คฤหาสน์ตระกูลเฉียวถูกทิ้งร้างมาหลายปีจวบจนทุกวันนี้ หากมองดูแล้วก็เหมือนจะเหลือเพียงสวนดอกไม้ที่แห้งเฉาและสระว่ายน้ำแบบแบ่งระดับสูงต่ำ ซึ่งมีเศษใบไม้แห้งร่วงหล่นอยู่ตามพื้นดิน
มีเพียงประตูสีฟ้าอ่อนที่แกะสลักเป็นรูปดอกไม้อย่างประณีตและงดงามเท่านั้นที่พอจะบ่งบอกถึงสถานภาพและชื่อเสียงในอดีตของเจ้าบ้านได้
“ถึงแล้วครับ” ลู่ฉีจอดรถสนิทแล้วก็เปิดประตูหลังรถเพื่อหยิบกระเป๋าสัมภาระออกมา
เฉียวชูเฉี่ยนจูงมือป้อมๆ ของเจ้าซาลาเปาน้อยลงจากประตูหลังของรถ
“ฉี ขอบคุณนะคะ วันนี้คุณคงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว อย่างไรรีบกลับไปพักผ่อนเถิดนะคะ” รอลู่ฉีผลักกระเป๋าสัมภาระมาข้างตัวเธอแล้ว เฉียวชูเฉี่ยนถึงจะพูดด้วยรอยยิ้มออกมา
“จะไม่ชวนผมเข้าไปนั่งซักหน่อยหรือครับ?” ลู่ฉีส่งสายตาบอกเป็นนัยๆ ไปทางประตูหลักของคฤหาสน์
“จริงด้วยครับหม่ามี๊!”
เฉียวจิ่งเหยียนแสดงท่าทีขึงขัง และยกคางที่หล่อเหลาขึ้น “ให้คุณอาลู่ฉีเข้าไปเล่นเป็นเพื่อนผมสักแวบหนึ่งได้ไหมครับ? ผมยังประกอบร่างอุลตร้าแมนที่หิ้วมาจากอเมริกาไม่เป็นเลยครับ!”
ปากน้อยๆ ที่กระดกขึ้นอย่างบ้องแบ๊วสุดแสนจะน่ารัก ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนและลู่ฉีอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา
ลักยิ้มของหญิงสาวบุ๋มลงไปเล็กน้อย เธอกำลังขยี้เส้นผมของเด็กผู้ชายเบาๆ รอยยิ้มบางๆ ของเธอไม่ต่างจากตัวเธอเองเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว
ที่เพิ่มขึ้นมาคงมีเพียงกลิ่นอายแห่งความเป็นแม่เท่านั้น
เฉินเป่ยชวนจ้องมองร่างเพรียวบางที่หลบอยู่ใต้ร่มไม้ผ่านกระจกมองหลัง จากนั้นเขาก็มองเธอที่กำลังยืนเคียงข้างกับผู้ชายตรงหน้า
มือที่จับพวงมาลัยของเขาค่อยๆ แน่นขึ้น จากนั้นก็เม้มริมฝีปากบางขึ้นมา
“ฉีคะ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันกลับมาที่นี่ในรอบเจ็ดปี คือฉันยังไม่ได้ปัดกวาดภายในบ้านเลย ไม่ใช่ไม่สะดวกหรอกนะคะ เอาไว้วันหน้าถ้ามีเวลา ฉันจะต้องเชิญคุณเข้าไปนั่งแน่นอนค่ะ”
เมื่อเธอพูดจบ ลู่ฉีก็เข้าใจเจตนาของเธอ เขาจึงเก็บซ่อนความผิดหวังนั้นไว้ แล้วเผยรอยยิ้มหล่อเหลาออกมาให้เห็นแทน “ถ้าหากต้องการอะไรโทรหาผมได้ตลอดนะ ผมจะรีบมาทันทีครับ”
“ค่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เธอพูดปลอบโยนเฉียวจิ่งเหยียนอีกสองสามคำ จากนั้นก็จูงมือลูกน้อยที่ยังไม่ค่อยสบอารมณ์หมุนตัวเดินขึ้นบันไดไป
ลู่ฉีจ้องมองแผ่นหลังของเธอที่กำลังจากไปด้วยใจจดจ่อ ขนตายาวหนาฟูกำลังปกปิดอารมณ์ที่กระเพื่อมขึ้นลงดั่งกระแสคลื่นเอาไว้
ราวกับจมลงสู่ความคิดคำนึงอันแสนยาวไกล
ตรงหัวมุมมีรถยนต์ยี่ห้อมายบัคสีดำ รูปทรงเพรียวลมจอดเดียวดายอยู่ในคืนที่เงียบงัน
เมื่อเห็นรถ BMW สีน้ำเงินขับห่างออกไป ชายคนดังกล่าวก็ยังนั่งอยู่ภายในรถ เขามองไปที่แสงไฟที่กำลังส่องสว่างอยู่ชั้นสองของคฤหาสน์ มือก็คลำหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า
แม้การจับโทรศัพท์เหมือนกำลังเล่นอยู่ แต่เขากลับไม่ได้กดปุ่มลัดใดๆ เพียงปัดโทรศัพท์ไปมาอย่างเซื่องซึม
……
เฉียวชูเฉี่ยนใช้เวลาในการทำความสะอาดไปสองชั่วโมงเต็ม จึงสามารถทำให้ห้องรับแขกที่แต่เดิมเต็มไปด้วยกองฝุ่นแปรเปลี่ยนไปเป็นห้องที่งดงามละลานตาภายในชั่วพริบตา แม้แต่โซฟาสไตล์ฝรั่งเศสก็ยังดูเหมือนใหม่เช่นกัน
เธอปัดฝุ่นบนรูปภาพในมือเบาๆ ราวกับกำลังปกป้องสิ่งของอันเป็นที่รัก จากนั้นก็แขวนรูปภาพรูปหนึ่งของผู้วายชนม์ไว้บนตำแหน่งที่สะดุดตาที่สุดในห้องรับแขก
เฉียวจิ่งเหยียนในชุดนอนลายอุลตร้าแมนยืนยกสองมือคำนับอยู่ตรงประตูห้อง เขาขมวดคิ้วและมองไปยังรูปภาพของผู้วายชนม์ที่แขวนอยู่บนหิ้ง
“หม่ามี๊ นั่นคือปาปี๊กับหม่ามี๊ของคุณแม่ใช่ไหมครับ?”
รูปภาพนั้นเป็นรูปคู่สามีภรรยาในวัยหาสิบต้นๆ คู่หนึ่ง ฝ่ายชายมีรถขาวแซมทั้งสองข้าง แววตาทรงพลังไม่เหมือนใคร ส่วนฝ่ายหญิงในชุดกี่เพ้ามีรอยยิ้มที่ดูสุภาพอ่อนโยนสูงส่งดั่งหยกอันล้ำค่า
คนสองคนอิงแอบชิดใกล้สมกับเป็นคู่สามีภรรยา
เฉียวชูเฉี่ยนวางผ้าในมือลง แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ใช่จ๊ะ นี่คือคุณตาและคุณยายของหนูจ๊ะ”
“พวกท่านไปไหนแล้วหรือครับ?”
บ้านหลังใหญ่นี้แลดูโล่งมาก นอกจากเขากับหม่ามี๊แล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก
เฉียวชูเฉี่ยนหมุนตัวไปมองเฉียวจิ่งเหยียนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เธอเดินขึ้นหน้าไปอุ้มร่างเล็กๆ ของเขา จากนั้นก็เดินไปทางห้องนอน
“พวกท่านไปยังที่ๆ ไกลมาก ไกลเสียจนชั่วชีวิตนี้จิ่งเหยียนคงไม่อาจจะได้พบอีกแล้วจ๊ะ”
อัคนีภัยเมื่อเจ็ดปีก่อน ได้พรากชีวิตของพ่อแม่เธอ และได้ทำลายความรักของเธอไปเช่นเดียวกัน
เธอกลายเป็นคนที่ไม่เหลืออะไร ทำได้แค่เดินหนีไป
“แล้วหม่ามี๊ไม่คิดถึงพวกท่านหรือครับ?”
“คิดถึงซิจ๊ะ”
แต่แม้จะคิดถึงแล้วจะทำอย่างได้ จากไปคนละภพ ต่อจากนี้มิอาจพบกันอีกต่อไป
เหลือเพียงแค้นที่ต้องชำระ เธอจะต้องล้างแค้นอย่างแน่นอน