ลาก่อน คุณสามี – ตอนที่ 32 บอกผมมาว่าคุณตบเธอทำไม

ขณะที่ลูบปกเสื้อสูทบริเวณหน้าอกให้เรียบ เธอคิดว่าเขาจะพูดจาถากถางไม่เข้าหูทิ้งท้ายให้เธออึดอัดแล้วค่อยหันหลังกลับออกไป แต่ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ของเขาก็โน้มลงมา ใช้มือทั้งสองข้างยันบนโต๊ะทำงานไว้และจ้องมองเธอด้วยท่าทีที่กดดันเป็นอย่างมาก “ง่ายนิดเดียว… บอกผมมาว่าคุณตบเธอทำไม”

ท่าทีกดดันและน้ำเสียงที่แสดงว่าไม่อนุญาตให้ปฏิเสธนั้น ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนหายใจกระชั้นถี่ เธอจะตอบยังไง ให้บอกเขาว่าเว่ยชูหรงดูถูกว่าเขาไร้สมรรถภาพ แถมยังเหยียดหยามเธอและลูกชายของเธอกับเขาด้วยน่ะหรือ?

“พูดมา!”

เฉินเป่ยชวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นอีกครั้งหลังจากรอจนหมดความอดทน คราวนี้ยิ่งเอาแต่ใจกว่าเดิม

“เมื่อก่อนเว่ยชูหรงเคยรังควานอยู่หลายครั้ง พอบังเอิญเจอกันเมื่อวานตอนไปกินข้าว เธอก็ยังมาด่าฉันเสียๆ หายๆ ฉันถูกก่อกวนเลยลงมือไปบ้าง ผิดด้วยหรือ”

เมื่อไม่มีทางเลือก เธอจึงพูดเหตุผลรองลงมา แต่ไม่คิดว่าเฉินเป่ยชวนจะยังซักไซ้ต่ออีก “เธอด่าคุณว่ายังไงล่ะ”

“…” ผู้ชายคนนี้ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ?”

“ฉันคิดว่าฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่พูดนะคะ ท่านประธานเฉิน ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวทำงานต่อก่อนนะคะ ถ้าคุณไม่พอใจเหตุผลที่ฉันบอกไป คุณจะให้ทนายมาฟ้องร้องฉันอย่างที่ฉันพูดไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้”

เพื่อนร่วมงานที่เหยียนสือเซี่ยแนะนำให้อาจจะด้อยกว่าก็จริง แต่เธอก็ไม่เห็นทางที่จะแพ้คดี

“ดี”

เฉินเป่ยชวนกระตุกยิ้มมุมปาก สายตาที่เย็นเยือกและคมกริบราวกับมีดนั้นทิ่มแทงเข้ามาที่หัวใจของเธอ คำพูดเรียบๆ เพียงคำเดียวทำให้เฉียวชูเฉี่ยนถึงกับแข้งขาอ่อน

เขาหมายความว่าอย่างไร?

เธอมองดูเขาละมือจากโต๊ะและหันหลังเดินออกไปอย่างงุนงง ยังไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมาเลยสักนิด

ไม่ง่ายเลยที่จะสงบจิตสงบใจหลังจากความรู้สึกถูกก่อกวน เธอไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานต่อ พอมองกองเอกสารตรงหน้าที่เพิ่งทำเสร็จไปเพียงครึ่งเดียว เธอก็ปิดเอกสารลงอย่างกระสับกระส่าย

ก็แค่การฟ้องร้องไม่ใช่หรือ

เธอไม่กลัวหรอก

“เลขาเฉียว”

เสียงของลินดาดังเข้ามา เธอตบหน้าที่มึนตึงตัวเองเบาๆ และพยายามรักษารอยยิ้มเอาไว้ “เข้ามาได้ค่ะ”

“เลขาเฉียว มีผู้ชายคนหนึ่งมาหาคุณอยู่ที่ชั้นล่าง เขาบอกว่าเขาชื่อลู่ฉี”

ดวงตาที่แย้มยิ้มของลินดาทำให้เฉียวชูเฉี่ยนวางหน้าไม่ถูก “คุณหยุดคิดเลยนะ เราเป็นแค่เพื่อนกัน”

“ไม่เป็นไร เพื่อนก็มีโอกาสเป็นอย่างอื่นได้ รีบลงไปเถอะ เขาคงเห็นข่าวในอินเตอร์เน็ตแล้วเป็นห่วงคุณ”

“ขอบคุณนะ”

เธอพยักหน้า นี่คือสิ่งที่ลู่ฉีจะทำได้

เธอหันไปมองทางห้องทำงานที่อยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ตัวเมื่อลุกจากที่นั่ง ผลก็คือบานเกล็ดถูกปิดลงแทบจะทันที จนสายตาของเธอถูกบดบังโดยสิ้นเชิง

อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เมื่อเป็นแบบนี้เฉินเป่ยชวนจะได้ไม่เห็นว่าเธอจะแอบโดดงานไปสักครู่หนึ่ง

เธอหยิบโทรศัพท์แล้วรีบลงไปชั้นล่าง โดยที่ลู่ฉีกำลังรออยู่ที่ประตูอย่างกระสับกระส่าย

เมื่อเห็นเธอเดินออกมาเขาก็รีบเดินเข้าไปทักทาย สายตาเต็มไปด้วยความกังวลและความเป็นห่วง “เฉี่ยนเฉียน คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ไม่นี่ ฉันจะเป็นอะไรได้ล่ะ?” เธอยักไหล่น้อยๆ อย่างสบายใจ เป็นไปได้หรือว่าการตบเว่ยชูหรงไปหนึ่งทีจะทำให้เธอดับอนาถได้?

“คุณไม่ใช่คนชอบลงไม้ลงมือกับคนอื่นแท้ๆ ทำไมถึงไปหาเรื่องทะเลาะกับคุณนายเฉินแบบนั้น”

เมื่อลู่ฉีเห็นสีหน้าที่สงบของเธอ ความกังวลที่มีอยู่จึงค่อยลดลง แต่เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยชูหรงกับเฉินเป่ยชวน เขาก็ยังรู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ

เป็นเพราะความสัมพันธ์ของเขาหรือเปล่าเธอจึงลงไม้ลงมือแบบนี้?

“ทำไมคุณมองฉันอย่างนั้นล่ะ? อย่าลืมสิว่าตอนเด็กๆ ฉันก็เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทบ่อยๆ”

เฉียวชูเฉี่ยนอึดอัดเมื่อถูกเขาจ้องมองอย่างพยายามค้นหาคำตอบ จึงเบ่งแขนโชว์ให้เห็นกล้ามเนื้อที่แขนเพราะอยากยุติความรู้สึกอึดอัดนี้เสียที โชคดีที่ท่าทางของเธอทำให้ลู่ฉีรู้สึกขบขัน

“ถ้าคุณไม่พูด ผมคงไม่กล้าพูดถึง ผมจำได้ ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่หก ในห้องของคุณมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบดึงผมเปียของเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะหน้า เพราะเขาชอบเธอและอยากคุยกับเธอมากกว่านี้ แต่คุณคิดว่าเขากำลังรังแกเด็กผู้หญิง หลังเลิกเรียนก็เลยกดหมอนั่นลงกับพื้นแล้วชกไปหนึ่งที แถมยังพยายามดึงผมสั้นๆ ของเขาออกมากระจุกนึง ทำให้เขาต้องใส่หมวกตลอดเวลา ตั้งแต่เข้าเรียนยันเลิกเรียน”

แววตาของลู่ฉีเป็นประกายขณะที่พูด อดีตที่ผ่านมายาวนานเหล่านั้นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ พวกเขาสองคนอายุห่างกันสามปี นอกจากสมัยเรียนชั้นประถม ที่เหลือก็คลาดกันโดยสิ้นเชิง ทว่าเขาก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเฉี่ยนเฉียนดีทุกอย่าง

เฉียวชูเฉี่ยนหน้าแดงเมื่อถูกพูดถึงเรื่องน่าอายเมื่อตอนเป็นเด็ก “เรื่องมันผ่านมากี่ปีแล้ว คุณยังจะพูดถึงอีก ตอนนั้นฉันยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนี่นา”

ความจริงจนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมตอนอยู่ชั้นประถม เด็กผู้ชายถึงได้ทำตัวเป็นเด็กขนาดนั้น ไม่ยอมสารภาพกับผู้หญิงที่ตัวเองชอบดีๆ แต่กลับพยายามยั่วโมโหเพื่อเรียกร้องความสนใจ

“โอเค ผมก็แค่พูดเฉยๆ เพียงแต่ว่านึกถึงภาพความเป็นสาวแกร่งของคุณตอนนั้น มันน่ารักเป็นพิเศษเลย”

ในแวดวงของพวกเขา เด็กผู้หญิงจะถูกอบรมสั่งสอนให้เป็นกุลสตรีตั้งแต่ยังเล็กๆ ต้องยิ้มอย่างงดงามอ่อนหวาน ต้องชงชา จัดดอกไม้ ต้องรู้จักรักสวยรักงามอยู่ตลอด เพียงเพื่อที่พวกเธอจะได้กลายเป็นภรรยาผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมสำหรับตระกูลที่ร่ำรวยในอนาคต

แต่เฉี่ยนเฉียนแตกต่างออกไป ตอนที่ลุงกับป้าสะใภ้ของเธอยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาต่างอบรมสั่งสอนโดยยึดตามความชอบของเธอ จนยิ่งเป็นที่รักใคร่เอ็นดูในแวดวงของพวกเขา

ด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของเฉี่ยนเฉียนครึ่งหนึ่งจึงมีความสง่าแบบลูกคุณหนูในครอบครัวเศรษฐี อีกครึ่งหนึ่งเป็นคนที่ทำตามความยึดมั่นของตัวเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่สมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เธอเลือกที่จะไม่พูดถึงคณะบริหารธุรกิจและไม่ได้เรียนในสาขาที่เกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัว แต่เลือกที่จะเรียนแพทย์ แถมยังเรียนเกี่ยวกับศัลยศาสตร์ซึ่งเป็นสาขาที่เหนื่อยมากสำหรับผู้หญิง

หญิงสาวที่บ้านมีฐานะคนอื่นๆ อาจจะจบการศึกษาจากต่างประเทศได้ภายในเวลาสองหรือสามปี มีแค่เธอที่ตั้งใจเรียนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในคณะแพทยศาสตร์นานถึงห้าปี ทั้งยังคิดจะเรียนต่อปริญญาโทและปริญญาเอก แต่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นเธอจึงเลือกที่จะหยุดเรียน

“อย่ามาล้อฉันเล่นหน่อยเลย จิ่งเหยียนเล่นบาสเป็นแล้ว อายุขนาดฉันจะน่ารักได้สักแค่ไหนกัน”

เธอใช้นิ้วลูบปลายผมของตัวเองเบาๆ พยายามอย่างเต็มที่ที่จะปิดบังความอึดอัดและลำบากใจที่เกิดจากคำพูดของลู่ฉี

แต่สายตาเย็นเยือกที่มองมาจากชั้นบนกลับตีความภาพที่เกิดขึ้นนี้เป็นคนละเรื่อง

ท่าทางเขินอายนั้นทำให้ใบหน้าของเฉินเป่ยชวนยิ่งดูไม่น่ามอง เครื่องหน้าที่ดูดีของชายหนุ่มดูขมึงทึงขึ้น เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้รีบลงไปข้างล่างเพื่อไปหาทนาย ไม่คิดเลยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเธอจะมาที่นี่

แววตาที่เยียบเย็นคู่นั้นหยุดมองรถ SUV สีน้ำเงินที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถชั้นล่าง มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย “ลู่ฉี ผู้สืบทอดของตระกูลลู่… ดี!”

“ฉันละอยากเห็นจริงๆ ว่าใครจะเป็นคนได้ผู้หญิงคนนี้ไป”

ลู่ฉีที่อยู่ข้างล่างตัวสั่นขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับว่าถูกใครบางคนจ้องมองอยู่

เขาเงยศีรษะขึ้นมองไปยังตำแหน่งที่อยู่ด้านบนโดยไม่รู้ตัว แต่เนื่องจากมุมนั้นเป็นมุมอับจึงมองไม่เห็นอะไร

“อาคารสำนักงานของบริษัท MR อาจจะไม่โอ่อ่าเท่าที่ตระกูลลู่ของคุณ”

เดิมที MR ใกล้จะล้มละลายอยู่แล้ว ดังนั้นสำนักงานจึงไม่ได้อยู่ในทำเลหรู นอกจากนี้ตัวสำนักงานยังเป็นอาคารที่ตกแต่งอย่างธรรมดาๆ จึงไม่ได้มีทัศนียภาพอะไรให้น่าชมนัก

ลาก่อน คุณสามี

ลาก่อน คุณสามี

ความทรงจำของปลาอยู่ได้แค่ 7 วินาที แต่ฉันกลับรักคุณมาถึง 7 ปี ……………..เฉียวชูเฉี่ยน เฉียวชูเฉี่ยนไม่คิดเลยว่าวันแรกที่เธอมาถึงประเทศจีน เธอจะได้พบกับอดีตสามีของเธอ……….เฉินเป่ยชวน มีข่าวลือมาว่า เจ้าของกิจการสถานบันเทิงอย่างเฉินเป่ยชวน เป็นคนที่มีนิสัยแปลกๆ และไม่สนใจผู้หญิง แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยแต่งงานและเคยหย่ามาก่อน ซ้ำยังมีลูกแล้วอีกด้วย “ใคร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งในขั่วโลกเหนือ “เป็น…….เป็นลูกของฉันเอง” “อ่อ ถ้างั้นคุณเลขาเฉียวสาธิตผมหน่อยสิว่าทำยังไง” เขาหยุดคำพูดของเขา และก้าวเข้าไปหาเธอ ทำให้เธอไปไหนไม่ได้ดวงตาของชายหนุ่มมืดลงทันที คุณลุงลู่ฉีเหรอ? “………” เธอ ซวย แล้ว! เฉียวชูเฉี่ยน เด็กน้อยเฉียวจิ่งเหยียนไม่ทำตาม และเข้าไปกัดต้นขาของเขา “ปล่อยหม่ามี๊ของผมนะ ผมเป็นลูกของหม่ามี๊และคุณลุงลู่ฉี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset