เว่ยชูหรงทิ้งตัวลงบนโซฟาและตีหน้าเศร้าร้องไห้ราวกับจะเป็นจะตาย “คุณแม่ แต่คุณแม่ต้องให้หนูเป็นคนตัดสินใจ ถึงตอนนี้หนูจะไม่ใช่แม่สามีของเฉียวชูเฉี่ยน แต่ยังไงหนูก็แก่กว่าเธอ อย่างน้อยเธอควรให้ความเคารพหนู แต่เธอกลับตบหน้าหนูอย่างแรงต่อหน้าผู้คนตั้งมากมาย แบบนี้หนูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน หนูทำให้ภาพลักษณ์ของตระกูลเฉินต้องเสียไปหมด”
ปากบอกว่าตัวเองทำให้ตระกูลเฉินเสียหน้า แต่กลับพูดโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้เฉียวชูเฉี่ยน
คิดไม่ถึงว่ายายตัวแสบจะกล้าตบเธอ พอเรื่องน่าอับอายถูกโพสต์ลงบนอินเตอร์เน็ตแบบนี้ หลังจากนี้เธอจะอยู่ในแวดวงนี้ต่อไปได้อย่างไร
ท่านผู้หญิงทนฟังเธอร้องห่มร้องไห้ตลอดช่วงเช้าจนหมดอารมณ์ “ยายหนูไม่ใช่เด็กไม่มีเหตุผล เธอต้องทำอะไรแน่ๆ ยายหนูถึงทำกับเธอแบบนี้”
เธอเห็นยายหนูมาตั้งแต่เล็กๆ แถมยังเป็นหลานสะใภ้คนโปรด เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะทำร้ายเว่ยชูหรงในร้านอาหารโดยไม่มีเหตุผล
“คุณแม่ไม่เชื่อหนูหรือคะ? หนูจะไปทำอะไรเธอได้ แค่บังเอิญไปเจอกันตอนกินข้าว หนูเลยเข้าไปทักตามมารยาท คุณแม่ก็รู้ว่าตอนที่เธอกับเป่ยชวนยังเป็นสามีภรรยากัน เธอไม่ชอบหนู ตอนนี้หย่าขาดไปแล้วก็เลยไม่ไว้หน้ากันอีก หนูแค่พูดว่ายังไงเราก็เคยเป็นครอบครัวเดียวกัน ถึงแม้จะตอนนี้จะไม่ใช่แล้ว หนูก็ยังเป็นผู้ใหญ่กว่า ใครจะไปรู้ว่าอยู่ๆ เธอจะตบหน้าหนูอย่างนั้น คุณแม่ขา บอกหนูทีว่าหนูพูดอะไรผิด”
เว่ยชูหรงเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้ เพราะเธอไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเฉินเป่ยชวนรู้ว่าเธอพูดว่าเขาไร้สมรรถภาพ
เฉินเป่ยชวนหรี่ตาลงขณะนั่งลงบนโซฟา เขากำลังเตรียมตัวไปทำงานแต่ถูกคุณย่าโทรเรียกให้กลับมาที่บ้านนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเมื่อคืนผู้หญิงคนนั้นขอลางานไปทำการแสดงที่น่าชมต่อหน้าคนจำนวนมาก
นั่นทำให้เขาต้องมองเธอเสียใหม่
“ยายหนูไม่ใช่คนแบบนี้ ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรแน่ๆ”
ไม่ว่าเว่ยชูหรงจะร้องห่มร้องไห้หรือบิดเบือนความจริงอย่างไร ท่านผู้หญิงก็ยังเลือกที่จะเชื่อสัญชาตญาณและสายตาของตัวเองมากกว่า ทว่าในแววตายังมีความสงสัยว่าชูหรงกับยายหนูคุยอะไรกันแน่ ยายหนูจึงโกรธจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ… ตอนนี้เรื่องถูกโพสต์เผยแพร่ไปทั่วอินเตอร์เน็ตแล้ว สถานการณ์ของยายหนู…
“ลองไปเช็คเรื่องนี้ทีเถอะเป่ยชวน ถึงตอนนี้ยายหนูจะหย่ากับเธอกันแล้ว แต่อย่างไรเสียก็เคยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันในฐานะสามีภรรยา ในฐานะที่เธอเป็นผู้ชาย เธอต้องคอยปกป้องยายหนูนะ ย่าไม่อยากเห็นยายหนูได้รับความอยุติธรรม”
ท่านผู้หญิงหันไปมองหลานชายที่ยังไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่มาถึง ตอนนี้ยายหนูคงขวัญหนีแย่แล้ว เธอมีชีวิตอยู่มาจนปูนนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ตอนนี้ไม่รู้ว่าในบริษัทมีใครเอาเรื่องนี้ไปพูดลับหลังบ้าง ถ้าเป่ยชวนยื่นมือเข้าไปช่วยในเวลานี้ ไม่แน่ทั้งสองคนอาจจะกลับมาสานความสัมพันธ์กันอีกก็ได้
“คุณย่า ผมรู้ว่าควรทำยังไง”
เฉินเป่ยชวนตอบอย่างไม่กระตือรือร้นก่อนจะคว้าเสื้อสูทที่อยู่ข้างตัว “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอไปบริษัทก่อนนะครับ”
“อืม ไปเถอะๆ”
ท่านผู้หญิงโบกมือให้ยิ้มๆ เฝ้ามองจนหลานชายลับตาไปแล้วจึงหันกลับมามองเว่ยชูหรงที่อยู่ข้างๆ “หยุดร้องได้แล้ว เธอเข้ามาอยู่ในตระกูลเฉินเกือบจะสามสิบปี ฉันจะไม่รู้เชียวหรือว่านิสัยใจคอเธอเป็นยังไง”
ยายหนูไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องคนอื่นอย่างแน่นอน เว่ยชูหรงเป็นคนฉลาดพูด ขนาดกับคนรับใช้ในบ้านเธอยังร้ายกับพวกเขามาก แล้วกับยายหนูจะไม่ยิ่งไปกว่านี้หรือ
“คุณแม่ ทำไมคุณแม่ถึงไม่เชื่อหนู ไม่อยู่ข้างหนูล่ะคะ”
“ฉันแก่แล้วก็จริง แต่ฉันไม่ได้ตาบอดนะ”
พูดจบท่านผู้หญิงก็ทำเสียงฮึดฮัดแล้วเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง
เว่ยชูหรงเช็ดน้ำตา ได้แต่นึกด่าทอยายแก่หนังเหนียวอยู่ในใจเพราะไม่มีทางอื่นแล้ว ตอนนี้ทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลเฉินอยู่ในมือของยายแก่ ถ้าไม่เอาใจเธอ เกิดว่าเธอมอบสมบัติทั้งหมดให้เฉินเป่ยชวนล่ะ เธอกับลูกชายจะทำยังไง?
เฉินเป่ยชวนขับรถออกจากบ้านเดิมมุ่งตรงไปยังบริษัท MR… คำวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังไม่หยุดตั้งแต่เช้าหยุดลงทันทีที่เรียวขาแข็งแรงของเขาก้าวเข้าไปในบริษัท แต่อย่างไรก็ตาม สายตาของทุกคนก็เปลี่ยนไปจับจ้องที่ห้องทำงานชั้นบนเพื่อรอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
เฉียวชูเฉี่ยนมาถึงบริษัทด้วยความรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่เพราะงานในมือที่ต้องรับผิดชอบทำให้เธอลืมข่าวนั้นไป ขณะกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออก
เธอเงยหน้าขึ้นอย่างไม่พอใจ ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นห้องทำงานส่วนตัวของเธอ และมารยาทในการเข้าห้องผู้อื่นก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่าเป็นใคร หัวใจของเธอก็เต้นไม่เป็นจังหวะ
อยู่ๆ เธอก็นึกถึงเรื่องน่าตื่นเต้นที่เกิดขึ้นในคืนนั้นขึ้นมา ทว่าก็ดึงสติกลับได้มาอย่างรวดเร็ว เธอลุกขึ้นยืนและถามเขาด้วยท่าทีที่เลขาพึงถามเจ้านาย
“ท่านประธานเฉินมาหาฉัน มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“คุณคิดว่าไงล่ะเลขาเฉียว พอใครพูดไม่ถูกใจก็ตบหน้าเข้าให้ ดูน่าเกรงขามกว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนเยอะเลยนี่”
ฝีปากที่เฉือดเฉือนของเฉินเป่ยชวนมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ถากถาง จำได้ว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนเธอชอบหลบไปร้องห่มร้องไห้ไม่ให้ใครเห็น ไม่คิดว่าเจ็ดปีให้หลังจะกล้าขนาดลงไม้ลงมือกับคนอื่นในที่สาธารณะ คิดว่าคงมีคนหนุนหลังอยู่ละสิ ใช่ผู้ชายคนที่ชื่อลู่ฉีหรือเปล่านะ?
“ท่านประธานเฉิน นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของดิฉัน ฉันคิดว่าเราไม่มีเหตุผลที่จะต้องพูดถึงเรื่องนี้ในเวลางานนะคะ”
เฉียวชูเฉี่ยนยืดตัวขึ้นโดยอัตโนมัติ พยายามที่จะไม่แสดงความขลาดกลัวต่อหน้าเขา
“เรื่องส่วนตัวรึ? ดูเหมือนคุณจะลืมไปว่าเว่ยชูหรงเป็นคนของตระกูลเฉิน ในเมื่อเป็นคนของตระกูลเฉินก็ย่อมเกี่ยวกับผม”
เฉินเป่ยชวนกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างเย็นชา แววตาแหลมคมที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด… เธอไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลเฉินตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีก่อน
“ถ้าประธานเฉินต้องการให้ฉันรับผิดชอบเรื่องที่ทำร้ายร่างกาย คุณให้ทนายมายื่นฟ้องฉันได้ค่ะ”
เว่ยชูหรงเป็นฝ่ายเหยียดหยามเธอก่อน เธอเองก็ตบเว่ยชูหรงไปอย่างนั้น ถึงแม้จะมีการฟ้องร้องเธอก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะได้รับโทษทางอาญา อย่างมากแค่ชดเชยค่าเสียหายทางแพ่งก็เป็นอันจบ
“ฟ้องร้องคุณ? เฉียวชูเฉี่ยน คุณเอาจริงเอาจังกับตัวเองจริงๆ”
ไม่มีบุคคลใดหรือบริษัทใดที่เคยถูกเฟิงฉิงฟ้องร้องแล้วยังสามารถอยู่ในซั่นเป่ยได้โดยไม่เดือดร้อน
“ถ้าอย่างนั้นท่านประธานเฉิน เพื่อชดเชยค่าเสียหายให้เว่ยชูหรง ฉันตกลงจะออกค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจร่างกายและค่ารักษาพยาบาลที่เธอต้องจ่ายให้ แบบนี้โอเคไหมคะ”
แม้ว่าจะต้องเสียเงินไปบ้าง แต่ถ้าได้แลกกับเสียงตบที่ดังชัดเจนแบบนั้นก็ถือว่าคุ้มแล้วกับเงินที่เสียไป
เฉินเป่ยชวนทำราวกับว่ากำลังฟังเรื่องตลก มุมปากกระตุกขึ้นอย่างเยาะเย้ย “ตั้งแต่คุณออกไปจากตระกูลเฉิน ตระกูลเฉินก็มีแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่ถึงกับตกต่ำจนถึงกับจะต้องให้คุณมาชดใช้ค่าเสียหายหรอก”
“……”
สีหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนซีดลงกว่าเดิม การที่ต้องออกมาจากตระกูลเฉินในคืนนั้น มันเป็นคืนที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของเธอ และยังคงเจ็บราวกับมีมีดกรีดลงมาที่หัวใจทุกครั้งที่คิดถึงมัน
ต่อให้เวลาจะผ่านมาเจ็ดปีแล้วก็ตาม
“แล้วคุณจะเอายังไง?”
เธอบังคับให้ตัวเองเงยหน้าขึ้นจากความเจ็บปวดที่เสียดแทงอยู่ในหัวใจ จ้องเข้าไปในดวงตาที่อยากจะลืมแต่ลืมไม่ได้ตรงหน้า เฉินเป่ยชวนกับเว่ยชูหรงไม่ถูกกันมาตลอด เมื่อเธอขายหน้าเขาก็มีแต่จะดีใจ ตอนนี้บังคับเคี่ยวเข็ญตัวเองไปก็เท่านั้น มีแต่จะทำให้ตัวเองลำบากใจเปล่าๆ