จิตใจของเฉียวชูเฉี่ยนสับสนวุ่นวายจนไม่รู้ว่าตนเองจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้อย่างไร เธอเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมาที่เธอด้วยความรู้สึกที่ยากที่จะเชื่อ ทั้งชื่นชม อิจฉา และยังมีที่บางคนที่รู้สึกเศร้าที่คนคนนั้นไม่ใช่ตัวเอง
เมื่อกรอกตาที่แข็งค้างไปรอบๆ จึงเห็นว่าเฉินเป่ยชวนซึ่งเดิมอยู่บนเวทีได้ก้าวลงมาข้างล่างแล้วตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ และสิ่งที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึงที่สุดก็คือรอยยิ้มผ่อนคลายที่ระบายอยู่บนใบหน้าของเขาขณะที่กำลังเดินตรงมา
บ้าไปแล้ว… ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
เฉินเป่ยชวนมองเห็นความสับสนภายในแววตาของเธอ ทำให้แววแห่งการเยาะเย้ยปรากฏขึ้นที่หางตาของเขา… เฉียวชูเฉี่ยน ตอนที่เธอคบกับชายอื่นลับหลังฉันเธอไม่เห็นกลัว แล้วตอนนี้จะกลัวอะไร?
“พระเจ้า! ประธานเฉินแต่งงานแล้วตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อน!”
นี่คือเรื่องที่สั่นสะท้านวงการอย่างแท้จริง แต่แล้วทันทีหลังจากนั้นพวกนักข่าวก็ต้องกลัดกลุ้มขึ้นมาอีกครั้ง… ไม่ใช่ว่าประธานเฉินกำลังคบหากับหลินเฟยเอ๋อร์ที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้หรือ เขาจะแต่งงานไปนานแล้วแถมยังมีลูกแล้วอีกด้วยได้อย่างไร
ทว่าเฉินเป่ยชวนเมินเฉยต่อความอยากรู้อยากเห็นและข้อสงสัยภายในแววตาของพวกเขา ขายาวๆ ก้าวเข้ามาหาเฉียวชูเฉี่ยนทีละก้าวๆ ด้วยมาดที่ดูราวกับกษัตริย์ผู้สูงศักดิ์ เขาหยุดอยู่ลงตรงหน้าเธอแล้วยื่นมือมาดึงเธอเข้าไปอ้อมแขนของตน ขยับปากพูดโดยไม่มีเสียงลอดออกมา “เซอร์ไพรส์ไหม”
เฉียวชูเฉี่ยนอยากจะผลักเขาออก ทว่านอกจากกลิ่นยาสูบที่ติดมากับลมหายใจเมื่อเขากระซิบที่ข้างหูแล้ว ในน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยการคุกคามอย่างเยือกเย็นอีกด้วย
“ถ้าคุณพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดละก็ พรุ่งนี้ผมจะทำให้บริษัทเล็กๆ ของตระกูลลู่หายไปจากซั่นเป่ยทันที ถึงตอนนั้นลองมาดูกันว่าพี่ฉีหวานใจในวัยเด็กของคุณจะเอาอะไรมาจัดการกับกระแสคลื่นที่ปั่นป่วนเช่นนี้”
แม้ว่าเฉินเป่ยชวนจะไม่ต้องการผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว แต่ลู่ฉีก็ไม่มีสิทธิ์จะมาคว้าเธอไป
และผู้หญิงที่เฉินเป่ยชวนเกลียดก็อย่าได้หวังเลยว่าจะมีชีวิตที่ดี
“คุณบ้าไปแล้ว”
เธอแทบจะลดเสียงของตัวเองให้ต่ำที่สุด แต่ยังไม่มีแรงที่จะซักถาม
“ก่อนที่ผมจะบ้า ผมจะทำให้คุณเป็นบ้าไปก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็แก้ไขซะสิ”
ริมฝีปากของเฉินเป่ยชวนแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน ทว่ากลับทำให้เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งตัว เธอถูกคุกคามอีกครั้ง
“คุณเฉียวครับ คุณกับประธานเฉินแต่งงานกันแล้วตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อนจริงหรือเปล่าครับ”
นักข่าวยังคงไม่อยากเชื่อข่าวคราวอันคาดไม่ถึงที่เพิ่งได้ยินกับหูตัวเอง เฉินเป่ยชวน… ชายที่เป็นดั่งเทพเจ้าแห่งซั่นเป่ย เป็นชายในฝันของผู้หญิงแทบทุกคน คิดไม่ถึงว่าเขาจะแอบแต่งงานกับเฉียวชูเฉี่ยนมาแปดปีและมีลูกชายอายุเจ็ดขวบแล้วด้วย
เหลือเชื่อจริงๆ
“เมื่อกี้คุณเรียกเธอว่าอะไรนะ?”
โดยไม่รอให้เฉียวชูเฉี่ยนตอบ น้ำเสียงที่กดดันของเฉินเป่ยชวนก็ดังขึ้นมาอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มเย็นๆ จนนักข่าวที่เพิ่งถามเมื่อครู่ต้องเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว รีบแก้ไปว่า “คุณนายเฉิน”
คำว่าคุณนายเฉินทำให้เธอรู้สึกยุ่งยากใจ เหลือบไปมองชายหนุ่มข้างกายที่เพียงแค่ใช้สายตาก็คุกคามเธอได้ แล้วก็ได้แต่นึกโมโหอยู่ในใจ ทำไมเธอถึงถูกผู้ชายคนนี้ควบคุมได้ทุกครั้งเลยนะ!
“ที่รัก ดูเหมือนคุณจะต้องยืนยันอีกครั้งนะ พวกเขาถึงจะเชื่อ”
มือใหญ่โอบกระชับที่รอบเอวของเธอ บังคับให้เธอต้องยืนอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“เรา… เราแต่งงานกันแล้วจริงๆ เมื่อแปดปีก่อน”
มันยากที่จะพูดประโยคนี้ออกไป เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกเพียงว่าเมื่อเธอยอมรับว่าช่วงเวลาหนึ่งตนเองเคยพลาดที่แต่งงานกับเฉินเป่ยชวน บาดแผลที่ยังไม่หายสนิทของตนก็ถูกเปิดออกและเผยให้เห็นเลือดสีแดงสดที่แผ่กระจายอยู่ภายใน
การแต่งงานเมื่อแปดปีก่อนมีเพียงสมาชิกของทั้งสองครอบครัว ณ ที่แห่งนี้… ณ ห้องจัดเลี้ยงชั้นสามสิบสามของโรงแรมนานาชาติฮั่นไห่ ไม่มีงานแต่งงานที่หรูหรา ไม่มีทั้งคำอวยพรจากแขกผู้มีเกียรติ มีเพียงแค่สองครอบครัวนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน ทว่าเป็นช่วงเวลาที่เธอมีความสุขมาก
การได้แต่งงานกับคนที่อยากแต่งงานด้วย ถึงแม้จะเป็นการแต่งงานด้วยการจิบน้ำซุปเย็นๆ ก็ยังรู้สึกได้ถึงความสุขที่แสนอบอุ่น
แต่เธอทำได้แค่เพียงเก็บความนึกคิดและสายตาที่ตกตะลึงนี้ไว้กับตนเอง สุดท้ายความเป็นจริงอันโหดร้ายก็ทำลายทุกอย่างจนแหลกสลาย เช่นเดียวกับการแต่งงานที่เธอคิดว่าจะมีความสุขไปชั่วชีวิต ให้สมกับที่เธอรักผู้ชายคนนี้มาตลอด
เฉินเป่ยชวนมองเธอที่กำลังเหม่อลอยราวกับกำลังจมดิ่งอยู่ในความเจ็บปวด ริมฝีปากนั้นเม้มสนิท นอกจากนี้ที่หว่างคิ้วยังมีสัมผัสของความโกรธอยู่ด้วย เธอกำลังเสียใจที่ถูกบังคับให้ต้องยอมรับว่ามีความสัมพันธ์กับเขาอย่างนั้นหรือ หรือเป็นเพราะว่ารู้สึกเสียใจที่ต้องสูญเสียผู้ชายซึ่งเป็นรักในวัยเด็กที่ชื่อลู่ฉีนั่น
ความเจ็บปวดจากสัมผัสที่เอวทำให้เฉียวชูเฉี่ยนได้สติอย่างรวดเร็วแล้วก้มลงมองมือใหญ่ที่โอบเอวเธอไว้ เฉินเป่ยชวนดูเหมือนจะไม่ได้ใช้แรงมากนัก แต่เขาจงใจเลือกจุดที่บอบบางที่สุดของเอวแล้วบีบตรงจุดนั้นอย่างแยบยล
เมื่อระบายความโกรธในใจออกมาไม่ได้จึงทำได้แค่จ้องหน้าเขา ผู้ชายคนนี้เกิดบ้าอะไรกันแน่จึงจัดงานแถลงข่าวแล้วเรียกนักข่าวมาเพื่อประกาศเรื่องความสัมพันธ์ในอดีตของทั้งคู่อย่างไม่มีเหตุผล
ทว่าการจ้องมองของเธอไม่มีผลอะไรต่อเฉินเป่ยชวนเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงแค่นั้น เขายังใช้นิ้วอันพยศเชยคางของเธอขึ้นไป ก่อนจะโน้มศีรษะแล้วประทับจูบลงมา
การจูบที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เฉียวชูเฉี่ยนตกตะลึง สัญชาตญาณของร่างกายทำให้เธอหดคอหนีเพราะคิดว่าเขาจะปฏิบัติต่อเธออย่างหยาบคายเหมือนสองครั้งที่ผ่านมา แต่เปล่าเลย เขาเพียงแค่ประทับริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากของเธอเท่านั้น ไม่มีความหมายอะไรลึกซึ้งเลยแม้แต่น้อย
แม้กระทั่งการเว้นระยะห่างเพียงเล็กน้อยนั้นก็ยังแฝงไปด้วยความรังเกียจ
เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ เฉียวชูเฉี่ยนก็อยากจะผลักเขาออกไปเสีย แล้วบอกนักข่าวไปว่าเมื่อแปดปีก่อนเธอแต่งงานกับเฉินเป่ยชวนเพราะความโง่ แต่แล้วเธอก็ตาสว่าง ดังนั้นการแต่งงานของพวกเขาจึงสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เธอกับเฉินเป่ยชวนจึงเป็นเพียงแค่อดีตสามีภรรยาธรรมดาๆ เท่านั้น
แต่เมื่อนึกถึงการคุกคามที่แสนเย็นชาเมื่อครู่นี้ เธอจึงทำได้เพียงเก็บความคิดทั้งหมดไว้เงียบๆ ปล่อยให้เขาจูบเธอต่อไปในขณะที่แสงแฟลชยังคงจับภาพของเธอไปเรื่อยๆ
เมื่อหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดทำตัวเป็นที่น่าพอใจ ความไม่พอใจในแววตาที่เย็นชาของเฉินเป่ยชวนจึงค่อยจางหายไปเล็กน้อย ไม่ว่าลู่ฉีซึ่งเป็นรักในวัยเด็กจะมีที่อยู่ในใจเธอมากแค่ไหน สุดท้ายเขาก็จะไร้ที่ยืนและไม่มีความสำคัญอีกต่อ
เสียงอุทานและเสียงกดชัตเตอร์ทำให้การแถลงข่าวครั้งนี้สิ้นสุดลงพร้อมกับเสียงจ้อกแจ้กจอแจ เฉียวชูเฉี่ยนถูกดึงเข้าไปในรถมายบัค ชั่วพริบตาที่ประตูรถปิดลง เธอก็รีบปัดมือหนาของเฉินเป่ยชวนออกไปจากเอว
“เฉินป่วยชวน เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว ทำไมคุณถึงต้องทำแบบนี้ด้วย”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง พยายามควบคุมจิตใจตัวเองให้สงบ “คุณคือเฉินเป่ยชวนผู้อยู่ในสถานะที่สูงของซั่นเป่ย ข้างกายรายล้อมไปด้วยผู้หญิงมากมาย ขอเพียงแค่คุณบอกมาว่าต้องการผู้หญิงแบบไหน แต่กับฉัน อดีตภรรยาที่ไปกันไม่รอด มันเหมาะสมแล้วหรือ?”
ตัวอย่างเช่นนักแสดงหญิงที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างหลินเฟยเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าเธอพยายามอย่างหนักเพื่อเอาใจเขาเพราะต้องการอยู่เคียงข้างเขาหรอกหรือ
หย่ากันมาตั้งเจ็ดปีแล้ว ทำไมเฉินเป่ยชวนจึงไม่ยอมปล่อยเธอไปเสียที
มือที่ถูกปัดออกไปกลายเป็นเหมือนดั่งคีมอันทรงพลังที่บีบคางเล็กเรียวของเธอไว้ไม่ให้พูด ใบหน้าของเฉินเป่ยชวนแฝงไปด้วยความเพลิดเพลินที่ได้ปั่นหัวผู้อื่นเล่น แต่แววตากลับเต็มไปด้วยการวางอำนาจและความเย็นชา “คุณไม่มีสิทธิ์พูดว่าไม่เหมาะสม ตราบใดที่ผมบอกว่ามันเหมาะสม”
“คุณมันบ้าไปแล้ว”
คางที่ถูกบีบอยู่ทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่ยิ่งพยายามจะดิ้นให้หลุดก็ยิ่งถูกบีบแรงขึ้น สุดท้ายเธอจึงทำได้เพียงแค่ส่งเสียงสาปแช่งคนบ้าคนนี้ที่ไม่รู้ว่าต้องการจะทำอะไรกันแน่!
ขณะที่เฉินเป่ยชวนกำลังจะสอนบทเรียนแก่เธอ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาทันใด เมื่อเหลือบไปมองหมายเลขที่โทรเข้ามา คิ้วที่ขมวดกันอยู่ก็คลายลงและกดรับสายทันที