“คุณย่า”
“หลายชายที่รักของย่า ย่าเพิ่งรู้ว่าเธอมียายหนูอยู่ในใจ”
ทันทีที่กดรับสาย เสียงที่ตื่นเต้นของท่านผู้หญิงก็ดังขึ้นมา เฉินเป่ยชวนเลิกคิ้วด้วยไม่คิดว่าคุณย่าจะรู้ข่าวเร็วขนาดนี้
“ยายหนูล่ะ ยายหนูอยู่ข้างๆ หรือเปล่า”
เขาส่งเสียงงึมในลำคอแล้วส่งโทรศัพท์ให้เฉียวชูเฉี่ยนที่อยู่ข้างๆ
“สวัสดีค่ะคุณย่า”
เธอเม้มริมฝีปากก่อนจะเอ่ยเรียกเบาๆ ถึงแม้ตอนนี้ภายในใจจะกำลังสับสน แต่เธอก็รู้ว่าคุณย่าโทรมา ตอนนี้ท่านคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วและเธอก็เกรงว่าเรื่องจะไม่จบแต่เพียงเท่านี้
น้ำเสียงของท่านผู้หญิงดูตื่นเต้นอย่างที่คิด “ยายหนู หนูคงไม่รู้ว่าย่าตั้งตารอคอยวันนี้มานานแค่ไหน หนูกับเป่ยชวนคือคู่ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้แล้ว ไม่ว่าจะผิดใจกันอย่างไรก็สามารถปรับความเข้าใจกันได้เสมอ ยิ่งไปกว่านั้นย่ายังมีเหลนด้วย ยายหนู ช่วยพาเหลนมาหาย่าหน่อยได้ไหม”
“เอ่อ…”
เมื่อได้ยินท่านผู้หญิงพูดถึงเจ้าตัวน้อย เฉียวชูเฉี่ยนก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมา เพราะตลอดมาเจ้าตัวน้อยไม่เคยรู้เรื่องระหว่างเธอกับเฉินเป่ยชวนเลย
“ยายหนู ตลอดชีวิตนี้ความปรารถนาอันสูงสุดของย่าก็คือการมีชีวิตอยู่เพื่อจะได้เห็นหน้าเหลนของตัวเอง เดิมทีย่าคิดว่าชีวิตนี้จะจบลงด้วยความเกลียดชังเสียแล้ว ไม่คิดว่าพระเจ้าจะให้โอกาสย่าอีกครั้ง หนูจะไม่ช่วยให้ย่าสมหวังหน่อยหรือ”
ท่านผู้หญิงแสร้งทำตัวให้น่าสงสารเสียเลย น้ำเสียงอ้อนวอนนั้นทำให้เฉียวชูเฉี่ยนทำได้แค่ฝืนพยักหน้า “คุณย่า ทำไมหนูถึงจะไม่อยากช่วยล่ะคะ เอาอย่างนี้ไหมคะ ตอนนี้จิ่งเหยียนกำลังเรียนอยู่ พอเลิกเรียนแล้วหนูจะไปรับเขาแล้วพาไปหาคุณย่าที่บ้าน ดีไหมคะ”
เมื่อก่อนตอนที่ยังอยู่ในตระกูลเฉิน คุณย่าคอยห่วงใยและดูแลเธออย่างจริงใจ ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธหญิงชราที่เคยปฏิบัติต่อเธออย่างดีไม่ลงจริงๆ
“ดีเลย วันนี้ย่าจะได้ให้คนเตรียมอาหารเย็นเอาไว้ ของถูกปากของเจ้าตัวน้อยถ้าไม่เหมือนหนูก็คงเหมือนเป่ยชวน อาหารมื้อแรกนี้จะต้องให้เหลนคนโตของย่าได้กินของอร่อยๆ ถึงจะดี”
หลังจากวางสาย หัวใจของเธอก็พองโตขึ้นเล็กน้อย เฉินเป่ยชวนทำให้เธอกระวนกระวายใจแทบตาย ใครๆ ก็เดาได้ว่าการแทรกแซงของคุณย่านี้จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างไร แต่ทว่าอยู่ๆ ก็มีคำพูดที่เย็นชาดังขึ้นที่ข้างหู
“อย่างว่านั่นละ ยีนของฉันไม่ใช่ว่าใครจะสืบทอดไปได้ง่ายๆ”
สีหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนซีดลงอย่างฉับพลัน จิตใจที่ว้าวุ่นอยู่ก่อนหน้านี้ก็พลันกระจ่างขึ้นมาทันที ในงานแถลงข่าววันนี้เธอเผลอคิดไปแว็บหนึ่งว่าเป็นเพราะเขารู้ถึงฐานะของจิ่งเหยียน จึงใช้วิธีนี้เพราะอยากกับเริ่มต้นใหม่กับเธออีกครั้ง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะคิดมากเกินไป ในสายตาของเฉินเป่ยชวน เด็กคนนี้ไม่เคยเป็นลูกของเขามาแต่ไหนแต่ไร
หน้าต่างรถไม่ได้เปิดไว้ เครื่องปรับอากาศก็เช่นกัน… อากาศร้อนอบอ้าวอย่างเห็นได้ชัดทว่ากลับรู้สึกหนาว เธอเบนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง มุมปากกระตุกขึ้นจนปรากฏเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันที่มีให้แก่ตนเอง
เฉียวชูเฉี่ยนนะเฉียวชูเฉี่ยน… เธอใช่คนโง่คนเดิมที่เพิ่งพบเฉินเป่ยชวนครั้งแรกแล้ว ทำไมถึงยังมีความคิดอะไรแบบนี้อยู่อีก
ตอนนี้มันจบแล้ว มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ลงไปอีกครั้ง เหลือเพียงแค่ตัวเธอที่ช่างน่าขัน
เมื่อเฉินเป่ยชวนเห็นว่าเธอเงียบแถมยังหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาที่เย็นชาจึงหรี่ลงอย่างอันตราย ในซั่นเป่ยมีผู้หญิงมากมายที่พร้อมจะให้กำเนิดลูกของเขา ที่น่าขำก็คือ เด็กคนนั้นคือหลักฐานของการถูกสวมเขาในชีวิตแต่งงานอันแสนสั้นของเขา
รถเลี้ยวออกจากที่จอดรถอย่างรวดเร็ว แรงเหวี่ยงนั้นทำให้ศีรษะของเธอเอียงไปกระแทกเข้ากับหน้าต่างรถอย่างแรงจนทำให้ตาพร่าแล้วเกิดเป็นแสงกะพริบวูบวาบอยู่ในดวงตา
……
“นักเรียนทุกคน เนื้อหาวันนี้มีเพียงเท่านี้ ทุกคนกลับบ้านแล้วต้องตั้งใจทำการบ้านให้เสร็จด้วยนะ เลิกเรียนได้”
หลังจากที่ครูซึ่งอยู่หน้าชั้นเรียนกล่าวจบด้วยรอยยิ้ม นักเรียนภายในห้องก็ลุกขึ้นยืนแล้วส่งเสียงร้องอย่างดีใจ ทุกวันเวลาเลิกเรียนเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดสำหรับพวกเขา
เจ้าตัวน้อยสะพายกระเป๋านักเรียนและเตรียมจะเดินออกไป แต่ถูกเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะหลังดึงเอาไว้ เขาหันกลับไปมองแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีอะไรหรือเปล่าเสี่ยวฮุ่ย”
“เฉียวจิ่งเหยียน ฉัน… ฉันให้เธอ”
ใบหน้าที่เล็กกระจุ๋มกระจิ๋มของเด็กหญิงที่ชื่อเสี่ยวฮุ่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที เธอก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาเขา ในที่สุดก็ยัดจดหมายรักที่เตรียมไว้ใส่มือของเจ้าตัวน้อยไปตรงๆ
เฉียวจิ่งเหยียนมองเพื่อนร่วมห้องที่พอยัดของใส่มือเขาแล้วก็วิ่งหนีไปเลยอย่างงงงวย ก้มลงเปิดจดหมายสีชมพูแปลกๆ ที่ถูกพับไว้ในมือ พอได้อ่านข้อความในจดหมาย ใบหน้าเล็กๆ ของเขาก็ดูสดใสขึ้นมาทันตาเห็น
แม้ว่าชื่อเฉียวจิ่งเหยียนจะถูกเขียนอย่างโย้เย้ไปบ้างแต่อย่างน้อยก็ไม่ได้เขียนผิด ทว่าเนื้อหาต่อจากนั้นแย่มากจนทนอ่านไม่ได้
โดยเฉพาะในประโยคหนึ่งเขียนว่า ‘สวัสดีสุดหย่อ ฉันชอบเธอมองหางตาของเขาอย่างอดไม่ได้’ เสี่ยวฮุ่ยน่าจะไม่ใช่คนในท้องถิ่นเหมือนๆ กับเขา
เขาพับจดหมายกลับอย่างเดิมแล้วยัดลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะออกมาจากห้องเรียนทันที
กวาดสายตามองไปที่ประตูอยู่สองสามครั้งก็ยังไม่เห็นเงาของคนที่ควรจะมาถึงแล้วปรากฏอยู่แถวๆ นี้ ทันใดนั้นคิ้วเล็กๆ ก็ขมวดเข้าหากัน “หม่ามี๊นี่ไม่น่าไว้ใจเลย มาเรียนตั้งกี่วันแล้ว แต่มาสายแทบทุกวัน”
ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับไปที่ห้องเรียนเพื่ออ่านหนังสือ ก็มีเสียงแตรรถดังมาจากด้านหลัง เจ้าตัวน้อยรีบหันกลับไปมองอย่างไม่พอใจ จึงเห็นว่ามีรถหรูคันหนึ่งซึ่งมีความคล่องตัวแตกต่างจากรถคันอื่นอย่างเห็นได้ชัด… เป็นเศรษฐีใหม่บ้านไหนกันนะ
ไม่รู้ว่าหรือไงว่าเขาห้ามบีบแตรเสียงดังใกล้ๆ โรงเรียน
แต่พอหางตาเหลือบไปเห็นคนที่นั่งอยู่ที่เบาะข้างๆ คนขับ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “นั่นหม่ามี๊ไม่ใช่เหรอ?”
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่รถของคุณอาลู่ฉี หรือว่าจะเป็นผู้ชายคนนั้น?
เฉียวชูเฉี่ยนที่อยู่ในรถกำลังรีบ แต่เฉินเป่ยชวนกลับล็อกประตูทั้งหมดไว้จนเธอออกไปไหนไม่ได้
“คุณเป็นอะไรหรือ?”
เจ้าตัวน้อยเลิกเรียนแล้ว ผู้ปกครองคนอื่นต่างก็ไปเข้าแถวรอรับลูกๆ กันแล้ว
“ให้เขารอหน่อยจะเป็นไรไป” เขาเพ่งมองร่างเล็กๆ ที่อยู่ไกลออกไป อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวน้อยดูเหมือนเขามาก ทว่ากลับเป็นลูกของเธอกับลู่ฉี
แค่นึกถึงผลการตรวจดีเอ็นเอทีไร เขาก็อยากจะอยากจะบีบผู้หญิงข้างๆ ให้ตายไปเลยโทษฐานที่แอบมีชู้
เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะเปิดประตู เฉียวชูเฉี่ยนจึงทำได้เพียงแค่ทุบกระจกรถแล้วตะโกนเรียกชื่อของเจ้าตัวน้อย
เจ้าตัวน้อยเดินไปทางรถมายบัคด้วยฝีเท้าสั้นๆ ของเขาพลางขมวดคิ้ว เมื่อเดินเข้าไปจนเกือบจะถึงรถเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถืออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วถ่ายรูปรถไปสองสามรูป แถมยังติดภาพเฉียวชูเฉี่ยนที่ยังคงทุบกระจกรถในระยะใกล้อีกด้วย
เฉินเป่ยชวนเองก็งงงวยกับการกระทำของเจ้าตัวน้อยคนนี้เหมือนกัน ทันใดนั้นก็เห็นเขากดโทรศัพท์อยู่สองสามครั้ง หลังจากนั้นก็พูดเสียงดังๆ ว่า “ฮัลโหล คุณลุงตำรวจใช่ไหมฮะ ผมโทรมาแจ้งความฮะ หม่ามี๊ของผมถูกคนร้ายลักพาตัวไปไว้ในรถ คุณลุงตำรวจช่วยส่งเจ้าหน้าที่มาที่ประตู
โรงเรียนประถมซั่นเป่ยหน่อยฮะ”
“หนูแน่ใจนะว่าแม่ของหนูถูกคนเลวลักพาตัวไป”
นายตำรวจที่พูดอยู่ทางปลายสอบถามอย่างไม่ค่อยไว้ใจ เพราะบางทีก็มีเด็กๆ ชอบโทรมาแจ้งความเล่นอยู่เหมือนกัน
“แน่ใจฮะ ผมยังถ่ายรูปเอาไว้ด้วย มีรูปที่หม่ามี๊ของผมฟุบอยู่ที่หน้าต่างตะโกนขอความช่วยเหลือด้วย คุณลุงตำรวจต้องรีบมาช่วยแม่ผมเร็วๆ นะฮะ”
ท่าทางที่จริงจังของเจ้าตัวน้อยทำให้อีกฝ่ายคลายความกังวล “วางใจได้เลยเจ้าหนู คุณลุงตำรวจจะไปจัดการคนเลวให้เอง”
หลังจากวางสาย เจ้าตัวน้อยจึงรออย่างเงียบๆ ไม่ถึงห้านาทีเสียงไซเรนจากรถตำรวจก็ดังใกล้เข้ามา รถตำรวจสามคันขับมาจอดที่หน้าประตูโรงเรียน ทุกคนต่างมีอาวุธครบมือ