมดของเธอเองด้วย
“น่าเสียดายจังเลยนะคะ ฉันยังคิดว่าเลขาเฉียวจะตอบรับการแต่งงานเสียอีก”
หลินเฟยเอ๋อร์รองแก้มของเธอด้วยมือเดียวพลางเอ่ยด้วยความเสียดาย ในใจรู้สึกโกรธแต่พูดออกไปไม่ได้ เธอตั้งใจจะใช้โอกาสตอนที่ไฟดับกระโจนเข้าไปอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเขา แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงเก้าอี้นั่น
“ผู้ชายที่คุกเข่าขอแต่งงานช่างน่าอับอายเสียจริง”
เขาพูดอย่างหยิ่งยโสเสร็จแล้วก็ลุกขึ้น จากนั้นก็เดินไปโอบตัวหลินเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ “ทานอิ่มแล้วก็ไปกันเถอะครับ”
เปลวไฟที่คุกกรุ่นอยู่ในใจหลินเฟยเอ๋อร์ก็ดับลงในชั่วพริบตา เธอกลับมายิ้มอย่างสุขสมอีกครั้ง หากเป็นเฉินเป่ยชวนคุกเข่าขอเธอแต่งงานล่ะก็เธอคงผงกศีรษะด้วยความดีอกดีใจเป็นแน่
พอได้เห็นคนสองคนโอบกอดกันเดินจากไป เฉียวชูเฉี่ยนก็ถอนสายตากลับมา แต่ตอนที่เธอจับตามองเมื่อสักครู่นี้ได้ตกอยู่ในสายตาของลู่ฉีหมดแล้ว
“ฉี ขอโทษนะคะ ฉันทำให้คุณต้องอับอายเสียแล้ว”
เธอกล่าวคำขอโทษแล้วก็รีบเดินลงจากเวทีกลับเข้าที่นั่งของตัวเอง
เจ้าตัวน้อยทำปากมุ๋ยหนักมาก การขอแต่งงานที่สุดแสนโรแมนติก อีกทั้งยังเป็นคุณอาลู่ฉีที่ดีไปหมดทุกอย่าง แล้วยังซื้อไอศกรีมที่หม่ามี๊ไม่ยอมให้กินอีกด้วย แต่ผู้ชายที่ดีขนาดนี้หม่ามี๊กลับปฏิเสธเสียได้
“รีบทานไอศกรีมของเธอไป”
เฉียวชูเฉี่ยนจ้องเจ้าตัวน้อย เขารีบเอามือปิดปาก จากนั้นก็หันไปพูดกับลู่ฉีที่กลับมานั่งที่แล้วว่า “คุณอาลู่ฉี ผมอยู่ข้างคุณอานะครับ สู้ๆ ครับ!”
ไม่ควรปล่อยชายหนุ่มที่ดีขนาดนี้ให้หลุดลอยไปได้ อีกอย่างเขาก็จะได้ทานไอศกรีมทุกครั้งที่คุณอาลู่ฉีขอแต่งงานด้วย
“จิ่งเหยียนเข้าใจอาจริงๆ”
ลู่ฉียื่นมือออกไปลูบศีรษะเจ้าตัวน้อย แววตาและรอยยิ้มเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง เขารอมาหลายปีขนาดนี้แล้วเขาไม่สนหรอกว่าจะต้องรอไปอีกสักกี่ปี
รถของเฉินเป่ยชวนติดเครื่องอยู่ด้านนอกร้านอาหาร ขณะที่หลินเฟยเอ๋อร์ที่มีรอยยิ้มแสนหวานประดับอยู่บนใบหน้ากำลังจะขึ้นรถ ในสมองก็จินตนาการไปด้วยว่าชายหนุ่มตรงหน้ากำลังขอเธอแต่งงาน แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเย็นๆ บ่งบอกความไม่พอใจลอยมากระทบใบหู “ใครให้เธอฉีดน้ำหอมรุ่นนี้กัน!”
“……”
หลินเฟยเอ๋อร์มึนงงไปชั่วขณะ เธอสูดลมหายใจด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ครั้งก่อนที่ไปบ้านเขาเธอเห็นน้ำหอมกลิ่นนี้อยู่ในห้องนอน ทีแรกยังเข้าใจว่าเป็นกลิ่นน้ำหอมที่เลขาเฉียวใช้ แต่หลังจากที่พบว่าเธอไม่ได้ใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ จึงไหว้วานให้คนไปหาซื้อมาให้ด้วยความยากลำบากเนื่องจากแบรนด์นี้เขาเลิกกิจการไปนานแล้ว
เดิมคิดว่าหากตัวเองฉีดน้ำหอมที่เขาชอบน่าจะทำให้ได้ใกล้ชิดเศรษฐีหนุ่มผู้นี้มากขึ้น แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะอารมณ์เสียแบบแปลกๆ ออกมา
“เป่ยชวน ฉันคิดว่าคุณน่าจะชอบกลิ่นนี้นะค่ะ……”
การเผชิญหน้ากับใบหน้าของคนตรงหน้าที่จู่ๆ ก็มืดครึ้มและหนาวเย็นทำให้เธอรู้สึกขวาดกลัวไม่น้อย เพื่อให้สามารถกอดต้นไม้ใหญ่ให้อยู่หมัด ตัวเธอต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด ในแต่ละวันแม้เขาจะปฏิบัติต่อเธออย่างไม่แยแสมากนัก แต่ก็ไม่เคยทำให้เธอตกใจเท่านี้มาก่อน
“หลินเฟยเอ๋อร์ ผมไม่ชอบคนคิดเองเออเอง”
ดวงตาเย็นชาจับจ้องไปที่ใบหน้าหลินเฟยเอ๋อร์ที่กำลังฉายแววระวังตัว ในสายตาเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ เธอคิดหรือว่าแค่น้ำหอมจะช่วยเพิ่มความรักในตัวเธอได้ น่าหัวเราะเป็นที่สุด
สีหน้าของหลินเฟยเอ๋อร์ซีดขาว จากนั้นก็รีบส่ายศีรษะ “เป่ยชวน ฉันทราบแล้วค่ะ คุณอย่าโกรธเลยนะ ต่อไปฉันจะไม่ใช้น้ำหอมแบรนด์นี้อีกแล้วค่ะ”
เดิมทีเธอเองก็ไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมหวานๆ แบบนี้ มันไม่ค่อยเข้ากับลักษณะของตัวเองซักนิด แล้วยังไม่เข้ากับอุปนิสัยอันทรงเสน่ห์ของเขาอีกด้วย
“ขอให้เป็นเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นผมจะทำให้คุณกลับไปอยู่ในสภาพเดิมในชั่วข้ามคืน”
เฉินเป่ยชวนเอ่ยปากพูดอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ดูแคลน ริมฝีปากบางของหลินเฟยเอ๋อร์เหมือนจะแตะถูกไอเย็นที่หนาวเหน็บทำให้ตัวสั่นขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ สภาพเดิมของเธอในอดีตนะหรือ?
เมื่อหวนคิดไปถึงอดีตที่สุดจะทนนั่น ใบหน้าเธอก็ยิ่งซีดไปมากกว่าเดิม จากนั้นก็ส่ายศีรษะโดยสัญชาตญาณ ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะเปลี่ยนจากตัวละครเล็กๆ ที่เดี๋ยวก็ถูกคนเรียกไปดื่มด้วย เดี๋ยวก็ถูกคนหยอกล้อใส่ จนกลายมาเป็นนางฟ้ามากฝีมือแห่งวงการบันเทิงได้ เธอไม่คิดจะกลับไปอยู่ในสภาพนั้นอีกแล้ว
“สองวันนี้อย่ามาให้ผมเห็นหน้าแล้วกัน”
หลังจากที่เขาทิ้งคำพูดอันแสนเย็นชาไว้แล้วก็เหยียบคันเร่ง รถยนต์มายบัคได้ส่งเสียงดังกระฮึ่มและวิ่งผ่านหน้าหลินเฟยเอ๋อร์ไป เหลือทิ้งไว้ให้เธอเพียงกลิ่นไอพ่นที่ฉุนกึก
เธอยืนอึ้งอยู่ที่เดิมไปหลายวินาทีถึงจะรู้ตัวว่าตัวเองได้ถูกทิ้งอยู่ข้างถนนเช่นนี้ เธอคิดจะตามไปแต่ไม่เห็นเงารถของเฉินเป่ยชวนแล้ว จึงได้แต่กระทืบเท้าด้วยความโมโห
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ”
แม้จะรู้ว่าเฉินเป่ยชวนไม่รัก แต่เธอก็รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้อยู่เคียงข้างเขา นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมดาราหญิงมากมายพยายามหาวิธีเข้าใกล้เขาขนาดนั้น แต่สุดท้ายคนที่ได้ยืนอยู่ข้างๆ เขากลับมีเธอเพียงคนเดียว
เธอจับกระเป๋าอย่างแรงจนนิ้วมือเปลี่ยนเป็นสีแดง จมูกได้กลิ่นน้ำหอมบนตัว แววตาก็ส่องประกายแห่งความโกรธแค้น เป็นเพราะเจ้าน้ำหอมบ้าๆ นี้ทีเดียว
พอนึกถึงอารมณ์ที่ผิดปกติของเขาเมื่อสักครู่นี้ หลินเฟยเอ๋อร์จึงล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็โทรไปตามเบอร์ที่เซฟเอาไว้
“ฮัลโหล คุณนักข่าวเซี่ยว”
“คุณหลิน คิดอย่างไรคุณถึงโทรหาปาปารัสซีอย่างผมได้ครับ?”
จากนั้นไม่นานปลายสายก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เซี่ยวเซิงคนนี้หากไม่จำเป็นเธอก็ไม่ยินดีที่จะติดต่อเขาจริงๆ เพราะเขารู้เรื่องราวอันไม่สู้ดีของเธอในอดีตนั่นเอง แต่นอกจากเขาแล้วเธอก็ไม่รู้จะหาใครได้อีก
“แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ ซิคะ ฉันอยากขอความช่วยเหลือจากคุณ ส่วนค่าตอบแทน หนึ่งแสน”
ใบหน้าของหลินเฟยเอ๋อร์กลับมาเย่อหยิ่งดังเดิมแล้ว เงินหนึ่งแสนหยวนเป็นเรื่องเล็กสำหรับเธอมาก ขอเพียงสืบเจออะไรได้บ้าง อย่าว่าแต่หนึ่งแสนเลย หนึ่งล้านก็คุ้มค่าที่จะลงทุน”
“มีเงินให้ผมต้องชอบอยู่แล้ว ว่ามามีเรื่องอะไรครับ หรือมีดาราหญิงคนไหนมองแล้วขัดตาอยากให้ปล่อยข่าวฉาวครับ?”
เสียงหัวเราะแบบแปลกๆ ของเซี่ยวเซิงส่งมาตามสายอีกครั้ง เขาคลุกอยู่ในวงการมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ล้วนมาจากข่าวฉาวบนมือทั้งสิ้น ขอเพียงยังอยู่ในวงการนี้ มากน้อยก็ต้องมีสิ่งที่ไม่อาจให้ผู้อื่นรู้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้เขาร่ำรวยขึ้นมา
พอได้ยินคำว่าข่าวฉาวดวงตาของหลินเฟยเอ๋อร์ก็ฉายแสงแห่งความชิงชังออกมา เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วแสร้งพูดอย่างใจเย็นออกไปว่า “ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันแค่อยากให้คุณช่วยสืบข่าวคนผู้หนึ่งให้หน่อยนะค่ะ เธอชื่อเฉียวชูเฉี่ยน ฉันอยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉินเป่ยชวนค่ะ”
น้ำหอมในห้องนอนของเฉินเป่ยชวนเห็นได้ชัดว่าเป็นกลิ่นที่ผู้หญิงใช้ เธออยากจะรู้ว่าหญิงคนนั้นจะใช่เฉียวชูเฉี่ยนหรือไม่
“เฉินเป่ยชวนหรือครับ นั่นบุคคลระดับบิ๊กของพวกเราเลยนะครับ ถ้าผมสืบเรื่องระหว่างเขากับผู้หญิงอื่น ผมคงไม่รอดแน่ครับ”
“สองแสน ถ้าสิ่งที่สืบมาได้ของคุณเป็นที่น่าพอใจ ฉันจะเพิ่มเงินให้คุณอีกด้วยค่ะ”
หลินเฟยเอ๋อร์เข้าใจความหมายของเซี่ยวเซิง จึงเพิ่มเงินเป็นสองเท่า และยังรับปากว่าจะให้อั่งเปาต่างหากอีกด้วย อีกฝ่ายดูพอใจกับตัวเลขที่เสนออย่างเห็นได้ชัด จึงพูดกลับมาว่าให้เธอวางใจ และรอฟังข่าวดีจากเขาจากนั้นก็วางสายไป
เมื่อวางโทรศัพท์มือถือกลับเข้ากระเป๋า มุมปากสีแดงวาวของเธอก็ยิ้มออกมาอย่างช้าๆ เฉินเป่ยชวนเป็นของเธอหลินเฟยเอ๋อร์คนนี้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงคนใดก็อย่าได้คิดจะมาแย่งคนของเธอไป
โดยเฉพาะเฉียวชูเฉี่ยนคนนั้นที่ไม่มีอะไรมาเทียบเธอได้เลย