เพียะ!
เสียงตบดังกังวานทำให้เว่ยชูหรงที่เพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่นี้เอามือปิดแก้มร้อนฉ่าอย่างตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “เธอตบฉัน! เธอกล้าตบหน้าฉันหรือ?”
“คุณสบประมาทฉันและลูกฉันก่อน ทำไมฉันจะไม่กล้าตบหน้าคุณล่ะคะ?”
สีหน้าเฉียวชูเฉี่ยนโกรธมาก ถ้าเว่ยชูหรงเพียงสบประสาทเธอๆ อาจจะเห็นแก่สถานการณ์ตรงหน้าไม่ไปคิดเล็กคิดน้อย แต่ไม่ใช่มาว่าลูกชายเธอว่าเป็นเด็กเถื่อน
เดิมลูกค้าคนอื่นๆ กำลังก้มหน้าก้มตาลิ้มรสอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ไม่มีใครสนใจตรงบริเวณนี้ แต่พอได้ยินเสียงดังกังวานเมื่อสักครู่นี้ ก็เงยหน้าขึ้นมามองดูกัน เว่ยชูหรงเอามือปิดหน้า แต่ใบหน้าอีกข้างที่ไม่ถูกตบกลับแดงยิ่งกว่า ความสง่างามที่ได้รับมาอย่างยากลำบากในหลายปีมานี้ราวกับเลือนหายไปในชั่วพริบตา เธอรู้สึกอับอายอย่างแสนสาหัส
“เฉียวชูเฉี่ยน รอดูกันต่อไปเถอะ”
หากยืนอยู่ที่นี่ต่อไปอีกเพียงชั่ววินาทีคงได้อับอายจนไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ เว่ยชูหรงกระทืบเท้าแล้วออกจากร้านอาหารไปโดยมิรอช้า
พอเห็นคนเดินจากไปแล้ว เฉียวชูเฉี่ยนจึงจูงเจ้าตัวน้อยกลับไปนั่งที่เดิม เดิมคิดจะชิมอาหารต่อแต่จู่ๆ ก็หมดอารมณ์ขึ้นมา ตอนออกจากบ้านวันนี้ไม่ทันได้ดูฤกษ์ยามบนปฏิทิน ถึงต้องมาเจอกับเว่ยชูหรง ทำเอาหมดอารมณ์จะทานอาหารมื้อนี้ไปเลย
ดวงตาน้อยๆ กวาดมองไปทั่วใบหน้าของหม่ามี๊ ตอนที่ถูกด่าว่าเป็นเด็กเถื่อนเมื่อครู่นี้ เขาก็คิดจะตีคนอยู่เหมือนกัน แต่พอนึกไปถึงความสูงของตัวเองก็ได้ถอดใจไป ด่าเขายังไม่เป็นไร แต่มาด่าหม่ามี๊เขาแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด
แต่เมื่อครู่นี้ก็ไม่ใช่ไม่ได้อะไรเลย ตอนนี้เขาแทบจะฟันธงได้ว่าตัวเองเป็นลูกชายของ
เฉินเป่ยชวนอะไรนั่น
เขานึกไปถึงใบหน้าก้อนน้ำแข็งที่เหมือนจะชงกับตัวเอง ก็ตีสีหน้าแสดงความไม่พอใจออกมา หมอนั่นทั้งไม่อ่อนโยน ไม่น่ารัก ที่เยอะสุดเห็นจะเป็นเรื่องเงิน แต่เขาเคยได้ยินมาว่าก่อนหม่ามี๊จะคลอดเขา หม่ามี๊ก็เป็นถึงทายาทเศรษฐีรุ่นที่สอง ทำไมถึงชอบหมอนั่นเข้าไปได้
หากไม่เปรียบเทียบก็คงไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่พอมาลองเปรียบเทียบกันดูแล้ว เขายิ่งรู้สึกว่า
คุณอาลู่ฉีดีกว่า
“เอาล่ะ ไม่ทานแล้วดีกว่า ลูกอยากจะทานไก่ทอด ไอศกรีมมิใช่หรือ แม่พาลูกไปร้านอาหารจานด่วนแล้วกัน”
เฉียวชูเฉี่ยนที่นั่งอยู่ตรงข้ามโยนตะเกียบทิ้งไปด้านข้าง เมื่อนึกถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ของ
เว่ยชูหรง ก็ไม่มีอารมณ์จะทานต่อไปแล้ว
“โอเยซ! หม่ามี๊ดีที่สุดเลยครับ”
พอได้ยินคำว่าไอศกรีม เจ้าตัวน้อยก็ลืมปัญหาระหว่างคุณพ่อที่จริงๆ กับคุณพ่อเลี้ยงว่าคนไหนจะดีกว่ากันไปเลย จากนั้นเขาก็คล้องแขนหม่ามี๊เดินออกนอกร้านอาหารไป
ระหว่างที่สองแม่ลูกกำลังเดินคุยกันไป หัวเราะกันไปออกจากร้านอาหาร ก็มีเสียงกดชัตเตอร์ดังมาจากทางด้านหลัง แม้กระทั่งฉากที่เกิดขึ้นในนั้นก็ได้ถูกกล้องบันทึกเอาไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
“เป่ยชวน คุณยังโกรธฉันอยู่หรือคะ ฉันรู้ว่าฉันทำไม่ถูก คุณยกโทษให้ฉันได้ไหมคะ?”
ณ สถานที่ถ่ายทำ หลินเฟยเอ๋อร์ได้โทรหาเฉินเป่ยชวนเพื่อขอให้เขายกโทษให้ด้วยสีหน้าน่าสงสาร เรื่องน้ำหอมหากเธอไม่เป็นฝ่ายยอมรับผิดก่อน ไม่แน่ว่าคนข้างกายของเฉินเป่ยชวนอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้
ขอเพียงเธอสามารถเกาะขาของเฉินเป่ยชวนเอาไว้ได้ จะให้ลดตัวลงไปมากกว่านี้เธอก็ทำได้
“วันนี้ผมมีธุระ คุณกลับเองแล้วกันครับ”
เฉินเป่ยชวนที่อยู่ในสายกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติจากนั้นก็วางสายไป ไม่คิดจะให้โอกาส
หลินเฟยเอ๋อร์ได้กล่าวคำขอโทษอีกเป็นครั้งที่สอง
“ทำอย่างไรดี? เป่ยชวนคงจะโกรธแล้วจริงๆ”
เธอก้มลงมองโทรศัพท์มือถือที่ถูกตัดสายไป เธอรู้ตัวดีว่าเฉินเป่ยชวนไม่ได้รักเธอ แต่เขาไม่เคยปฏิบัติต่อเธอด้วยท่าทีที่เยือกเย็นขนาดนี้มาก่อน ดังนั้นเธอจึงประสบความสำเร็จในวงการบันเทิงนี้ได้ แต่ในยามนี้ดูท่าเขาจะโกรธเธอแล้วจริงๆ
“พี่เฟยเอ๋อร์ ให้ฉันไปส่งพี่ไหมคะ?”
ผู้จัดการมาเห็นเธอกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ จึงพูดเอาใจออกไปในทันที
“ไม่ต้อง ฉันขับรถกลับเองได้ค่ะ” หลินเฟยเอ๋อร์กระทืบเท้าด้วยอาการร้อนใจ ถ้าหากไม่มีเฉินเป่ยชวนก็คงจะไม่อาจรักษาตำแหน่งดาราหญิงยอดนิยมในตอนนี้เอาไว้ได้
“งั้นพี่เฟยเอ๋อร์ขับรถช้าๆ หน่อยนะคะ” ผู้จัดการไม่กล้าพูดอะไรมาก เธอรีบเก็บบทละครที่จะต้องใช้ในพรุ่งนี้และไปติดต่อสแตนด์อิน
เมื่อขับออกจากพื้นที่กองถ่ายภาพยนตร์ด้วยความอัดอั้นตันใจ เธออยากจะไปหาเฉินเป่ยชวนที่บริษัท แต่ก็ไม่กล้า จะอย่างไรเมื่อวานเขาก็เพิ่งบอกเธออย่างดุดันมาว่าในช่วงสองสามวันนี้ไม่ให้ไปปรากฏตัวต่อหน้าเขา เธอจึงไม่กล้าขัดใจเขา
ขณะที่กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ว่าจะไปไหนดี โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เธอเห็นหมายเลขบนจอก็รับโทรศัพท์ด้วยสายตาที่ดูถูกแต่ก็ร้อนใจ
“ฮัลโหล หาอะไรได้แล้วใช่ไหมคะ?”
“ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสิครับ ไม่อย่างนั้นผมจะกล้าโทรหาดาราใหญ่เช่นคุณได้อย่างไรกัน ออกมาพูดคุยกันหน่อยสิครับ”
เสียงของเซี่ยวเซิงดังมาตามสาย ทำให้หัวคิ้วเธอขมวดขึ้นอย่างรังเกียจ
“นักข่าวเซี่ยว พวกเราคนหนึ่งก็นักข่าว คนหนึ่งก็นักแสดงหญิงมาเจอกันเกรงว่าจะไม่เหมาะนะคะ มีอะไรคุณก็พูดผ่านโทรศัพท์มาได้เลยค่ะ”
ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะปีนขึ้นมาจากการถูกผู้อื่นทั้งหยอกล้อและถ่มน้ำลายใส่ จึงไม่อยากจะถูกดึงให้เข้าไปเกี่ยวข้องอีก แต่เห็นได้ชัดว่าคนปลายสายไม่คิดจะบอกผ่านโทรศัพท์มือถือ
“ในมือผมมีของจะทำให้คุณสนใจเป็นพิเศษ หรือว่าคุณไม่คิดจะมาดูด้วยตนเอง เจอกันที่สวนเย่ว์จี้ คุณวางใจได้ที่นั่นปลอดภัยอยู่ไม่น้อย หวังว่าผมจะได้เห็นดาราใหญ่เช่นคุณในอีกหนึ่งชั่วโมงนะครับ”
หลังจากเขาพูดจบก็ตัดสายไปเลยทำให้หลินเฟยเอ๋อร์โกรธมาก เฉินเป่ยชวนตัดสายเธอยังพอว่า แต่เซี่ยวเซิงคนนี้เป็นตัวอะไรกันถึงมาข่มขู่เธอได้
แต่พอนึกไปถึงของที่เซี่ยวเซิงพูดเมื่อสักครู่นี้ เธอก็อดอยากรู้ขึ้นมาไม่ได้ จึงเปลี่ยนเส้นทางเดินรถเพื่อมุ่งตรงไปยังสวนเย่ว์จี้
สวนเย่ว์จี้เป็นแปลงปลูกดอกไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องกุหลาบเย่ว์จี้ และยังเป็นสถานที่เกรดต่ำอีกด้วย เพราะเดี๋ยวนี้ดอกกุหลาบเย่ว์จี้ที่ปลูกในนี้ก็มีเพียงคนยากจนเท่านั้นที่มาดูกัน
หลินเฟยเอ๋อร์หยิบของที่เธอเตรียมไว้หลังรถเป็นประจำเพื่อใช้หลบนักข่าวออกมา จากนั้นก็เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง
“ทางนี้ คุณดาราใหญ่”
เซี่ยวเซิงเห็นหลินเฟยเอ๋อร์อยู่นานแล้ว พอเธอเดินเข้ามาเขาจึงตะโกนเสียงดังออกไป เธอตกใจรีบวิ่งมาปิดปากเขาเอาไว้
“คุณเบาเสียงหน่อยสิ!”
หลินเฟยเอ๋อร์นั่งลงตรงข้ามเขาด้วยความโมโห พร้อมกางมือยื่นออกไปทันที “ของล่ะคะ? เอาออกมาให้ฉันดูสิ”
“รีบร้อนอะไรแบบนี้ จะอย่างไรพวกเราก็เป็นคนคุ้นเคยกันนะครับ อย่างน้อยๆ ก็น่าจะพูดคุยเรื่องราวในอดีตกันก่อนมิใช่หรือครับ?”
เซี่ยวเซิงมองหลินเฟยเอ๋อร์ด้วยสายตาวิบวับ เมื่อก่อนผู้หญิงคนนี้เคยมาขอให้เขาช่วยหลายครั้งเพื่อให้ตัวเองเป็นที่รู้จัก ส่วนเรื่องค่าเหนื่อยนะหรือ เหอๆ หลายปีมานี้เธอไปอยู่ข้างกายเฉินเป่ยชวนแล้ว เขาจึงไม่ได้ชิมรสเธออีกเลย
“เซี่ยวเซิง ฉันขอเตือนคุณนะ ถ้าคุณยังกล้าพูดแนวนี้กับฉันอีกล่ะก็ พรุ่งนี้ฉันจะทำให้คุณไม่ได้โอกาสทำงานในวงการบันเทิงอีกต่อไป”
หลินเฟยเอ๋อร์สีหน้าเปลี่ยนไป พอคิดไปถึงเรื่องราวของตัวเองในอดีตที่ผ่านมานั่นก็รู้สึกได้ถึงความอัปยศอดสูอันยาวนานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเธอก็คิดอยากจะให้สิ่งเหล่านั้นหายไปจากโลกใบนี้
“ไอ้หยา คุณดาราใหญ่กำลังข่มขู่ผมอยู่หรือครับนี่”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซี่ยวเซิงยังคงเดิม แต่สายตาได้เบนออกจากทรวงอกเต็มอิ่มของเธอแล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็เป็นผู้หญิงของเฉินเป่ยชวนแล้ว ไว้รอเธอถูกทิ้งเมื่อใด เขาจะทะนุถนอมเธอเป็นอย่างดีเลย
“คุณรู้ก็ดีแล้ว ของล่ะ รีบๆ เอาออกมาได้แล้ว” หลินเฟยเอ๋อร์แสร้งเงยหน้าอย่างอวดดี เธอไม่มีวันที่จะย้อนกลับไปในอดีตนั่นอีกแล้ว เพราะฉะนั้นจะพูดอย่างไรก็ต้องไม่ให้สูญเสียเฉินเป่ยชวนไปได้
“เห็นคุณรีบร้อนหรอกนะ นี่คือความยากลำบากของผมตลอดครึ่งเช้าของวันนี้เลยครับ” เขาหยิบถุงกระดาษคราฟท์ออกมาจากข้างหลังเขา เมื่อวานเขาเพิ่งจะรับภารกิจมา ไม่คิดว่าเช้าวันนี้จะได้ของที่สุดยอดนี้มาได้