ลาก่อน คุณสามี – ตอนที่ 44 ข่มขู่ซึ่งๆ หน้า

“งั้นก็ทำตามที่คุณย่าต้องการ นับจากนี้ไปเราจะอยู่ที่บ้านหลังนี้”

ขณะที่กำลังหาทางปฏิเสธอย่างสุดชีวิต เสียงของเฉินเป่ยชวนก็ดังขึ้นขัดขวางความพยายามของเธอ จนเธอต้องหันไปมองอย่างไม่พอใจ… เขาจะมาตัดสินใจแทนเธอได้อย่างไร

“คุณไม่เต็มใจจะอยู่ที่บ้านหลังนี้หรือ?

คางที่ได้รูปของเฉินเป่ยชวนแฝงไปด้วยความเหี้ยมโหดและเอาแต่ใจ เขาสะบัดกระเป๋าเอกสารในมือเบาๆ ทำให้สีหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนดูไม่ค่อยดีนักเมื่อเขากำลังข่มขู่เธออีกครั้ง

ท่านผู้หญิงมองหญิงสาวอย่างมีความหวังแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ยายหนู ได้ยินที่เป่ยชวนพูดไหม หนูกับลูกย้ายมาอยู่ที่นี่เถอะนะ ย่าอายุมากแล้วจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ก่อนตายย่าก็แค่อยากจะใช้เวลาอยู่กับหนูและเจ้าตัวน้อยให้มากขึ้น พอถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปย่าจะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียดายอะไรมากนัก”

ในตอนท้ายท่านทำเป็นตีหน้าเศร้า ขอเพียงรั้งหญิงสาวและเหลนของท่านไว้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนท่านก็จะทำ

“อย่าพูดอย่างนี้สิคะ คุณย่ายังแข็งแรงดีอยู่เลย”

เฉียวชูเฉี่ยนมองเจตนาของท่านผู้หญิงออก แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่อยากได้ยินท่านพูดถึงเรื่องความตายอยู่ดี

“วันนี้มีนักข่าวมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าบริษัท ผมเลยมารับคุณไปทำงาน เออใช่… ดูเหมือนจะมีคนของตระกลูลู่มารอคุณอยู่ด้วย”

“…”

เธอโกรธเป็นอย่างมากเมื่อถูกข่มขู่ซึ่งๆ หน้าแบบนี้ แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้

“ยายหนูมีอะไรเกี่ยวข้องกับคนของตระกูลลู่ด้วยหรือ ได้ยินว่าช่วงสองปีมานี้ตระกูลลู่ส่งมอบธุรกิจให้ทายาทรุ่นต่อไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะชื่อลู่ฉีหรือเปล่านะ?”

“ผู้จัดการทั่วไปคนปัจจุบันของตระกูลลู่ชื่อลู่ฉีค่ะคุณย่า เรา… เรากำลังติดต่อกันเรื่องธุรกิจน่ะค่ะ”

เธอโกหกออกไปอย่างยากลำบากพลางหลีกเลี่ยงการมองหน้าเฉินเป่ยชวน แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นแค่การล้อเล่น แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันกลายเป็นจริงขึ้นมา ดังนั้นเธอเลยต้องยอมจำนนต่อการคุกคามของเขา ลู่ฉีดีกับเธอมาก การที่เธอตอบรับความรู้สึกของเขาไม่ได้ยิ่งทำให้เธอไม่อยากดึงตระกูลลู่เข้ามาเกี่ยวข้อง จนทำให้เรื่องของเธอส่งผลกระทบต่อเขาไปมากกว่านี้

“ย่ารู้ ได้ยินมาว่าตอนนี้ยายหนูทำงานเป็นเลขาของเป่ยชวนด้วย เป็นหน้าที่ที่ดีนะ แบบนี้จะได้อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนอย่างหวานชื่น”

ท่านผู้หญิงพูดพลางทำตาแพรวพราวจนเฉียวชูเฉี่ยนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หวานชื่นรึ? เธอมีแต่จะหงุดหงิดและกดดันละไม่ว่า

ชื่อ ‘เฉินเป่ยชวน’ ดูเหมือนจะมีพลังอำนาจอะไรบางอย่างที่ทำให้จิตใจของเธอยากที่จะสงบ

“เย็นนี้ผมจะให้คนไปเอากระเป๋าของคุณมาที่นี่ คุณขัดข้องอะไรไหม”

เฉินเป่ยชวนไม่มีความสุขเลยสักนิดที่เฉียวชูเฉี่ยนยอมจำนนอย่างว่าง่ายแบบนี้ เธอคงรักลู่ฉีหมดหัวใจถึงได้ยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเจ้านั่นและตระกูลลู่ของมัน

“ฉันไม่ขัดข้อง”

ใช้เวลาอยู่นานกว่าเธอจะกลั้นใจพูดคำนี้ออกมาได้ ภายในใจมีความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่มากมายแต่ทว่าไม่อาจพูดออกมา

เธอได้แต่ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจที่ไร้ความสามารถ คิดจะหาข้ออ้างเพื่อขึ้นไปข้างบนแต่ถูกมือใหญ่ของเฉินเป่ยชวนรั้งเอาไว้ก่อน

“นอนไปตั้งนานขนาดนั้นยังไม่เต็มอิ่มอีกหรือ?”

น้ำเสียงที่มีเลศนัยนั้นทำให้เฉียวชูเฉี่ยนหน้าแดง หัวใจก็เต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้… เธอยังจำได้ว่ามีอยู่คืนหนึ่งที่เขาทรมานเธออยู่เป็นนานจนเธอถึงกับนอนตื่นสายในวันต่อมา… เขากำลังยั่วเย้าเธอด้วยเรื่องนี้จนทำให้ใบหน้าของเธอแดงก่ำ หัวใจเต้นแรงและรู้สึกอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี

ตอนนั้นเธอคิดว่าเขารักเธอหรืออย่างน้อยก็คงชอบเธออยู่บ้าง แต่ตอนนี้พอลองคิดดูจึงรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่การเยาะเย้ยเหยียดหยามจากเขาเท่านั้น

“ฉันจะไปหยิบกระเป๋า”

เธอสะบัดแขนจนหลุดจากการเกาะกุมของมือใหญ่ แววตาเต็มไปด้วยความห่างเหิน… ถึงจะขัดขืนเขาไม่ได้ แต่เธอก็ยังรักษาหัวใจของตัวเองเอาไว้ได้

เฉินเป่ยชวนมองมือของตนที่ถูกสะบัดออก ใบหน้าด้านข้างที่น่าหลงใหลของเขาบึ้งตึงขึ้นอย่างนึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้าโกรธเขาแบบนี้

“เจ้าเด็กเหลือขอ ทำหน้าอย่างนั้นหมายความว่ายังไงฮึ ย่าจะบอกให้นะ กว่ายายหนูจะยอมกลับมาได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเธอทำให้ยายหนูเปลี่ยนใจละก็ ย่าจะตีเธอให้ตายด้วยรองเท้าเลยคอยดูสิ!”

ท่านผู้หญิงผู้ซึ่งเห็นการกระทำทุกอย่างของทั้งสองคนเมื่อครู่นี้อดรู้สึกฉงนไม่ได้ ดูเหมือนจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะทำให้คนทั้งคู่กลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม

สีหน้าอันเย็นชาของเฉินเป่ยชวนค่อยคลายความเย็นชาลงเมื่อได้ยินที่ท่านพูด “คุณย่า ผมเป็นหลานคุณย่านะครับ”

เฉียวชูเฉี่ยนทำเสน่ห์อะไรใส่คุณย่าของเขากันนะ เมื่อแปดปีก่อนคุณย่าถูกใจเธอเป็นอย่างมากจนชักนำให้ทั้งสองคนแต่งงานกัน เวลาผ่านไปหลายปี เขาคิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะยังรักใคร่เอ็นดูเธอขนาดนี้

“เป็นอะไรไปล่ะหลานรัก ถ้าเธอไม่ทำในสิ่งที่ควรทำละก็ ย่าจะไม่ให้อภัยเธอเลย เป่ยชวน… เธอพลาดโอกาสมาแล้วเจ็ดปีนะ ชีวิตคนเราจะมีโอกาสให้ทำพลาดนานขนาดนี้อีกสักกี่ครั้งกัน เธอไม่กลัวหรือว่าถ้าปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกเจ็ดปี หัวใจของยายหนูจะไม่เหลืออะไรนอกจากความเย็นชา ลองไปคิดดูให้ดีก็แล้วกัน”

ท่านผู้หญิงพูดให้หลานชายของท่านได้คิดแล้วหันหลังเดินจากไป ทันใดนั้นสีหน้าของเฉินเป่ยชวนก็เปลี่ยนไป ความเยือกเย็นอย่างเอาแต่ใจปรากฏขึ้นในแววตาของเขา… เธอลองกล้าเย็นชากับเขาดูสิ เขาจะคว้านหัวใจของเธอออกมาแล้วทอดมันในกระทะร้อนๆ เสียเลย!

เฉียวชูเฉี่ยนทำตัวเอื่อยเฉื่อยอยู่ที่ชั้นบนอยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินลงมาอย่างเชื่องช้า เมื่อไม่เห็นเงาของเฉินเป่ยชวนในห้องนั่งเล่นเธอจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นรถมายบัคที่จอดอยู่ตรงลานข้างหน้า รอให้เธอเดินเข้าไปในกับดักนั้นเองอย่างไม่แยแส

เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเดินออกไปพร้อมกับถือกระเป๋าไว้ในมือ พอเอื้อมมือไปจะเปิดประตูรถก็พบว่าประตูถูกล็อกเอาไว้

นายคนนี้จะเอายังไงกันแน่ บังคับให้เธอไปบริษัทกับเขาแต่ว่ากลับไม่ยอมเปิดประตูรถให้

เฉินเป่ยชวนที่อยู่ในรถปรายตามองก่อนจะปลดล็อกประตู “ผมไม่ชอบเลขาที่เชื่องช้า”

“…”

เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาพูดคำว่าเลขา ถึงแม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาจัดงานแถลงข่าวก็ตาม ขอเพียงแค่ในเวลางานเธอได้เป็นเลขาของเขาตามปกติก็ยังดี ส่วนหลังเลิกงาน… เธอจะพยายามอยู่ห่างจากเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทันทีที่ขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังและยังไม่ทันจะปิดประตูให้สนิท รถก็ขับฉิวออกไปอย่างรวดเร็วทำให้เฉียวชูเฉี่ยนตกใจจนหน้าซีด… เฉินเป่ยชวนคนร้ายกาจ!

รถมายบัคจอดเทียบที่หน้าบริษัท MR ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไล่นักข่าวออกไปเกือบหมดแล้ว ถึงอย่างไรข่าวของเฉินเป่ยชวนก็ได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะถามอะไรอีกในเมื่อเขาไม่ต้องการพูด

“สวัสดีครับท่านประธานเฉิน คุณนายเฉิน” เมื่อยามที่เฝ้าประตูเห็นคนทั้งสอง เขาก็รีบก้าวเข้ามาเปิดประตูรถให้ ท่าทางที่กระตือรือร้นนั่นทำให้เฉียวเฉี่ยนอึดอัดมากพออยู่แล้ว แต่ที่น่าอึดอัดยิ่งกว่านั้นคือก็การที่เขาเรียกเธอว่าคุณนายเฉิน

นานมาแล้วที่ไม่ได้ยินคนอื่นเรียกเธอแบบนี้ แต่พอลองคิดดูก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเรียกเธออย่างนี้

เธอพยายามเก็บความรู้สึกขื่นๆ ที่เกิดขึ้นไว้ในใจและเดินตามเฉินเป่ยชวนขึ้นไปที่ชั้นบน ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะมีสายตาที่อิจฉาริษยามองตามเธอไปตลอดทาง

“ท่านประธานเฉิน ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะ”

การป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เฉินเป่ยชวนทำให้เธอกลัวจริงๆ ว่าตัวเองจะทนตกเป็นเป้าความสนใจของคนอื่นไม่ได้

เฉินเป่ยชวนแค่ตอบรับเบาๆ อย่างไม่กระตือรือร้น จากนั้นต่างคนจึงกลับเข้าไปที่ห้องทำงานของตนเอง เฉียวชูเฉี่ยนคิดว่าเธอหลบหนีจากเขาได้แล้ว ทว่าพอเห็นบานเกล็ดที่ม้วนเปิดไว้คิ้วของเธอก็ขมวดเข้าหากัน

เธอจะขอให้ลินดาช่วยติดตั้งบานเกล็ดเพิ่มในห้องทำงานของเธอดีไหมนะ

ไม่อย่างนั้นเธอก็ต้องมองเห็นเขาหรือไม่ก็ถูกเขามองอย่างไม่มีทางเลือก

ขณะที่เตรียมจะก้มหน้าทำงานโดยพยายามไม่สนใจสายตาที่มองมาจากห้องข้างๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “เข้ามาได้ค่ะ”

“เลขาเฉียว มีคนมารอคุณอยู่ข้างนอกแน่ะค่ะ เป็น GM ของตระกูลลู่” สีหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนดูผิดไปจากปกติทันทีเมื่อลินดาบอกว่าคนคนนั้นเป็นใคร

ลาก่อน คุณสามี

ลาก่อน คุณสามี

ความทรงจำของปลาอยู่ได้แค่ 7 วินาที แต่ฉันกลับรักคุณมาถึง 7 ปี ……………..เฉียวชูเฉี่ยน เฉียวชูเฉี่ยนไม่คิดเลยว่าวันแรกที่เธอมาถึงประเทศจีน เธอจะได้พบกับอดีตสามีของเธอ……….เฉินเป่ยชวน มีข่าวลือมาว่า เจ้าของกิจการสถานบันเทิงอย่างเฉินเป่ยชวน เป็นคนที่มีนิสัยแปลกๆ และไม่สนใจผู้หญิง แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยแต่งงานและเคยหย่ามาก่อน ซ้ำยังมีลูกแล้วอีกด้วย “ใคร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งในขั่วโลกเหนือ “เป็น…….เป็นลูกของฉันเอง” “อ่อ ถ้างั้นคุณเลขาเฉียวสาธิตผมหน่อยสิว่าทำยังไง” เขาหยุดคำพูดของเขา และก้าวเข้าไปหาเธอ ทำให้เธอไปไหนไม่ได้ดวงตาของชายหนุ่มมืดลงทันที คุณลุงลู่ฉีเหรอ? “………” เธอ ซวย แล้ว! เฉียวชูเฉี่ยน เด็กน้อยเฉียวจิ่งเหยียนไม่ทำตาม และเข้าไปกัดต้นขาของเขา “ปล่อยหม่ามี๊ของผมนะ ผมเป็นลูกของหม่ามี๊และคุณลุงลู่ฉี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset