หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เฉียวชูเฉี่ยนจึงพาเจ้าตัวน้อยลงมาข้างล่างและแวะซื้ออาหารเช้าสองชุดจากร้านค้าข้างนอก “ถึงห้องเรียนแล้วรีบกินข้าวก่อนเลยนะ”
“ผมรู้แล้วฮะ”
เจ้าตัวน้อยแบะปากอย่างไม่พอใจ เขาไม่ใช่เด็กสามขวบที่ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว จะไม่รู้เชียวหรือว่าต้องกินข้าวเช้าก่อน เพราะถ้าไม่เติมอาหารลงไปให้เต็มกระเพาะตอนเรียนก็จะหิว เขาจะปล่อยให้เหลือหรือ?
“ต้องแบบนี้สิลูกชายคนเก่งของหม่ามี๊ ถ้าคุณครูชมขึ้นมาจริงๆ อย่าลืมกลับบ้านไปเล่าให้หม่ามี๊ฟังด้วยนะ”
เฉียวชูเฉี่ยนห้อมแก้มของเขาเสียงดังฟอด ก่อนจะโบกมือเรียกแท็กซี่แล้วขึ้นรถไป
หลังจากส่งลูกชายเข้าเรียนแล้วเธอจึงบอกให้แท็กซี่ขับรถไปส่งเธอที่ MR ขณะที่เธอเพิ่งเข้าไปถึงห้องทำงานและเตรียมกินอาหารเช้าก่อนที่จะถึงเวลาเริ่มงานในอีกไม่กี่นาที ลินดาก็เคาะประตูแล้วเข้ามาพอดี
“ฉันมารบกวนเวลาอาหารเช้าของคุณหรือเปล่า?”
ลินดาเอ่ยยิ้มๆ เมื่อเห็นอาหารเช้าบนโต๊ะของเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ อีกเดี๋ยวค่อยกินก็ได้ คุณมาหาฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ?” เฉียวชูเฉี่ยนถามอย่างสงสัย เพราะตอนที่อยู่ชั้นล่างเธอไม่เห็นรถมายบัคของเฉินเป่ยชวน แสดงว่าเขายังไม่มา จึงไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับเขา
“มีค่ะ เมื่อคืนท่านประธานเฉินแจ้งมากะทันหันว่าวันนี้สำนักงานใหญ่เฟิงฉิงจะจัดงานแถลงข่าวตอนเก้าโมงเช้า พวกเราที่อยู่ MR เพิ่งได้รับการแจ้งเมื่อตอนเช้าตรู่ ท่านประธานเฉินบอกว่าคุณต้องเป็นตัวแทนของ MR ไปเข้าร่วมงานนี้ด้วย”
งานแถลงข่าวครั้งนี้กะทันหันมากจนไม่มีใครบอกได้ว่ามันเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย เลขาเฉียวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโชคดีหรือโชคร้าย
เมื่อเห็นลินดามองเธอด้วยสีหน้าที่บอกเป็นนัยๆ ว่าเธอต้องช่วยเหลือตัวเองเองนะ เฉียวชูเฉี่ยนก็รู้สึกหนักใจเล็กน้อย ไม่มีผู้ใดในซั่นเป่ยกล้ามาเทียบเคียงกับกลุ่มบริษัทเฟิงฉิงซึ่งมีกลุ่มบริษัทในเครือกว่าหลายสิบบริษัท แล้วให้คนระดับเลขานุการอย่างเธอเป็นตัวแทนไปเข้าร่วมในงานนี้จะดูเกินตัวไปหน่อยไหม เรื่องแบบนี้ควรให้คนระดับรองประธานบริษัท MR ไปไม่ใช่หรือ
“เลขาเฉียว?”
ลินดารอให้เธอตอบไม่ไหวจึงเรียกขึ้นมาเบาๆ เฉียวชูเฉี่ยนเพิ่งจะรู้ตัวและรีบพยักหน้า “ไม่มีปัญหาค่ะ ว่าแต่งานจัดที่ไหนคะ แค่ฉันไปให้ตรงเวลาก็พอแล้ว”
เนื่องจากเป็นงานแถลงข่าวที่จัดขึ้นโดยสำนักงานใหญ่ของเฟิงฉิง เธอจึงหาสถานที่ที่ไม่เป็นที่รู้จักและยังว่างอยู่แค่นี้ก็เรียบร้อยตามที่เฉินเป่ยชวนต้องการแล้ว
“ที่ห้องจัดเลี้ยงชั้นสามสิบสามที่โรงแรมนานาชาติฮั่นไห่”
“โรงแรมนานาชาติฮั่นไห่?” แถมยังเป็นห้องจัดเลี้ยงชั้นสามสิบสาม?
พอได้ยินชื่อสถานที่เธอก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา ดูเหมือนเฉินเป่ยชวนจะชอบสถานที่แห่งนี้มาก หรือไม่เขาก็รู้ว่าที่นั่นเป็นที่เดียวที่จะจัดงานอะไรต่างๆ ได้
“ใช่ โรงแรมนานาชาติฮั่นไห่ งานเริ่มตอนเก้าโมงนะ” ลินดาทวนซ้ำอีกครั้งเพราะกลัวว่าเธอจะไปสายจนทำให้ที่สำนักงานใหญ่และประธานเฉินไม่พอใจ
“โอเค ฉันชักช้าไม่ได้แล้ว”
ที่ห้องจัดเลี้ยงชั้นสามสิบสามของโรงแรมนานาชาติฮั่นไห่สินะ เธอไปเองก็แล้วกัน
“เอาอย่างนี้ไหม ฉันจะให้เสียวหลี่ขับรถไปส่งคุณที่นั่น”
ลินดาเอ่ยขึ้นอย่างหวังดีเพราะรู้ว่าเฉียวชูเฉี่ยนไม่มีรถ และเพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะไม่เสียเวลาเพราะปัญหาการจราจร
“งั้นคงต้องรบกวนเสียวหลี่แล้วละ”
หลังจากตอบรับด้วยรอยยิ้ม เธอก็รีบเก็บอาหารเช้าที่ยังไม่ได้กินลงในลิ้นชัก การแถลงข่าวคงใช้เวลาไม่นานนัก รถไปรับไปส่งคงกลับมาถึงตอนเวลารับประทานอาหารกลางวันพอดี
ณ ห้องจัดเลี้ยงชั้นสามสิบสามของโรงแรมนานาชาติฮั่นไห่ เฉินเป่ยชวนกล่าวว่าต้องการเห็นสื่อทั้งหมดในซั่นเป่ย เลขาจึงจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสื่อทั้งหมดไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ที่เข้าร่วมจะนั่งอยู่ตามที่นั่งที่กำหนดไว้อย่างเรียบร้อย
สถานที่ที่เดิมเคยกว้างขวางดูแคบลงเนื่องจากเต็มไปด้วยนักข่าวจำนวนมาก ไฟแฟลชและกล้องถูกจัดวางไว้พร้อม เหลือเพียงแค่รอให้เฉินเป่ยชวนปรากฏตัวออกมาเท่านั้น
“พวกคุณคิดว่างานแถลงข่าวที่เฉินเป่ยชวนจัดขึ้นวันนี้จะเกี่ยวกับที่เฉียวชูเฉี่ยนทำร้ายคุณหญิงเฉินหรือเปล่า”
“บอกยากเหมือนกัน ไม่ว่าจะถูกหรือไม่ถูกกัน ยังไงก็ยังต้องใส่ใจภาพลักษณ์อยู่ดี ตอนนี้คนในครอบครัวของตัวเองถูกคนอื่นตบแบบนี้ ตระกูลเฉินเองก็คงเสียหน้าเหมือนกัน”
เฉียวชูเฉี่ยนก้มตัวเล็กน้อยขณะเดินเข้ามาจากด้านนอก ได้ยินนักข่าวสองคนที่อยู่ข้างหลังกำลังพูดคุยกันอยู่พอดี จึงเพิ่งนึกถึงปมปัญหาระหว่างตนเองกับเว่ยชูหรงขึ้นมาได้
ที่เฉินเป่ยชวนรีบร้อนให้จัดงานแถลงข่าววันนี้เป็นเพราะเรื่องของเว่ยชูหรงเองงั้นหรือ?
มิน่าล่ะถึงบอกให้เธอมาร่วมงานด้วย!
ขณะที่เธอกำลังขมวดคิ้วอย่างไตร่ตรองว่าควรจะหาเหตุผลสักอย่างเพื่อออกไปจากที่นี่ดีหรือเปล่า ก็มีความวุ่นวายเกิดขึ้นจากนักข่าวที่อยู่ข้างๆ ในชั่วพริบตานั้นเธอก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาที่เฉียบคมและเย็นชาพุ่งตรงมาที่แผ่นหลังของเธอ ทำให้เธออยากก้มตัวต่อไปเรื่อยๆ ทว่าแรงกดดันจากสายตาคู่นั้นกลับทำให้การเคลื่อนไหวชะงักลงอย่างช่วยไม่ได้
“ทุกท่านครับ ผมจัดงานแถลงข่าววันนี้ขึ้นเพราะมีเรื่องที่ต้องการจะแจ้งให้ทุกท่านทราบ”
เฉินเป่ยชวนแต่งตัวเรียบร้อยด้วยชุดสูทสีดำตัวเนี้ยบ ความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาของบุคคลระดับสูงเช่นนี้ไม่ใช่ว่าแค่มีเงินก็เกิดขึ้นได้ แต่มันต้องออกมาจากจิตวิญญาณข้างใน
เฉินเป่ยชวนจะประกาศเรื่องอะไร?
เฉียวชูเฉี่ยนกลับมาคิดอีกครั้งและรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ความจริงเป็นเพราะสถานที่ที่เฉินเป่ยชวนเลือกในวันนี้ที่ทำให้ส่วนลึกในหัวใจเธอรู้สึกว่าไม่อยากก้าวเข้ามาเลย
“ประธานเฉิน คุณต้องการพูดถึงเรื่องความไม่พอใจกันที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ของคุณหญิงเฉินกับคุณเฉียวใช่หรือเปล่าครับ”
คาดไม่ถึงว่าบุตรสาวผู้ตกอับจะตบคุณหญิงจากตระกูลใหญ่ แถมยังเป็นเว่ยชูหรงแห่งตระกูลเฉิน… ในที่แห่งนี้แม้แต่เรื่องซุบซิบเล็กน้อยที่สุดยังเอาไปทำข่าวได้นานถึงสองสามวัน
“ทั้งใช่และไม่ใช่” เฉินเป่ยชวนกระแอมในลำคอและตอบอย่างคลุมเครือ ทำให้ทุกคนยิ่งใจร้อนมากขึ้น ไม่รู้วันเนื้อหาสำคัญในวันนี้จะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นแบบไหนกันแน่
“ไหนๆ ก็มีนักข่าวพูดถึงข่าวของคนในครอบครัวผมขึ้นมาแล้ว ผมจะอธิบายเรื่องนี้ให้ทราบ ซึ่งเนื้อหาจะแตกต่างจากที่ในข่าวรายงานกันไปก่อนหน้านี้ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องความแค้นส่วนตัวระหว่างลูกสาวเศรษฐีผู้ตกอับกับคุณหญิงจากตระกูลใหญ่ แต่เป็นเรื่องความขัดแย้งธรรมดาระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกๆ ครอบครัว”
ทันทีที่คำว่าแม่สามีกับลูกสะใภ้หลุดออกจากปากของเฉินเป่ยชวน ผู้คนที่อยู่ด้านล่างต่างก็ตกตะลึงจนลืมหายใจ… ความในพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้?
เฉินเป่ยชวนกับเฉียวชูเฉี่ยน…
แม้แต่ผู้ที่ถูกกล่าวถึงอย่างเฉียวชูเฉี่ยนก็สับสนมึนงงไปเหมือนกัน หลังจากนั้นในหัวก็เหลือเพียงแค่ความคิดที่ว่า เกิดปัญหาใหญ่แน่แล้ว
เฉินเป่ยชวนเป็นบ้าไปแล้วหรือ!
ทว่าเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเฉินเป่ยชวนบ้าไปแล้วจริงๆ นั้นคือต่อจากนี้ แค่เห็นผู้ชายคนนั้นถือรองเท้าไนกี้แอร์ไว้ในมือ ใบหน้าที่ดูสุภาพและสง่านั้นก็มีร่องรอยของความเฉยชาปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย แล้วริมฝีปากอวบอิ่มบนใบหน้าที่สมบูรณ์แบบนั้นก็เปิดออก
“ผมกับเฉียวชูเฉี่ยนไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแค่ในฐานะเจ้านายกับเลขาเท่านั้น แต่ยังเป็นสามีภรรยากันด้วย… ผมกับเฉียวชูเฉี่ยนจดทะเบียนกันแล้วตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อน แต่เพราะตอนนั้นเธอยังเรียนไม่จบชั้นมัธยม งานแต่งของเราจึงถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายภายในครอบครัว จนถึงตอนนี้ลูกชายของเราก็อายุเจ็ดขวบแล้ว”
ราวกับเสียงฟ้าร้องถูกซัดลงมาจากเหนือศีรษะของทุกคน ส้นรองเท้าส้นสูงที่เฉียวชูเฉี่ยนสวมใส่อยู่ดูเหมือนจะหักลงจนร่างกายเซล้มไปข้างๆ แต่โชคดีที่เธอยังมีสติพอจึงคว้าราวจับที่อยู่ด้านข้างไว้ได้ทัน ทำให้ไม่ต้องเกิดเรื่องที่จะทำให้ตัวเองต้องอับอายขายหน้า
เฉินเป่ยชวนเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ หรือ พวกเขาแต่งงานกันแล้วแต่ก็หย่ากันแล้วตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีก่อน ไหนจะเรื่องเจ้าตัวน้อย… หรือว่าเขาไปตรวจสอบบางอย่างมาแล้ว?
เมื่อนึกถึงฐานะของเจ้าตัวน้อยที่คงถูกตรวจสอบไปแล้วเธอก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา เป็นเพราะความโง่ของเธอแท้ๆ เทคโนโลยีตอนนี้พัฒนาไปมาก แค่มีเพียงโคนผมหรือเซลล์เนื้อเยื้อของเจ้าตัวน้อยเพียงนิดเดียวก็คาดคะเนความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ได้แล้ว และด้วยความสามารถของเฉินเป่ยชวนเรื่องแค่นี้ไม่ใช้เรื่องที่จัดการยากอะไรเลย