เขาพูดพลางสาธิตขั้นตอนให้ดูไปด้วย ซึ่งปกติเธอจะแค่หั่นมันบางๆ… เมื่อไฟร้อนแล้วเขาจึงโยนมะเขือเทศลงไปผัดในกระทะจนส่งกลิ่นหอมฉุย เทียบกับมะเขือเทศสดแล้วจะมีรสชาติดีกว่ามาก
“ควรใช้น้ำเย็นจะดีที่สุด ค่อยๆ ต้มไปเรื่อยแบบนี้ให้มะเขือเทศยุ่ย”
แววตาของลู่ฉีเป็นประกายอ่อนโยนราวกับน้ำใสที่ไหลรินเมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาสามารถรอได้อย่างใจเย็น ไม่ต่างจากการต้มมะเขือเทศเช่นนี้ ที่ต้องใช้เวลาจึงจะทำให้เปื่อยยุ่ยได้
“ฉี ฉันมองคุณเป็นเพื่อนของฉัน… เป็นมาตลอด”
เธอคิดคำพูดไว้มากมาย แต่เมื่อถึงเวลาต้องพูดจริงๆ กลับรู้สึกว่าตัวเองได้เลือกคำที่ทำให้เจ็บปวดมากที่สุด
ลู่ฉีที่กำลังปอกเปลือกมะเขือเทศอย่างระมัดระวังตัวแข็งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะค่อยผ่อนคลายลงในไม่กี่วินาทีถัดมา “เป็นเพื่อนกันก็ดี… ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน”
ไม่มีทางทำให้ทุกอย่างย้อนคืนได้อีกแล้ว เฉียวชูเฉี่ยนทำได้เพียงทำเรื่องใจร้ายนี้ต่อไปจนถึงที่สุด
“คุณก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ในช่วงแรกที่อยู่ที่อเมริกาฉันคิดว่าตัวเองคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉันจึงไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของคุณ จนกระทั่งขาดกันไม่ได้ แต่ว่านะฉี มันเป็นแค่ความผูกพันมาตลอด ไม่ใช่ความรัก”
เธอลองพยายามอย่างมากแล้วจริงๆ ฟังเหยียนสือเซี่ยบอกตนครั้งแล้วครั้งเล่าว่าลู่ฉีเป็นผู้ชายที่ดี ถ้าพลาดไปจะไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง แต่เธอทำไม่ได้จริงๆ ในใจของเธอมีใครอีกคนอยู่แล้ว หากยังลืมเขาไม่ได้เธอก็ไม่สามารถมีใครได้อีก และสิ่งที่เป็นอุปสรรคอีกอย่างในการรักลู่ฉีก็คือไม่ว่าเธอจะพยายามอย่างไร ก็ไม่สามารถลบภาพของคนคนนั้นออกไปจากใจได้เลย
เฉินเป่ยชวน คำสามคำนี้เหมือนถูกสลักลึกลงไปในใจของเธอ
“เฉี่ยนเฉียน ความผูกพันที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความรักได้”
ลู่ฉีหันกลับมา ใบหน้าที่อ่อนโยนเต็มไปด้วยความหงอยเหงาที่ทำให้ผู้พบเห็นไม่อาจทนมองได้ เมื่อเธอบอกว่ามันเป็นความผูกพันไม่ใช่ความรัก
“ฉันขอโทษ ฉันทำไม่ได้”
“เป็นเพราะคุณมีใครอยู่ในใจแล้วใช่ไหม?”
แม้ในใจจะมีคำตอบสำหรับคำถามนี้อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังต้องการการยืนยันอีกครั้ง
“อาจจะ”
เฉียวชูเฉี่ยนไม่รู้จะตอบอย่างไร ถึงจะหย่ามา 7 ปีแล้วแต่เธอยังคงรักอดีตสามีไม่น้อยไปกว่าใคร หากพูดออกไปจะไม่รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างนั้นหรือ
แววแห่งความผิดหวังฉายอยู่ในดวงตาของลู่ฉี แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยนั่นก็แสดงให้เห็นว่าเธอยอมรับแล้ว
“คนๆ นั้นคือ…”
“ฉี น้ำเดือดแล้วนะ ใส่เส้นลงไปได้แล้ว”
เฉียวชูเฉี่ยนขัดขึ้นมาก่อนโดยไม่รอให้เขาถามคำถามที่ต้องการจะถามจนจบ ถ้าเขาถามขึ้นมาจริงๆ ว่าคนที่ตนรักคือเฉินเป่ยชวนใช่หรือไม่ เธอคงไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร
“ใช่ น้ำเดือดแล้ว” ลู่ฉีพยักหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น เขามองน้ำที่เดือดอยู่ในหม้อ มะเขือเทศที่อยู่ในนั้นเปื่อยหมดแล้ว แต่แม้ว่าเขาจะเพิ่มไฟให้แรงสักแค่ไหนก็ไม่มีทางละลายหัวใจของเฉี่ยนเฉียนที่มีใครอีกคนอยู่ในนั้นได้
เขาใส่เส้นลงหม้อในคราวเดียว เฉียวชูเฉี่ยนทำได้แค่เพียงนั่งรอเฉยๆ ที่โต๊ะท่ามกลางบรรยากาศที่ชวนให้อึดอัด ลู่ฉีเป็นคนดีมาก เป็นผู้ชายที่ดีที่สุดอย่างหาใครเทียบไม่ได้ในโลกของเธอ แต่ผู้ชายที่ดีแบบนี้เธอกลับไม่อาจรักเขาได้
“ลองชิมดูสิว่าอร่อยกว่าก๋วยเตี๋ยวที่หน้าตาดูดีแต่รสชาติไม่ได้เรื่องที่คุณทำหรือเปล่า ”
เขายังคงพูดติดตลกเหมือนเคย ทว่าเธอมองเห็นความเศร้าในแววตาของเขา คำพูดของเธอก่อนหน้านี้ได้ทำร้ายเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ฉี ฉันขอโทษ”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วละ เรื่องของความรู้สึกมันต้องเกิดขึ้นจากทั้งสองฝ่าย ไม่มีอะไรที่คุณต้องขอโทษเลย”
ลู่ฉีขัดจังหวะคำขอโทษของเธอทันที เมื่อเทียบกับการที่เธอบอกว่าเธอมีคนที่ชอบอยู่แล้ว คำว่าขอโทษนั้นยิ่งมีแต่จะทำให้เจ็บปวดมากขึ้น เพราะมันหมายความว่าเขาไม่เหลือโอกาสใดๆ อีกแล้ว
เธอเม้มริมฝีปาก ทำได้เพียงก้มหน้าลงและแสร้งทำเป็นกินก๋วยเตี๋ยวอย่างเงียบๆ รสชาติก๋วยเตี๋ยวของลู่ฉีนั้นไม่มีที่ติเลย แต่มันก็ยังไม่ใช่รสชาติที่ใจของเธอต้องการมากที่สุดอยู่ดี
ขณะที่กำลังกินอยู่นั้น อยู่ๆ มือที่ถือตะเกียบก็ถูกลู่ฉีเอื้อมมากุมไว้ “เฉี่ยนเฉียน ผมรู้ว่าที่ผ่านมาคุณมีใครคนหนึ่งในใจมาตลอด ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งผมรู้สึกกังวลมาก เพราะไม่ว่าผมจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้เขาหลุดออกไปจากใจคุณได้เลย แต่ผมก็ยังอยากจะบอกคุณ ว่าผมไม่กลัวที่จะต้องรอต่อไป ผมจะรอจนกว่าวันที่หัวใจของคุณจะมีที่ว่างพอสำหรับผม”
เขารู้จักเฉี่ยนเฉียนมาเนิ่นนาน แต่ไม่เคยมีความกล้าพอที่จะสารภาพรักกับเธอ การรอคอยทั้งหมดในตอนนี้เป็นการลงโทษตัวเองที่ไม่กล้าพอ ไม่ว่าจะต้องรอนานแค่ไหนเขาก็จะรอต่อไป
“…”
เฉียวชูเฉี่ยนอยากจะดึงมือกลับมาแต่ว่าต้านทานแรงของลู่ฉีไม่ได้ จึงทำได้แค่ปล่อยให้เขาจับมืออยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
“ฉี คุณหาผู้หญิงที่ดีกว่าฉันได้”
ในอดีตเธอยังมีตระกูลเฉียวที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนี้ไม่มีตระกูลเฉียวอีกต่อไป แถมตัวเธอยังผ่านการแต่งงานและการหย่าร้างมาแล้ว เธอมีลูกกับผู้ชายอีกคน แม้ว่าจะไม่อยากดูแคลนตัวเองอย่างนี้ แต่คนอย่างเธอก็ไม่คู่ควรกับลู่ฉีอีกต่อไป
“ในสายตาของผม ไม่มีผู้หญิงคนไหนดีไปกว่าคุณอีกแล้ว”
ความเยือกเย็นแน่วแน่ในดวงตาของลู่ฉีทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย จึงใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงมือของตนให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา “ลู่ฉี ฉันปฏิบัติต่อคุณได้แค่ในฐานะเพื่อนเท่านั้น ไม่ว่าจะเมื่อก่อน ตอนนี้ หรือในอนาคต”
ความคลุมเครือไม่ชัดเจนลงเอยด้วยการทำร้ายผู้อื่นและตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นลู่ฉีเสียเวลากับเธอมานานมากแล้ว เธอจะเห็นแก่ตัวและเสพสุขจากการที่เขาทำดีกับเธอต่อไปอีกไม่ได้
ประโยคสุดท้ายที่เธอพูดทำให้ดวงตาของลู่ฉีวูบไหวด้วยความเจ็บปวด เขาทำได้เพียงใช้การจากไปเป็นข้ออ้างเพื่อไม่ให้เห็นความเจ็บปวดของตนเองชัดจนเกินไป “คุณกินไปเถอะ ผมยังมีเรื่องต้องทำที่บ้าน คงอยู่เป็นเพื่อนคุณต่อไม่ได้แล้ว”
ประตูปิดลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงปิดที่แผ่วเบา เฉียวชูเฉี่ยนมองก๋วยเตี๋ยวในชาม เธอก้มหน้าและกินอย่าง
ละเมียดละไม บางทีเธอคงเห็นแก่ตัวจนเคยชินจริงๆ หวังว่าหลังจากนี้เธอกับลู่ฉีจะยังเป็นเพื่อนกันได้
ณ คฤหาสน์ทะเลสาบหมิงเยว่ ร่างสูงสง่าทว่าเย็นชาของเฉินเป่ยชวนยืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่างบานใหญ่ ในหัวยังคงฉายภาพที่เพิ่งเห็นมาซ้ำๆ… ลู่ฉี เฉียวชูเฉี่ยนและลูกของพวกเขา ครอบครัวดีๆ ที่มีกันสามคน เขามองแล้วได้แต่รู้สึกว่าทั้งสามคนช่างเข้ากันได้ดีมากเหลือเกิน มากจนเขารู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและกดโทรหาเลขาของเขาโดยตรง “ฮัลโหล เตรียมงานแถลงข่าวที ผมมีเรื่องจะประกาศให้รู้ในวันพรุ่งนี้”
“เจ้านาย พรุ่งนี้หรือคะ?”
“ใช่ ผมต้องเห็นสื่อทั้งหมดของซั่นเป่ย”
เมื่อพูดจบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเขาก็วางสายทันที เฉียวชูเฉี่ยน ผมจะทำให้คุณเข้าใจว่าที่ตัวของคุณมีป้ายติดเอาไว้ ซึ่งคุณจะเอาออกได้ก็ต่อเมื่อผมบอกให้เอาออกเท่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น เฉียวชูเฉี่ยนถูกปลุกโดยนกกางเขนที่อยู่ข้างนอกซึ่งไม่รู้ว่าบินมาตั้งแต่ตอนไหน เธอเหลือบไปดูนาฬิกา โชคดีที่ยังเช้าอยู่ เธอจะไม่ปล่อยให้เจ้าตัวน้อยต้องไปโรงเรียนสายในวันนี้
“หม่ามี๊ ข้างนอกนั่นนกอะไรฮะ ผมหนวกหูมากเลย”
เจ้าตัวน้อยที่อยู่ในชุดนอนลายหมีพูห์น่ารักเดินเข้ามาหา ท่าทางที่ดูสะลึมสะลือเพราะง่วงนอนนั้นน่ารักน่าชังจนเธออดไม่ได้ที่จะหอมแก้มเขาไปหนึ่งฟอด อย่างที่เขาว่ากันว่าคนเป็นแม่ยิ่งมองลูกตัวเองก็ยิ่งรู้สึกว่าน่ารัก
“นั่นเรียกว่านกกางเขน นกกางเขนร้องในตอนเช้าหมายความว่าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น บางทีคุณครูอาจจะชมหนูในชั้นเรียนวันนี้ก็ได้นะ”
เธอบีบจมูกงอนๆ ของเขา ยังไงซะเธอก็เชื่อโชคลางพอๆ กับวิทยาศาสตร์ เรื่องที่คนรุ่นเก่าบอกเล่าต่อๆ กันมาซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงแค่ไหน… เป็นไปได้ไหมที่วันนี้จะมีเรื่องที่น่ายินดีเกิดขึ้นจริงๆ?