“งั้นก็ทำตามที่คุณย่าต้องการ นับจากนี้ไปเราจะอยู่ที่บ้านหลังนี้”
ขณะที่กำลังหาทางปฏิเสธอย่างสุดชีวิต เสียงของเฉินเป่ยชวนก็ดังขึ้นขัดขวางความพยายามของเธอ จนเธอต้องหันไปมองอย่างไม่พอใจ… เขาจะมาตัดสินใจแทนเธอได้อย่างไร
“คุณไม่เต็มใจจะอยู่ที่บ้านหลังนี้หรือ?
คางที่ได้รูปของเฉินเป่ยชวนแฝงไปด้วยความเหี้ยมโหดและเอาแต่ใจ เขาสะบัดกระเป๋าเอกสารในมือเบาๆ ทำให้สีหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนดูไม่ค่อยดีนักเมื่อเขากำลังข่มขู่เธออีกครั้ง
ท่านผู้หญิงมองหญิงสาวอย่างมีความหวังแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ยายหนู ได้ยินที่เป่ยชวนพูดไหม หนูกับลูกย้ายมาอยู่ที่นี่เถอะนะ ย่าอายุมากแล้วจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ก่อนตายย่าก็แค่อยากจะใช้เวลาอยู่กับหนูและเจ้าตัวน้อยให้มากขึ้น พอถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปย่าจะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียดายอะไรมากนัก”
ในตอนท้ายท่านทำเป็นตีหน้าเศร้า ขอเพียงรั้งหญิงสาวและเหลนของท่านไว้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนท่านก็จะทำ
“อย่าพูดอย่างนี้สิคะ คุณย่ายังแข็งแรงดีอยู่เลย”
เฉียวชูเฉี่ยนมองเจตนาของท่านผู้หญิงออก แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่อยากได้ยินท่านพูดถึงเรื่องความตายอยู่ดี
“วันนี้มีนักข่าวมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าบริษัท ผมเลยมารับคุณไปทำงาน เออใช่… ดูเหมือนจะมีคนของตระกลูลู่มารอคุณอยู่ด้วย”
“…”
เธอโกรธเป็นอย่างมากเมื่อถูกข่มขู่ซึ่งๆ หน้าแบบนี้ แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้
“ยายหนูมีอะไรเกี่ยวข้องกับคนของตระกูลลู่ด้วยหรือ ได้ยินว่าช่วงสองปีมานี้ตระกูลลู่ส่งมอบธุรกิจให้ทายาทรุ่นต่อไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะชื่อลู่ฉีหรือเปล่านะ?”
“ผู้จัดการทั่วไปคนปัจจุบันของตระกูลลู่ชื่อลู่ฉีค่ะคุณย่า เรา… เรากำลังติดต่อกันเรื่องธุรกิจน่ะค่ะ”
เธอโกหกออกไปอย่างยากลำบากพลางหลีกเลี่ยงการมองหน้าเฉินเป่ยชวน แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นแค่การล้อเล่น แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันกลายเป็นจริงขึ้นมา ดังนั้นเธอเลยต้องยอมจำนนต่อการคุกคามของเขา ลู่ฉีดีกับเธอมาก การที่เธอตอบรับความรู้สึกของเขาไม่ได้ยิ่งทำให้เธอไม่อยากดึงตระกูลลู่เข้ามาเกี่ยวข้อง จนทำให้เรื่องของเธอส่งผลกระทบต่อเขาไปมากกว่านี้
“ย่ารู้ ได้ยินมาว่าตอนนี้ยายหนูทำงานเป็นเลขาของเป่ยชวนด้วย เป็นหน้าที่ที่ดีนะ แบบนี้จะได้อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนอย่างหวานชื่น”
ท่านผู้หญิงพูดพลางทำตาแพรวพราวจนเฉียวชูเฉี่ยนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หวานชื่นรึ? เธอมีแต่จะหงุดหงิดและกดดันละไม่ว่า
ชื่อ ‘เฉินเป่ยชวน’ ดูเหมือนจะมีพลังอำนาจอะไรบางอย่างที่ทำให้จิตใจของเธอยากที่จะสงบ
“เย็นนี้ผมจะให้คนไปเอากระเป๋าของคุณมาที่นี่ คุณขัดข้องอะไรไหม”
เฉินเป่ยชวนไม่มีความสุขเลยสักนิดที่เฉียวชูเฉี่ยนยอมจำนนอย่างว่าง่ายแบบนี้ เธอคงรักลู่ฉีหมดหัวใจถึงได้ยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเจ้านั่นและตระกูลลู่ของมัน
“ฉันไม่ขัดข้อง”
ใช้เวลาอยู่นานกว่าเธอจะกลั้นใจพูดคำนี้ออกมาได้ ภายในใจมีความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่มากมายแต่ทว่าไม่อาจพูดออกมา
เธอได้แต่ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจที่ไร้ความสามารถ คิดจะหาข้ออ้างเพื่อขึ้นไปข้างบนแต่ถูกมือใหญ่ของเฉินเป่ยชวนรั้งเอาไว้ก่อน
“นอนไปตั้งนานขนาดนั้นยังไม่เต็มอิ่มอีกหรือ?”
น้ำเสียงที่มีเลศนัยนั้นทำให้เฉียวชูเฉี่ยนหน้าแดง หัวใจก็เต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้… เธอยังจำได้ว่ามีอยู่คืนหนึ่งที่เขาทรมานเธออยู่เป็นนานจนเธอถึงกับนอนตื่นสายในวันต่อมา… เขากำลังยั่วเย้าเธอด้วยเรื่องนี้จนทำให้ใบหน้าของเธอแดงก่ำ หัวใจเต้นแรงและรู้สึกอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
ตอนนั้นเธอคิดว่าเขารักเธอหรืออย่างน้อยก็คงชอบเธออยู่บ้าง แต่ตอนนี้พอลองคิดดูจึงรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่การเยาะเย้ยเหยียดหยามจากเขาเท่านั้น
“ฉันจะไปหยิบกระเป๋า”
เธอสะบัดแขนจนหลุดจากการเกาะกุมของมือใหญ่ แววตาเต็มไปด้วยความห่างเหิน… ถึงจะขัดขืนเขาไม่ได้ แต่เธอก็ยังรักษาหัวใจของตัวเองเอาไว้ได้
เฉินเป่ยชวนมองมือของตนที่ถูกสะบัดออก ใบหน้าด้านข้างที่น่าหลงใหลของเขาบึ้งตึงขึ้นอย่างนึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้าโกรธเขาแบบนี้
“เจ้าเด็กเหลือขอ ทำหน้าอย่างนั้นหมายความว่ายังไงฮึ ย่าจะบอกให้นะ กว่ายายหนูจะยอมกลับมาได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเธอทำให้ยายหนูเปลี่ยนใจละก็ ย่าจะตีเธอให้ตายด้วยรองเท้าเลยคอยดูสิ!”
ท่านผู้หญิงผู้ซึ่งเห็นการกระทำทุกอย่างของทั้งสองคนเมื่อครู่นี้อดรู้สึกฉงนไม่ได้ ดูเหมือนจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะทำให้คนทั้งคู่กลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม
สีหน้าอันเย็นชาของเฉินเป่ยชวนค่อยคลายความเย็นชาลงเมื่อได้ยินที่ท่านพูด “คุณย่า ผมเป็นหลานคุณย่านะครับ”
เฉียวชูเฉี่ยนทำเสน่ห์อะไรใส่คุณย่าของเขากันนะ เมื่อแปดปีก่อนคุณย่าถูกใจเธอเป็นอย่างมากจนชักนำให้ทั้งสองคนแต่งงานกัน เวลาผ่านไปหลายปี เขาคิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะยังรักใคร่เอ็นดูเธอขนาดนี้
“เป็นอะไรไปล่ะหลานรัก ถ้าเธอไม่ทำในสิ่งที่ควรทำละก็ ย่าจะไม่ให้อภัยเธอเลย เป่ยชวน… เธอพลาดโอกาสมาแล้วเจ็ดปีนะ ชีวิตคนเราจะมีโอกาสให้ทำพลาดนานขนาดนี้อีกสักกี่ครั้งกัน เธอไม่กลัวหรือว่าถ้าปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกเจ็ดปี หัวใจของยายหนูจะไม่เหลืออะไรนอกจากความเย็นชา ลองไปคิดดูให้ดีก็แล้วกัน”
ท่านผู้หญิงพูดให้หลานชายของท่านได้คิดแล้วหันหลังเดินจากไป ทันใดนั้นสีหน้าของเฉินเป่ยชวนก็เปลี่ยนไป ความเยือกเย็นอย่างเอาแต่ใจปรากฏขึ้นในแววตาของเขา… เธอลองกล้าเย็นชากับเขาดูสิ เขาจะคว้านหัวใจของเธอออกมาแล้วทอดมันในกระทะร้อนๆ เสียเลย!
เฉียวชูเฉี่ยนทำตัวเอื่อยเฉื่อยอยู่ที่ชั้นบนอยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินลงมาอย่างเชื่องช้า เมื่อไม่เห็นเงาของเฉินเป่ยชวนในห้องนั่งเล่นเธอจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นรถมายบัคที่จอดอยู่ตรงลานข้างหน้า รอให้เธอเดินเข้าไปในกับดักนั้นเองอย่างไม่แยแส
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเดินออกไปพร้อมกับถือกระเป๋าไว้ในมือ พอเอื้อมมือไปจะเปิดประตูรถก็พบว่าประตูถูกล็อกเอาไว้
นายคนนี้จะเอายังไงกันแน่ บังคับให้เธอไปบริษัทกับเขาแต่ว่ากลับไม่ยอมเปิดประตูรถให้
เฉินเป่ยชวนที่อยู่ในรถปรายตามองก่อนจะปลดล็อกประตู “ผมไม่ชอบเลขาที่เชื่องช้า”
“…”
เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาพูดคำว่าเลขา ถึงแม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาจัดงานแถลงข่าวก็ตาม ขอเพียงแค่ในเวลางานเธอได้เป็นเลขาของเขาตามปกติก็ยังดี ส่วนหลังเลิกงาน… เธอจะพยายามอยู่ห่างจากเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทันทีที่ขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังและยังไม่ทันจะปิดประตูให้สนิท รถก็ขับฉิวออกไปอย่างรวดเร็วทำให้เฉียวชูเฉี่ยนตกใจจนหน้าซีด… เฉินเป่ยชวนคนร้ายกาจ!
รถมายบัคจอดเทียบที่หน้าบริษัท MR ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไล่นักข่าวออกไปเกือบหมดแล้ว ถึงอย่างไรข่าวของเฉินเป่ยชวนก็ได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะถามอะไรอีกในเมื่อเขาไม่ต้องการพูด
“สวัสดีครับท่านประธานเฉิน คุณนายเฉิน” เมื่อยามที่เฝ้าประตูเห็นคนทั้งสอง เขาก็รีบก้าวเข้ามาเปิดประตูรถให้ ท่าทางที่กระตือรือร้นนั่นทำให้เฉียวเฉี่ยนอึดอัดมากพออยู่แล้ว แต่ที่น่าอึดอัดยิ่งกว่านั้นคือก็การที่เขาเรียกเธอว่าคุณนายเฉิน
นานมาแล้วที่ไม่ได้ยินคนอื่นเรียกเธอแบบนี้ แต่พอลองคิดดูก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเรียกเธออย่างนี้
เธอพยายามเก็บความรู้สึกขื่นๆ ที่เกิดขึ้นไว้ในใจและเดินตามเฉินเป่ยชวนขึ้นไปที่ชั้นบน ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะมีสายตาที่อิจฉาริษยามองตามเธอไปตลอดทาง
“ท่านประธานเฉิน ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะ”
การป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เฉินเป่ยชวนทำให้เธอกลัวจริงๆ ว่าตัวเองจะทนตกเป็นเป้าความสนใจของคนอื่นไม่ได้
เฉินเป่ยชวนแค่ตอบรับเบาๆ อย่างไม่กระตือรือร้น จากนั้นต่างคนจึงกลับเข้าไปที่ห้องทำงานของตนเอง เฉียวชูเฉี่ยนคิดว่าเธอหลบหนีจากเขาได้แล้ว ทว่าพอเห็นบานเกล็ดที่ม้วนเปิดไว้คิ้วของเธอก็ขมวดเข้าหากัน
เธอจะขอให้ลินดาช่วยติดตั้งบานเกล็ดเพิ่มในห้องทำงานของเธอดีไหมนะ
ไม่อย่างนั้นเธอก็ต้องมองเห็นเขาหรือไม่ก็ถูกเขามองอย่างไม่มีทางเลือก
ขณะที่เตรียมจะก้มหน้าทำงานโดยพยายามไม่สนใจสายตาที่มองมาจากห้องข้างๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “เข้ามาได้ค่ะ”
“เลขาเฉียว มีคนมารอคุณอยู่ข้างนอกแน่ะค่ะ เป็น GM ของตระกูลลู่” สีหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนดูผิดไปจากปกติทันทีเมื่อลินดาบอกว่าคนคนนั้นเป็นใคร