เฉินเป่ยชวนขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว เขาหยุดเดิน บอดี้การ์ดสองนายที่เดินตามเขามาก็หยุดเดินเช่นกัน มั่วเชียนอดไม่ได้ที่จะกระตุกปาก แต่ไม่ได้โต้แย้งอันใด
หลินเฟยเอ๋อร์ผู้นี้ช่างใจกล้าเสียจริง บอสของพวกเขาพาเธอมาคุยเรื่องสัญญากันเพียงเท่านั้น เธอกลับได้ใจคิดอยากมีสถานะอีกหรือ?
เฉินเป่ยชวนหันไปมองหลินเฟยเอ๋อร์ และถามอย่างเฉยเมยออกไปว่า “พวกเรามีความสัมพันธ์แบบไหนกันหรือ?”
“……” หลินเฟยเอ๋อร์บื้อใบ้ไปชั่วขณะ ไร้คำพูดจะตอบ จากนั้นเธอก็หัวเราะเบาๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เป่ยชวน”
“คำพูดแบบนี้ ผมไม่อยากได้ยินอีกเป็นครั้งที่สองครับ”
มุมปากเขาโค้งเป็นวงพระจันทร์ที่แสนเย็นชา จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาแกะมือของหลินเฟยเอ๋อร์ที่กำลังคล้องแขนเขาอยู่ออกไป ในขณะเดียวกันก็สาวเท้าเดินห่างออกไป
“เป่ยชวน!” หลินเฟยเอ๋อร์ตะโกนอย่างไม่ยินยอมออกมา แล้วรีบเดินตามไป
ในตอนที่เฉินเป่ยชวนกำลังเดินจากไปอย่างไม่แยแสอยู่นั้น เฉียวจิ่งเหยียนที่ถูกเสียงตะโกนดึงความสนใจไปก่อนหน้าทันได้เห็นใบหน้าเรียวแหลมดั่งมีดเหลา และโครงหน้าอันคมสันอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้มีใบหน้าคล้ายกับตัวเขาในกระจกที่ส่องอยู่ทุกวัน
ดวงตาเขาเหมือนจะสว่างขึ้น จากนั้นส้อมในมือก็ตกลงไปกับพื้นดัง ‘แกร๊ง’
“หม่ามี๊! คุณอาคนนั้นหน้าเหมือนกับผมเลยครับ!” เฉียวจิ่งเหยียนตัวน้อยพูดเสียงดังระดับเดซิเบล
เมื่อนั้นน้ำเสียงที่น่ารัก บวกกับใบหน้าหล่อเหลาของเด็กน้อยก็ดึงดูดความสนใจของคนเป็นจำนวนมาก
รวมถึงเฉินเป่ยชวน
บริกรหนุ่มกำลังแหวกม่านให้เขาก้าวขึ้นบันได แต่พอได้ยินเสียงของเด็กน้อย เขาจึงชะลอการเดินให้ช้าลง จากนั้นก็หันกลับไปมอง
สายตาของเขากวาดมองไปทั่วใบหน้าของเฉียวจิ่งเหยียน ครั้นแล้วสายตาก็มาหยุดอยู่ที่ร่างของหญิงสาวผอมบางที่กำลังนั่งตัวตรงอยู่ด้านข้าง
“ใครหรือ?” เฉียวชูเฉี่ยนมึนงงเล็กน้อย
“เขา!” เฉียวจิ่งเหยียนตัวน้อยส่งเสียงเล็กๆ แล้วชี้ไปทิศทางหนึ่ง
เฉียวชูเฉี่ยนมองตามนิ้วที่เฉียวจิ่งเหยียนชี้ไป พอเธอเห็นใบหน้าของชายหนุ่มอย่างชัดเจน กลับเพิ่มแรงในการจับมีดและส้อมให้มากขึ้น
เวลานี้ใบหน้าอันสวยสดงดงามของเธอก็ซีดลง
“เฉิน เป่ย ชวน?” เฉียวชูเฉี่ยนเอ่ยออกมาทีละคำ ชื่อที่เธอเก็บเงียบเอาไว้ในใจมาตลอดเจ็ดปี
และในวินาทีนี้ เธอรู้สึกราวกับว่ารอยแผลตกสะเก็ดที่หัวใจได้ฉีดขาดจนเจ็บปวดอีกครั้ง
เมื่อเจอเธอ แน่ใจว่าเป็นเธอ ใบหน้าของเฉินเป่ยชวนดูราวกับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา
เขายืนอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาเขาสีเข้ม สีริมฝีปากซีด เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวแบบเรียบง่ายคลุมทับด้วยสูทสีดำ ยังทรงเสน่ห์ตามแบบฉบับของคนระดับพระกาฬแห่งวงการธุรกิจที่ชวนให้ผู้คนตกตะลึงไม่ต่างจากเดิม
แต่หากจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงเพียงหนึ่งเดียวเห็นจะเป็นจังหวะที่ลู่ฉีหันหน้ามา
ชายหนุ่มทั้งสองสบตากันผ่านช่องว่างของอากาศ
เขาค่อยๆ บีบนิ้วมือที่จับซิการ์เอาไว้ให้แน่น จากนั้นก็ดับไฟซิการ์ด้วยฝ่ามือ
เหอะ หลายปีมานี้เธอยังคบกับคนๆ นี้อีกหรือ?
แล้วยังมาแบบหนึ่งครอบครัวสามคนที่แลดูมีความสุขและเต็มอกเต็มใจอีกด้วย
เขาเม้มริมฝีปากบางแน่น รอยยิ้มของเฉินเป่ยชวนเย็นชาลงเล็กน้อย เขาย่อมสังเกตเห็นเจ้าถุงนมน้อยเฉียวจิ่งเหยียน แต่เขาไม่คิดจะสนใจเด็กที่เกิดจากผู้ชายอื่นแม้แต่น้อย
“ไม่ได้พบกันเสียนาน……” เฉียวชูเฉี่ยนกัดริมฝีปาก
เธอไม่คาดคิดจริงๆ เลยว่าวันแรกที่กลับประเทศมาจะได้เจอกับอดีตสามี——เฉิน เป่ย ชวน
“ประธานเฉิน ได้ยินชื่อเสียงของคุณมานาน ผมชื่อลู่ฉี จากกลุ่มบริษัทหวาเม่าครับ” ลู่ฉีดึงเก้าอี้ แล้วยื่นมือออกไป โดยไม่รอให้เฉียวชูเฉี่ยนได้เอ่ยปากห้าม
เดิมทีเธอตั้งใจจะยับยั้งแต่เสียงกลับติดอยู่ที่ลำคอ ทำให้เธอร้อนรนอยู่ในใจ
เฉินเป่ยชวนเคลื่อนสายตาจากใบหน้าของหญิงสาวจากนั้นก็มองไปที่นิ้วทั้งห้าของลู่ฉีที่ยื่นมาให้ เขาส่งยิ้มอันแสนจะเย็นชากลับไป
“เหมือนผมจะไม่คุ้นเคยกับคุณนะครับ” เขายกริมฝีปากให้โค้งขึ้นเล็กน้อย มือยังคงวางอยู่ในกระเป๋ากางเกง ไม่คิดที่จะยื่นออกมา
ทำให้แขนของลู่ฉีค้างอยู่กลางอากาศ บรรยากาศแลดูเก้อเขินไปชั่วขณะ