และเวลานี้จู่ๆ เฉินเป่ยชวนก็ก้าวขาที่เหยียดยาวออกมา เขาก้าวไปทีละก้าวๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉียวชูเฉี่ยน
“คุณคิดจะทำอะไรครับ?”
เฉียวจิ่งเหยียนทำตัวราวกับผู้ใหญ่ตัวเล็ก เขาจ้องมองผู้มาเยือนราวกับเสือที่พร้อมตะคลุบเหยื่อ และไม่ลืมที่จะจับมือของเฉียวชูเฉี่ยนเอาไว้ให้แน่นหนา
“อย่ารังแกหม่ามี๊ของผมนะ!”
ใบหน้าของคุณอาท่านนี้เย็นชาประหนึ่งเป็นอัมพาตบนใบหน้าเลย ท่าทางก็เหมือนจะกิน
หม่ามี๊ของเขาอย่างนั้นล่ะ
“อามีเรื่องบางอย่างที่อยากจะคุยกับคุณแม่เราหน่อยครับ” เฉินเป่ยชวนตอบคำถาม
เฉียวจิ่งเหยียน แต่สายตากลับจับจ้องไปที่ใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่วางตา
เขาเอียงคอเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็มองไปที่ลู่ฉี แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นราวกับก้อนน้ำแข็ง
“ประธานลู่คงจะไม่ถือสานะครับ?”
“นี่……” ลู่ฉีลังเล ไม่รู้จะพูดอย่างไรออกไปไปชั่วขณะ
เกรงว่าทั่วเมืองซั่นเป่ยคงไม่มีใครไม่รู้จัก เฉิน เป่ย ชวน สามคำนี้เป็นแน่ คำนิยามสำหรับเขาคืออำนาจและสถานภาพ
ในขณะที่ลู่ฉีเป็นเพียง GM ของกลุ่มบริษัทอันดับสองเท่านั้น ไม่มีกำลังอะไรจะไปตีเสมอกับเฉินเป่ยชวนได้
“ไม่ถือสาหรอกครับ” เขารักษารอยยิ้มแบบสุภาพบุรุษ และยอมถอยให้
“ฮึ……” เฉินเป่ยชวนหันหน้ากลับมา
ชายผู้นี้มีความสูง 187 เซนติเมตร บนตัวเขาราวกับมีไอเย็นแผ่คลุมอยู่ ทุกๆ ย่างก้าวที่เดินเข้ามานั้นทำให้เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นๆ
เธอหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่ในขณะที่คิดจะก้มศีรษะลง จู่ๆ เขาก็ก้มตัวลงกระซิบที่ข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นและเย็นชา
“เฉียวชูเฉี่ยน คุณรู้ไหมว่าในวันที่คุณเดินจากไป ผมได้สาบานเอาไว้ว่าอย่างไร?”
เธอเงยหน้าขึ้นด้วยใจที่สั่นกลัว แต่เธอมองเห็นแค่เพียงริมฝีปากบางที่ยกสูงขึ้นเท่านั้น
ส่วนเฉียวจิ่งเหยียนตัวน้อยๆ ก็พยายามเงยหน้าขึ้นไปจับจ้องเขาด้วยดวงตากลมโต มองท่าทางที่ดูสนิทสนมกันแบบนั้นก็ไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้น
มีคำพูดอะไรก็คุยกันตรงหน้าก็ได้นี่ ทำไมจะต้องไปพูดชิดติดริมหูขนาดนั้นด้วย?
จะต้องมีอะไรที่ไม่ถูกต้องแน่นอน!
แม้ชายผู้นี้จะเหมือนเขามาก แต่ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นก็ได้อันตรธานหายไปแล้วเช่นกัน
“ผมสาบานเอาไว้ว่าชั่วชีวิตนี้ ผมไม่อยากจะเจอ——” เขาเอียงศีรษะแล้วพ่นลมหายใจเย็นๆ ลงมาที่แก้มสวยของเธอ “ใบหน้านี้ของคุณอีก”
เฉินเป่ยชวนกดเสียงให้ต่ำลง ต่ำมากเสียจนมีเพียงเฉียวชูเฉี่ยนเท่านั้นที่ได้ยิน
และในขณะที่ใจเธอกระตุกดังกึก เขาก็ยืดตัวตรงแล้วพูดด้วยสายตาที่เย็นชาว่า “ผมหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย”
เมื่อพูดจบ หลินเฟยเอ๋อร์ก็เดินตามมาถึงอย่างเร็ว ปากเธอก็ตะโกนเรียกชื่อ ‘เป่ยชวน’ ไปด้วย
เฉียวชู่เฉี่ยนถูกคำเรียกที่ดูสนิทสนมนั่นเรียกความสนใจไปหมดแล้ว จนกระทั่งสติเธอกลับคืนมา เฉินเป่ยชวนก็ก้าวขาเดินผ่านข้างตัวเธอจากไปอย่างไร้สิ้นเยื่อใยและความอาลัยใดๆ
“ชู่เฉี่ยน คุณไม่เป็นไรนะครับ?” ขณะที่เธอกำลังจะยืนไม่อยู่ ลู่ฉีได้ประคองเธอเอาไว้ด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนและเอาใจใส่ “คุณรู้จักกับเฉินเป่ยชวน?”
เขาย่อมถามคำนี้ขึ้นมาอยู่แล้ว เฉินเป่ยชวนขึ้นชื่อในเรื่องความเย็นชาไปทั่วแวดวงธุรกิจและการเมือง กับคนที่ไม่คุ้นเคยเขาจะไม่เอ่ยปากออกมาแม้แต่คำเดียว
ถึงขนาดทำให้เฉินเป่ยชวนพูดกระซิบที่ข้างหู และยังเป็นผู้หญิงอีก ระหว่างสองคนนี้จะต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้อย่างชัดเจนแน่นอน!
“เขาพูดอะไรกับคุณหรือครับ?” ลู่ฉีถามต่อ
“ไม่มีอะไรค่ะ” เธอส่ายศีรษะ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็หันไปเห็นเฉียวจิ่งเหยียนกำลังทำสีหน้าครุ่นคิด เอามือลูบคางตัวเอง พร้อมกับมองแผ่นหลังของเฉินเป่ยชวน
“หม่ามี๊ คุณอาท่านนั้นเหมือนผมมากๆ เลยครับ!”
สมองของเฉียวจิ่งเหยียนยังคงคิดถึงปัญหาข้อนี้อยู่ อีกทั้งคุณอาและหม่ามี๊ของเขายังมีจุดเชื่อมโยงบางอย่างอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านคงไม่ใช่คุณพ่อของผมนะครับ?” เขาพูดออกมาด้วยความสงสัย
“จิ่งเหยียน! ” เฉียวชู่เฉี่ยนหยุดคำพูดต่อจากนั้นของจิ่งเหยียนตัวน้อย
เมื่อสบเข้ากับแววตาที่ระคนความสงสัยของลู่ฉี เธอจึงแสร้งหัวเราะออกมาเบาๆ “ฉี ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกค่ะ”
……
ในเวลาค่ำ ได้มีรถ BMW SUV สีน้ำเงินค่อยๆ มาจอดอยู่หน้าประตูหลักของคฤหาสน์ตระกูลเฉียว