เฉียวจิ่งเหยียนสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มอย่างราบรื่น เฉียวชูเฉี่ยนดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเขา เจ้าซาลาเปาน้อยมองเธอด้วยดวงตาที่กลมบ๊อกราวกับอยากจะรู้อะไรบางอย่าง
“เหมือนที่ผมคิดถึงปาปี๊ใช่ไหมครับ?”
เฉียวชูเฉี่ยนผงะไปสักพักหนึ่ง ใจเธอสั่นเล็กน้อยยามนึกถึงชายหนุ่มที่บังเอิญเจอในร้านอาหาร
แล้วความเจ็บปวดก็ค่อยๆ แผ่ซ่านขึ้นมาทีละน้อย
คำพูดที่ขมขื่นแปรเปลี่ยนเป็นเสียงถอนใจเบาๆ ออกมา เฉียวชูเฉี่ยนยิ้มบางๆ แล้วลูบศีรษะของเจ้าซาลาเปาน้อย “เด็กดี รีบนอนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้หม่ามี๊จะพาไปเที่ยวบ้านแม่ทูลหัวเซี่ยเซี่ย”
“ครับ!” เจ้าซาลาเปาน้อยส่งเสียงครับไว้หน้าเธอเป็นอย่างมาก จากนั้นก็หลับตาอย่างว่าง่าย
หลังจากนั้นไม่นานก็ส่งเสียงกรนออกมา
เฉียวชูเฉี่ยนก้มตัวลงไปจูบกระหม่อมของเจ้าซาลาเปาน้อย “ลูกรัก แม่รักลูกจ้ะ”
……
วันรุ่งขึ้น ณ บริษัท M&R ——
“เอมี่ ฉันคงจะต้องอยู่จีนไปอีกซักพักหนึ่งนะคะ”
ขณะที่เฉียวชูเฉี่ยนกำลังคุยโทรศัพท์กับอีกฝ่ายหนึ่ง สายตาเธอก็เหลือบไปเห็นว่าประตูลิฟต์กำลังจะปิด จึงรีบเอาตัวขวางไว้แล้วสอดตัวเดินเข้าไป “ขอโทษนะคะ รอด้วยค่ะ!”
เข้าลิฟต์แล้วสัญญาณโทรศัพท์ก็ถูกตัดโดยอัตโนมัติ
เฉียวชูเฉี่ยนเม้มริมฝีปากอย่างจนใจ แล้วเอาโทรศัพท์มือถือสอดเข้าไปในกระเป๋า
ด้วยความบังเอิญ เธอได้ยินเสียงที่คุ้นหูและนุ่มนวลของผู้หญิงคนหนึ่งดังอยู่ข้างหู “เป่ยชวนคะ เที่ยงนี้ฉันอยากทานฟิเลต์สเต็กของร้าน Moreca Western คุณไปทานเป็นเพื่อนหน่อยนะคะ?”
ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป “ได้ครับ”
เฉียวชูเฉี่ยนตระหนกตกใจไปทั้งตัว
เธอแอบเหลือบไปมองก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ในลิฟต์ขนาดใหญ่
เป็นหลินเฟยเอ๋อร์ในชุดกระโปรงสีทับทิม สวมใส่รองเท้าสูงเกือบสิบเซนติเมตรกำลังโอบแขนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกัน ทั้งสองแลดูเหมาะสมกันมาก
เฉินเป่ยชวน
เฉินเป่ยชวนอีกแล้ว!
ชายหนุ่มที่ยืนเคียงข้างหลินเฟยเอ๋อร์มีใบหน้าที่แสนเย็นชา ราวกับเขาไม่เห็นเธอมาตั้งแต่ต้นจนจบ แต่กลับทำให้ผู้อื่นสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง
น้ำเสียงอ่อนหวานที่เอื้อนเอ่ยผ่านลิปสติกสีแดงของหลินเฟยเอ๋อร์ดังมากระทบหูของเฉียวชูเฉี่ยน “พอทานข้าวเที่ยงกันเสร็จแล้วคุณช่วยพาฉันไปส่งที่กองถ่ายหน่อยจะได้ไหมคะ?”
“มีแม่บ้านและผู้ช่วยอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ ยังต้องให้ผมไปส่งอีกหรือ?” ขณะที่พูด มือใหญ่ของเฉินเป่ยชวนก็ยกไปวางอยู่บนไหล่บางของหลินเฟยเอ๋อร์ น้ำเสียงเรียบเย็นราวกับไม่ใส่ใจอะไร
หลินเฟยเอ๋อร์ยิ้มอย่างอ่อนช้อยและเขินอายนิดๆ “นั่นไม่เหมือนกันนี่คะ ฉันอยากให้คุณไปส่งนะค่ะ!”
สองคนนี้คุยกันต่อหน้าเฉียวชูเฉี่ยนอย่างไม่มียางอาย ราวกับทิ่มแทงไปที่ตาและคิ้วเฉียวชูเฉี่ยนจนเจ็บปวด เธอบีบกระเป๋าสะพายในมือให้แน่นขึ้น
เห็นๆ อยู่ว่าแต่ก่อนก็เคยชินกับท่าทีเช่นนี้ของเขา แต่ทำไมพอได้มาเห็นอีกในเจ็ดปีให้หลังถึงยังเจ็บปวดใจมากอยู่อีก?
‘ติ้ง’ แล้วลิฟต์ก็ค่อยๆ เปิดออก
เมื่อเลขาเห็นเฉินเป่ยชวนและหลินเฟยเอ๋อร์ก็ทักทายอย่างสุภาพออกไปว่า “ประธานเฉิน คุณหลิน”
จากนั้นสายตาเธอก็หันไปที่เฉียวชูเฉี่ยน “เลขาเฉียว”
“เล ขา?” ฟังแล้วหลินเฟยเอ๋อร์ก็หยุดเท้าอยู่นอกลิฟต์ เฉินเป่ยชวนก็หยุดเดินตามมา
เธอรู้สึกแปลกใจจึงหันไปมองเฉียวชูเฉี่ยน “ผู้หญิงคนนี้เป็นเลขาหรือคะ?”
เฉินเป่ยชวนจ้องไปที่ด้านข้างของเธอด้วยสีหน้าที่เย็นชาดังเดิม ใบหน้าเขาราวกับแช่แข็งเอาไว้
“ขออภัยด้วยเรื่องนี้กะทันหันไปซักหน่อย จึงไม่ทันได้รายงานต่อประธานเฉินและคุณหลินนะค่ะ”
คุณเลขากล่าวคำขอโทษ “คุณเฉียวเป็นคนที่ฝั่งนายทุนที่อเมริกาส่งตัวมา มาแทนตำแหน่งของดิฉันนะค่ะและต่อจากนี้ไปจะมารับผิดชอบงานส่วนของบริษัท MR อีกด้วยค่ะ”
“ไม่คิดว่าศัลยแพทย์อย่างคุณเฉียวจะเปลี่ยนสายงานและเข้าสู่วงการบังเทิงนะครับ” เฉินเป่ยชวนส่งสายตาที่เย็นชืดมาให้
คุณเลขาอึ้งไป
ไม่จริงน่า หญิงแกร่งมืออาชีพอันดับหนึ่งจากฝั่งเงินทุนที่บริษัทเอาแต่ยกย่องไม่หยุดหย่อนจะเคยเรียนการแพทย์มาก่อน?
เฉียวชูเฉี่ยนหัวใจเต้นแรงอย่างไม่คาดคิด
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามปรับน้ำเสียงให้เยือกเย็น “มีใครตั้งเงื่อนไขกันว่าคนทำอาชีพหนึ่งจะต้องทำไปจนแก่เฒ่าคะ? ฉันชอบงานนี้จึงเข้าสู่ธุรกิจบันเทิงมีอะไรที่ไม่สมควร หรือประธานเฉินสงสัยในความสามารถของฉันกันแน่คะ?”
บรรยากาศตึงเครียดไปในพริบตา
“ลินดา จัดตำแหน่งที่นั่งของเลขาเฉียวไปอยู่ข้างห้องทำงานผม”
ทันใดนั้น เฉินเป่ยชวนก็พูดขึ้นมา “ภายในหนึ่งอาทิตย์จะต้องส่งมอบงานทั้งหมดให้กับเลขาเฉียว และประชุมในสัปดาห์หน้าให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบ”
ทันทีที่พูดจบ ขายาวๆ ของเฉินเป่ยชวนก็ก้าวเดินไปแล้ว ราวกับรังเกียจใบหน้าเธอหากจะมองไปมากกว่านี้
ลินดาหันไปยังทิศทางที่เขาเดินจากไปแล้วตอบกลับอย่างสุภาพและเคารพยิ่ง “รับทราบค่ะ ประธานเฉิน”