ขณะที่ลูบปกเสื้อสูทบริเวณหน้าอกให้เรียบ เธอคิดว่าเขาจะพูดจาถากถางไม่เข้าหูทิ้งท้ายให้เธออึดอัดแล้วค่อยหันหลังกลับออกไป แต่ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ของเขาก็โน้มลงมา ใช้มือทั้งสองข้างยันบนโต๊ะทำงานไว้และจ้องมองเธอด้วยท่าทีที่กดดันเป็นอย่างมาก “ง่ายนิดเดียว… บอกผมมาว่าคุณตบเธอทำไม”
ท่าทีกดดันและน้ำเสียงที่แสดงว่าไม่อนุญาตให้ปฏิเสธนั้น ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนหายใจกระชั้นถี่ เธอจะตอบยังไง ให้บอกเขาว่าเว่ยชูหรงดูถูกว่าเขาไร้สมรรถภาพ แถมยังเหยียดหยามเธอและลูกชายของเธอกับเขาด้วยน่ะหรือ?
“พูดมา!”
เฉินเป่ยชวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นอีกครั้งหลังจากรอจนหมดความอดทน คราวนี้ยิ่งเอาแต่ใจกว่าเดิม
“เมื่อก่อนเว่ยชูหรงเคยรังควานอยู่หลายครั้ง พอบังเอิญเจอกันเมื่อวานตอนไปกินข้าว เธอก็ยังมาด่าฉันเสียๆ หายๆ ฉันถูกก่อกวนเลยลงมือไปบ้าง ผิดด้วยหรือ”
เมื่อไม่มีทางเลือก เธอจึงพูดเหตุผลรองลงมา แต่ไม่คิดว่าเฉินเป่ยชวนจะยังซักไซ้ต่ออีก “เธอด่าคุณว่ายังไงล่ะ”
“…” ผู้ชายคนนี้ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ?”
“ฉันคิดว่าฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่พูดนะคะ ท่านประธานเฉิน ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวทำงานต่อก่อนนะคะ ถ้าคุณไม่พอใจเหตุผลที่ฉันบอกไป คุณจะให้ทนายมาฟ้องร้องฉันอย่างที่ฉันพูดไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้”
เพื่อนร่วมงานที่เหยียนสือเซี่ยแนะนำให้อาจจะด้อยกว่าก็จริง แต่เธอก็ไม่เห็นทางที่จะแพ้คดี
“ดี”
เฉินเป่ยชวนกระตุกยิ้มมุมปาก สายตาที่เย็นเยือกและคมกริบราวกับมีดนั้นทิ่มแทงเข้ามาที่หัวใจของเธอ คำพูดเรียบๆ เพียงคำเดียวทำให้เฉียวชูเฉี่ยนถึงกับแข้งขาอ่อน
เขาหมายความว่าอย่างไร?
เธอมองดูเขาละมือจากโต๊ะและหันหลังเดินออกไปอย่างงุนงง ยังไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมาเลยสักนิด
ไม่ง่ายเลยที่จะสงบจิตสงบใจหลังจากความรู้สึกถูกก่อกวน เธอไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานต่อ พอมองกองเอกสารตรงหน้าที่เพิ่งทำเสร็จไปเพียงครึ่งเดียว เธอก็ปิดเอกสารลงอย่างกระสับกระส่าย
ก็แค่การฟ้องร้องไม่ใช่หรือ
เธอไม่กลัวหรอก
“เลขาเฉียว”
เสียงของลินดาดังเข้ามา เธอตบหน้าที่มึนตึงตัวเองเบาๆ และพยายามรักษารอยยิ้มเอาไว้ “เข้ามาได้ค่ะ”
“เลขาเฉียว มีผู้ชายคนหนึ่งมาหาคุณอยู่ที่ชั้นล่าง เขาบอกว่าเขาชื่อลู่ฉี”
ดวงตาที่แย้มยิ้มของลินดาทำให้เฉียวชูเฉี่ยนวางหน้าไม่ถูก “คุณหยุดคิดเลยนะ เราเป็นแค่เพื่อนกัน”
“ไม่เป็นไร เพื่อนก็มีโอกาสเป็นอย่างอื่นได้ รีบลงไปเถอะ เขาคงเห็นข่าวในอินเตอร์เน็ตแล้วเป็นห่วงคุณ”
“ขอบคุณนะ”
เธอพยักหน้า นี่คือสิ่งที่ลู่ฉีจะทำได้
เธอหันไปมองทางห้องทำงานที่อยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ตัวเมื่อลุกจากที่นั่ง ผลก็คือบานเกล็ดถูกปิดลงแทบจะทันที จนสายตาของเธอถูกบดบังโดยสิ้นเชิง
อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เมื่อเป็นแบบนี้เฉินเป่ยชวนจะได้ไม่เห็นว่าเธอจะแอบโดดงานไปสักครู่หนึ่ง
เธอหยิบโทรศัพท์แล้วรีบลงไปชั้นล่าง โดยที่ลู่ฉีกำลังรออยู่ที่ประตูอย่างกระสับกระส่าย
เมื่อเห็นเธอเดินออกมาเขาก็รีบเดินเข้าไปทักทาย สายตาเต็มไปด้วยความกังวลและความเป็นห่วง “เฉี่ยนเฉียน คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่นี่ ฉันจะเป็นอะไรได้ล่ะ?” เธอยักไหล่น้อยๆ อย่างสบายใจ เป็นไปได้หรือว่าการตบเว่ยชูหรงไปหนึ่งทีจะทำให้เธอดับอนาถได้?
“คุณไม่ใช่คนชอบลงไม้ลงมือกับคนอื่นแท้ๆ ทำไมถึงไปหาเรื่องทะเลาะกับคุณนายเฉินแบบนั้น”
เมื่อลู่ฉีเห็นสีหน้าที่สงบของเธอ ความกังวลที่มีอยู่จึงค่อยลดลง แต่เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยชูหรงกับเฉินเป่ยชวน เขาก็ยังรู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ
เป็นเพราะความสัมพันธ์ของเขาหรือเปล่าเธอจึงลงไม้ลงมือแบบนี้?
“ทำไมคุณมองฉันอย่างนั้นล่ะ? อย่าลืมสิว่าตอนเด็กๆ ฉันก็เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทบ่อยๆ”
เฉียวชูเฉี่ยนอึดอัดเมื่อถูกเขาจ้องมองอย่างพยายามค้นหาคำตอบ จึงเบ่งแขนโชว์ให้เห็นกล้ามเนื้อที่แขนเพราะอยากยุติความรู้สึกอึดอัดนี้เสียที โชคดีที่ท่าทางของเธอทำให้ลู่ฉีรู้สึกขบขัน
“ถ้าคุณไม่พูด ผมคงไม่กล้าพูดถึง ผมจำได้ ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่หก ในห้องของคุณมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบดึงผมเปียของเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะหน้า เพราะเขาชอบเธอและอยากคุยกับเธอมากกว่านี้ แต่คุณคิดว่าเขากำลังรังแกเด็กผู้หญิง หลังเลิกเรียนก็เลยกดหมอนั่นลงกับพื้นแล้วชกไปหนึ่งที แถมยังพยายามดึงผมสั้นๆ ของเขาออกมากระจุกนึง ทำให้เขาต้องใส่หมวกตลอดเวลา ตั้งแต่เข้าเรียนยันเลิกเรียน”
แววตาของลู่ฉีเป็นประกายขณะที่พูด อดีตที่ผ่านมายาวนานเหล่านั้นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ พวกเขาสองคนอายุห่างกันสามปี นอกจากสมัยเรียนชั้นประถม ที่เหลือก็คลาดกันโดยสิ้นเชิง ทว่าเขาก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเฉี่ยนเฉียนดีทุกอย่าง
เฉียวชูเฉี่ยนหน้าแดงเมื่อถูกพูดถึงเรื่องน่าอายเมื่อตอนเป็นเด็ก “เรื่องมันผ่านมากี่ปีแล้ว คุณยังจะพูดถึงอีก ตอนนั้นฉันยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนี่นา”
ความจริงจนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมตอนอยู่ชั้นประถม เด็กผู้ชายถึงได้ทำตัวเป็นเด็กขนาดนั้น ไม่ยอมสารภาพกับผู้หญิงที่ตัวเองชอบดีๆ แต่กลับพยายามยั่วโมโหเพื่อเรียกร้องความสนใจ
“โอเค ผมก็แค่พูดเฉยๆ เพียงแต่ว่านึกถึงภาพความเป็นสาวแกร่งของคุณตอนนั้น มันน่ารักเป็นพิเศษเลย”
ในแวดวงของพวกเขา เด็กผู้หญิงจะถูกอบรมสั่งสอนให้เป็นกุลสตรีตั้งแต่ยังเล็กๆ ต้องยิ้มอย่างงดงามอ่อนหวาน ต้องชงชา จัดดอกไม้ ต้องรู้จักรักสวยรักงามอยู่ตลอด เพียงเพื่อที่พวกเธอจะได้กลายเป็นภรรยาผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมสำหรับตระกูลที่ร่ำรวยในอนาคต
แต่เฉี่ยนเฉียนแตกต่างออกไป ตอนที่ลุงกับป้าสะใภ้ของเธอยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาต่างอบรมสั่งสอนโดยยึดตามความชอบของเธอ จนยิ่งเป็นที่รักใคร่เอ็นดูในแวดวงของพวกเขา
ด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของเฉี่ยนเฉียนครึ่งหนึ่งจึงมีความสง่าแบบลูกคุณหนูในครอบครัวเศรษฐี อีกครึ่งหนึ่งเป็นคนที่ทำตามความยึดมั่นของตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่สมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เธอเลือกที่จะไม่พูดถึงคณะบริหารธุรกิจและไม่ได้เรียนในสาขาที่เกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัว แต่เลือกที่จะเรียนแพทย์ แถมยังเรียนเกี่ยวกับศัลยศาสตร์ซึ่งเป็นสาขาที่เหนื่อยมากสำหรับผู้หญิง
หญิงสาวที่บ้านมีฐานะคนอื่นๆ อาจจะจบการศึกษาจากต่างประเทศได้ภายในเวลาสองหรือสามปี มีแค่เธอที่ตั้งใจเรียนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในคณะแพทยศาสตร์นานถึงห้าปี ทั้งยังคิดจะเรียนต่อปริญญาโทและปริญญาเอก แต่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นเธอจึงเลือกที่จะหยุดเรียน
“อย่ามาล้อฉันเล่นหน่อยเลย จิ่งเหยียนเล่นบาสเป็นแล้ว อายุขนาดฉันจะน่ารักได้สักแค่ไหนกัน”
เธอใช้นิ้วลูบปลายผมของตัวเองเบาๆ พยายามอย่างเต็มที่ที่จะปิดบังความอึดอัดและลำบากใจที่เกิดจากคำพูดของลู่ฉี
แต่สายตาเย็นเยือกที่มองมาจากชั้นบนกลับตีความภาพที่เกิดขึ้นนี้เป็นคนละเรื่อง
ท่าทางเขินอายนั้นทำให้ใบหน้าของเฉินเป่ยชวนยิ่งดูไม่น่ามอง เครื่องหน้าที่ดูดีของชายหนุ่มดูขมึงทึงขึ้น เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้รีบลงไปข้างล่างเพื่อไปหาทนาย ไม่คิดเลยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเธอจะมาที่นี่
แววตาที่เยียบเย็นคู่นั้นหยุดมองรถ SUV สีน้ำเงินที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถชั้นล่าง มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย “ลู่ฉี ผู้สืบทอดของตระกูลลู่… ดี!”
“ฉันละอยากเห็นจริงๆ ว่าใครจะเป็นคนได้ผู้หญิงคนนี้ไป”
ลู่ฉีที่อยู่ข้างล่างตัวสั่นขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับว่าถูกใครบางคนจ้องมองอยู่
เขาเงยศีรษะขึ้นมองไปยังตำแหน่งที่อยู่ด้านบนโดยไม่รู้ตัว แต่เนื่องจากมุมนั้นเป็นมุมอับจึงมองไม่เห็นอะไร
“อาคารสำนักงานของบริษัท MR อาจจะไม่โอ่อ่าเท่าที่ตระกูลลู่ของคุณ”
เดิมที MR ใกล้จะล้มละลายอยู่แล้ว ดังนั้นสำนักงานจึงไม่ได้อยู่ในทำเลหรู นอกจากนี้ตัวสำนักงานยังเป็นอาคารที่ตกแต่งอย่างธรรมดาๆ จึงไม่ได้มีทัศนียภาพอะไรให้น่าชมนัก