“ไม่งั้นคุณจะขู่ฉันอีกงั้นหรือ? เฉินเป่ยชวน ตอนนี้คุณก็ทำได้แค่ขู่คนอื่นเท่านั้นละ”
เธอโต้ตอบอย่างอารมณ์เสีย ใครกันแน่ที่แสดงบทบาทของตัวเองไม่ดี พวกเขาหย่ากันแล้ว เธอพยายามใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่และชีวิตของเธอกำลังไปได้สวย ใครกันที่บีบบังคับให้เขาต้องมาเกี่ยวพันธ์กับเธอในสายตาของคนอื่น บังคับให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่
ทั้งหมดเป็นเพราะเขา เฉินเป่ยชวน!
ในไม่ช้าเฉินเป่ยชวนก็กลับมาที่ห้องทำงาน เฉียวชูเฉี่ยนถอนสายตากลับมาและทำงานต่อไปโดยแสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
กระจกหน้าต่างที่โปร่งใสทำให้เฉินเป่ยชวนมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของเธอ แววยิ้มเยาะปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
“เป่ยชวน ฉันคอแห้งจังเลยค่ะ”
หลินเฟยเอ๋อร์เม้มริมฝีปากที่ดูชุ่มช่ำของตนแล้วโน้มตัวลงมาอิงแอบอย่างออดอ้อนอีกครั้ง ทว่ามองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระวังกว่าปกติ ทันได้นั้นก็ได้ยินเขาพูดอย่างอารมณ์ดี “ผมจะให้เลขาชงกาแฟมาให้”
พูดจบเฉินเป่ยชวนก็ต่อสายภายใน “เลขาเฉียว ชงกาแฟมาให้ผมหนึ่งแก้ว”
เฉียวชูเฉี่ยนวางสายโทรศัพท์แล้วขบริมฝีปากตัวเองเบาๆ เธอเป็นเลขาที่บริษัทส่งตัวทำงานที่นี่ และการเสิร์ฟชาเสิร์ฟกาแฟก็ไม่ใช่หน้าที่ของเธอ
มีเสียงเคาะนิ้วเบาๆ บนกระจกที่กั้นไว้ราวกับเป็นการเร่งเธอ เฉียวชูเฉี่ยนจึงต้องลุกเดินไปที่เคาน์เตอร์ชงเครื่องดื่มอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อได้กาแฟสำเร็จรูปมาแล้ว เฉียวชูเฉี่ยนจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเคาะประตูแล้วเดินเข้าไปในห้อง
ทว่าพอเข้าไปแล้วก็ได้เห็นฉากที่น่าตื่นเต้น เฉินเป่ยชวนกำลังยืนคร่อมหลินเฟยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน ร่างกายแข็งแรงกำยำของเขากำลังยืนอยู่ข้างกายเธอในท่าที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูด แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าพวกเขาตั้งใจจะทำอะไรกัน
“กาแฟค่ะท่านประธานเฉิน”
เหมือนถูกมีดแทงเข้าที่หัวใจจนเลือดไหลอีกครั้ง ทว่าเธอก็ทนกับความเจ็บปวดและวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะข้างๆ
“เลขาเฉียว ขอบคุณนะสำหรับกาแฟ”
หลินเฟยเอ๋อร์ขอบคุณยิ้มๆ ทว่าแววตาแสดงออกชัดว่ากำลังสะใจ เป็นสามีภรรยากับเฉินเป่ยชวนแล้วยังไง ฝ่ายชายกำลังหยอกล้ออยู่กับหญิงอื่นอย่างเปิดเผยต่อหน้าภรรยา เรียกได้ว่าไม่ว่าจะมีตำแหน่งเป็นคุณนายเฉินหรือไม่มีก็ไม่มีอะไรต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นในไม่ช้าถึงเฉียวชูเฉี่ยนจะอยากอยู่ในตำแหน่งก็คงอยู่ไม่ได้
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนนะคะ”
แววตาของเฉียวชูเฉี่ยนดูปกติดีทว่าเธอไม่ได้มองไปที่คนทั้งคู่ ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะหย่ากับเฉินเป่ยชวนแล้วแต่ก็ยังรู้สึกกระดาก แม้ว่าจะบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามันก็แค่กระดูกติดเนื้อที่ไม่มีความหมายกับเธอทั้งยังไม่ใช่สุนัขพันธ์โปรด แต่ภายในใจก็ยังรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
แต่ความมีเหตุมีผลและความหยิ่งในศักดิ์ศรีทำให้เธอยอมจำนนและหันหลังกลับไปเงียบๆ ก่อนจะพารองเท้าส้นสูงที่สวมใส่ก้าวเดินออกไปด้วยฝีเท้าที่สม่ำเสมอ
เฉินเป่ยชวนมองตามร่างของเธอที่เดินออกไปอย่างเย็นชา ยายผู้หญิงเลว เห็นเขากับหลินเฟยเอ๋อร์สนิทสนมกันขนาดนี้แล้วกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิด!
ดี!
เมื่อกลับมาที่ของทำงานของตน ใบหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนก็ร้อนวูบและรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
แต่บังเอิญหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้ช่วยปิดกั้นอะไรได้เลยนอกจากทำให้ไม่ได้ยินว่าสองคนที่อยู่ห้องข้างๆ กำลังคุยอะไรกัน ถึงขนาดว่าเธอยังสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาของเฉินเป่ยชวนที่มองมาได้อย่างชัดเจน
เธอทำเป็นก้มลงอ่านแฟ้มเอกสารที่อยู่ตรงหน้าซึ่งอ่านอย่างไรก็ไม่เข้าหัวเลยสักนิด ถ้าทำได้เธอก็อยากจะออกไปจากห้องเสียเดียวนี้เพราะเผยความเจ็บปวดออกมาเมื่ออยู่ในห้องนี้ไม่ได้ ทว่าเธอทำแบบนั้นไม่ได้
เธอจะให้เฉินเป่ยชวนเห็นบาดแผลที่ซ่อนอยู่ในใจของเธอไม่ได้ เธอไม่อยากเป็นคนอ่อนแอ
พอหลินเฟยเอ๋อร์สังเกตเห็นแววตาของเฉินเป่ยชวน ความสุขในใจของเธอก็ดับวูบในทันที ความจริงเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรกับเธอเลยสักนิด พอคิดว่าเขาอาจจะยังแคร์ผู้หญิงคนนั้นเธอก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น ทว่าก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้า
เฉินเป่ยชวนเป็นผู้ชายแบบไหนเธอก็รู้ การร้องแรกแหกกระเชอไม่มีผลอะไรกับเขา รังแต่จะทำเขาเบื่อหน่ายเธอมากขึ้นเท่านั้น
“เป่ยชวน กาแฟนี่รสชาติดีมาก คุณลองชิมหน่อยไหม”
“เหรอ งั้นคุณป้อนผมหน่อย”
มุมปากของเฉินเป่ยชวนโค้งขึ้นอย่างเย็นชาทว่าเย้ายวน เขาดึงมือของเธอเข้ามาใกล้ริมฝีปากเพื่อให้เธอป้อนกาแฟให้
“จะดีหรือคะที่รัก ฉันไม่อยากให้ใครมาเห็นเข้า”
หลินเฟยเอ๋อร์เอ่ยยิ้มๆ พลางใช้นิ้วกดสวิตช์บานเกล็ดอยู่ข้างๆ และมองแผ่นบานเกล็ดที่กำลังปิดลง ริมฝีปากของเธอเผยอยิ้มหน่อยๆ เฉียวชูเฉี่ยน ฉันไม่รีบร้อนหรอกนะ สักวันหนึ่งฉันจะทำให้เธอไม่มีที่ยืนข้างๆ เฉินเป่ยชวนอีกต่อไป จนกว่าทำให้ลูกของเธอพ้นทางไปได้
แต่เธอไม่รู้ว่าเฉียวชูเฉี่ยนที่อยู่อีกฝั่งกลับรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อมองบานเกล็ดที่ปิดลง
เธออดทนอยู่จนถึงช่วงบ่าย พอถึงเวลาเลิกงานก็รีบหยิบกระเป๋าแล้วออกไปจากห้องทำงาน แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะตั้งใจกลั่นแกล้งให้ต้องเจอกันอย่างไรอย่างนั้น ในตอนที่เธอเปิดประตูออกไป เฉินเป่ยชวนก็เดินโอบกอดหลินเฟยเอ๋อร์ออกมาพอดี เธอพูดไม่ออกเมื่อเหลือบไปเห็นรอยลิปสติกบนริมฝีปากของหลินเฟยเอ๋อร์
ตลอดช่วงบ่ายพวกเขาคงไม่อยู่เฉยๆ กันแน่ๆ
เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองกำลังคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด เธอจึงแอบหยิกเอวของตนเองโดยเร็วเพื่อทำให้จิตใจของตนปลอดโปร่งขึ้น
เฉินเป่ยชวนทำราวกับว่ามองไม่เห็นเธอแล้วโอบเอวบางของหลินเฟยเอ๋อร์เดินจากไป
“ตายแล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งแถลงข่าวเรื่องการแต่งงานกับสื่อไปไม่กี่วันก่อนหรอกเหรอ ตอนนี้ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ”
“ดูเหมือนคุณเฉียวภรรยาของท่านประธานกำลังจะถูกปลดจากตำแหน่งละ”
หลินเฟยเอ๋อร์และประธานเฉินตกเป็นข่าวฉาวด้วยกันมาตั้งสองสามปี เดิมทีคิดว่าดาราชื่อดังจะได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่มีฐานะร่ำรวย ไม่คิดเลยว่าอยู่ๆ จะมีคุณนายเลขาโผล่ออกมา แต่พวกเขาไม่เคยแสดงออกใดๆ แถมประธานเฉินยังพาผู้หญิงที่เป็นข่าวด้วยกันมาปรากฏตัวอย่างเปิดเผย แบบนี้ไม่ได้แปลว่าจะปลดเธอออกหรือ?
“จุ๊ๆ เบาๆ หน่อย เผื่อว่าไม่ใช่ขึ้นมาเธอนั่นแหละจะถูกไล่ออก”
เฉียวชูเฉี่ยนไม่สนใจคำนินทาแต่หูดันไปได้ยินเข้าเองอย่างช่วยไม่ได้ เธออยากจะบอกพวกเขาดังๆ ว่าเธอไม่ได้ถูกปลดออก แต่เป็นเธอต่างหากที่ปลดเขาออก
แต่เมื่อนึกถึงคำขู่ของเฉินเป่ยชวน เธอจึงทำได้เพียงออกไปจากที่นี่โดยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
เมื่อท่านผู้หญิงเห็นเธอนั่งแท็กซี่กลับมาคนเดียวท่านก็ขมวดคิ้วทันทีแล้วถามไปว่า “ยายหนู เป่ยชวนล่ะ ทำไมเขาถึงไม่กลับมาพร้อมหนู”
เจ้าหลานโง่คนนี้นี่ ท่านอุตส่าห์เปิดโอกาสให้แล้วทำไมถึงไม่รู้จักคว้าโอกาสไว้ให้ดีๆ
“เขา… มีนัดกับลูกค้าแล้วน่ะค่ะ”
เพื่อไม่ให้คุณย่าเป็นกังวลเธอจึงต้องหาเหตุผลมาแก้ตัวแทนเฉินเป่ยชวน ซึ่งลูกค้าของเขาก็คือหลินเฟยเอ๋อร์ และสถานที่นัดก็คือบนเตียง
“สังสรรกับลูกค้า? เจ้าเด็กคนนี้ทำผลประกอบการได้ดี ไม่จำเป็นต้องไปสังสรรอะไรให้ลำบากอีกหลังเลิกงาน แค่มากินข้าวกับยายหนู จิ่งเหยียนแล้วก็ย่า แค่นี้ก็พอแล้ว”
ท่านผู้หญิงพูดพลางถอดกำไลหยกจากข้อมือของตนเองแล้ววางลงบนมือของเฉียวชูเฉี่ยน
“คุณย่าทำอะไรคะ”
แม้ว่าเธอจะไม่ได้สนใจเรื่องหยก แต่ก็มองออกว่ากำไลหยกนี้คงจะเป็นของที่เก่าแก่และมีค่ามาก