“อย่ากลัว กอดผมแน่นๆ ก็พอครับ”
เสียงลมพัดหวีดหวิวดังอยู่ข้างหูจนเธอรู้สึกเจ็บแก้วหู แต่เธอก็ยังได้ยินเสียงอันอ่อนโยนของเขาอีกด้วย ราวกับมีกระแสน้ำอุ่นๆ ไหลผ่านเข้ามาในหัวใจเธอ เธอโอบเขาแน่นขึ้นไปอีก
เมื่อความสูงถึงระดับที่สามารถกางร่มได้แล้ว เฉินเป่ยชวนจึงดึงร่มชูชีพที่อยู่ด้านหลังเธอออกมา ภายในชั่วพริบตาความเร็วก็ค่อยๆ ลดระดับลง แล้วก็ค่อยๆ ร่อนลง
เวลานี้เองเฉียวชูเฉี่ยนถึงกล้าที่จะลืมตา อาการตื่นตระหนกในใจก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ
“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันค่ะ
ตลอดหนึ่งวันกว่าๆ ที่ถูกจับตัวไป มีภาพใบหน้าของเขาแวบเข้ามาในสมองหลายต่อหลายครั้ง แต่เธอไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองคิดต่อ เพราะเมื่อเกิดความหวังที่ไม่ควรมี ก็กลัวว่าตัวเองจะรับไม่ได้กับความผิดหวัง
แต่เขากลับมา มาตอนที่เธอใกล้จะถึงความตาย ราวกับทหารจากสวรรค์มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอด้วยท่วงท่าอันน่าเหลือเชื่อ
“แล้วคุณตั้งใจจะตอบแทนผมอย่างไรครับ?”
เสียงของเฉินเป่ยชวนเบาดั่งร่มชูชีพที่กำลังร่อนลงมา เธอไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ ตอบแทนอย่างไรนะหรือ เขาจำเป็นจะต้องให้ฉันตอบแทนบุญคุณเขาจริงๆ หรือ?
ลมกรรโชกแรงทำให้ตำแหน่งในการลงจอดของพวกเขาไม่ชัดเจน แต่เธอไม่กังวลเลย ขอเพียงลงจอดอย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว
แม้ความเร็วในการร่อนลงจะลดลงแล้ว แต่ความเร็วคงที่ยังคงเท่าเดิม เฉินเป่ยชวนกระชับคนในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก เพื่อให้ตัวเขารับแรงปะทะทั้งหมด เขาใช้การโอบตัวเธอมาช่วยลดระดับความเร็ว จึงทำให้ลงจอดได้อย่างมั่นคง
เมื่อร่างกายสัมผัสพื้นดินแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ครั้งนี้เธอรอดพ้นจากความตายแล้วจริงๆ
เฉินเป่ยชวนปล่อยวงแขนที่โอบเธอแล้วนั่งลงอย่างแรง “แกะออกครับ”
“อ้อ”
เฉียวชูเฉี่ยนไม่เคยใช้ร่มชูชีพมาก่อนมือไม้จึงวุ่นวายไปหมด เธอไม่รู้จะต้องกดปุ่มไหนถึงจะถูก ว้าวุ่นอยู่หลายนาทีร่มชูชีพก็ยังอยู่บนหลังเธอ
“ยังโง่เหมือนเดิม”
เฉินเป่ยชวนทำตาหยี ยื่นมือออกไป
ในใจรู้สึกต่อต้านนิดหน่อย เธอไม่โง่เสียหน่อย แค่ไม่มีประสบการณ์ในการจัดการกับร่มชูชีพก็เท่านั้น
เขาคลายสายรัดออกอย่างง่ายดาย แต่จู่ๆ เขาก็มาซบไหล่เฉียวชูเฉี่ยนเหมือนจะโอบกอด หัวใจเธอจึงเต้นรัวขึ้นมา ไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหน เขาทำแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร?
“เฉินเป่ยชวน คุณ……ฉัน……”
โอเค เธอยอมรับว่าการปรากฏตัวของเฉินเป่ยชวนทำให้เธอว้าวุ่นใจ โดยเฉพาะตอนที่เห็นเขาอาละวาดอย่างไม่กลัวตายนั่น เธอยิ่งว้าวุ่นใจมากขึ้น
“พวกเรา……”
เธอเดี๋ยวอ้าปาก เดี๋ยวหุบปากอยู่นานก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงปล่อยให้เขาโอบกอดเธอด้วยความขัดเขินและหงุดหงิดตัวเอง
เฉียวชูเฉี่ยนปล่อยให้เขากอดอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงเอามือผลัก
เฉินเป่ยชวนออกจากไหล่อย่างไม่แรงนัก แต่ร่างเขากลับเอนหลังลงไปนอนกองอยู่กับพื้น
“เฉินเป่ยชวน!”
“เป่ยชวน คุณเป็นอะไรไปคะ?”
เมื่อเห็นเขาหลับตาเธอก็ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก เวลานี้เธอถึงได้เห็นว่าบริเวณหน้าอกและหลังเขาเต็มไปด้วยเลือด เสื้อเชิ้ตสีขาวราคาแพงอาบย้อมไปด้วยสีเลือดจนน่าตกใจ
“เฉินเป่ยชวน คุณถูกยิง! คุณอย่าทำให้ฉันตกใจนะ” เธอนึกถึงตอนที่ตัวเองได้ยินเสียงปืน นั่นไม่ใช่อาการหูอื้อจากการโดดร่ม เป็นความจริงว่าเขาถูกยิงไปหนึ่งนัด
แต่ระหว่างที่โดดร่มลงมา เขาไม่ส่งเสียงบ่งบอกอาการเจ็บป่วยเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่ลูบบาดแผลมือเธอก็สั่นไปด้วย หน้าเธอซีดมาก แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอไม่อยากให้เฉินเป่ยชวนตาย ยิ่งไม่อยากให้เขาตายเพราะช่วยเธอ
“ฉัน ฉัน ฉันจะพาคุณไปหาหมอนะคะ เฉินเป่ยชวน คุณห้ามนอนนะ ฉันจะพาคุณไปโรงพยาบาล คุณต้องปลอดภัยค่ะ”
เธอพูดจาไม่ชัด สายตามองออกไปรอบด้านไม่หยุด บริเวณที่พวกเธอตกลงมาเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า อย่าพูดถึงโรงพยาบาลเลย ตึกสักตึกก็ยังไม่มี
“ฉันจะแบกคุณค่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนย่อตัวลงเพื่อจะอุ้มตัวเฉินเป่ยชวนมาไว้บนหลัง แต่ร่างเธอบอบบางเกินไปจึงยกชายร่างสูงใหญ่เช่นเขาไม่ไหว เธอลองอยู่หลายครั้ง แต่ไม่เพียงไม่สำเร็จ เลือดที่หลังเขากลับไหลออกมามากกว่าเดิม
“คุณอย่าทรมานผมอีกเลย เดี๋ยวผมได้ตายพอดี”
เฉินเป่ยชวนที่กำลังหมดสติอยู่ พอหลังเธอมากระแทกถูกหัวใจเขาเข้าก็รู้สึกเจ็บปวดมากจนต้องฟื้นคืนสติขึ้นมาในที่สุด เฉียวชูเฉี่ยนรีบวางเขาลงกับพื้น เบ้าตาแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นจนไม่อาจควบคุมได้ “เฉินเป่ยชวน ฉันแบกคุณไม่ไหว จะไปขอความช่วยเหลือจากใครก็หาไม่เจอ ฉันไม่รู้ว่าจะไปหาโรงพยาบาลและคุณหมอจากที่ไหนด้วย?”
จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์เหลือเกิน เขาสามารถกระโดดจากเฮลิคอปเตอร์มาช่วยเธอได้ แต่เธอแค่จะแบกหลังเขาก็ยังทำไม่ได้
“คุณลืมไปแล้วหรือว่าตัวเองเรียนอะไรมาครับ?”
เฉินเป่ยชวนทำปากขมุบขมิบอยู่นานกว่าจะพูดออกมาได้เป็นประโยคที่สมบูรณ์ เขาในตอนนี้ต่อให้ขยับแม้เพียงเล็กน้อย ก็รู้สึกได้ถึงกระสุนที่ฝังอยู่ในกระดูกตัวเอง
“ไม่ ไม่ได้ค่ะ”
เธอตื่นตกใจกับสิ่งที่เขาพูด แล้วโบกมือไม่หยุด ไม่ผิดที่เธอเรียนหมอ และเคยฝึกงานในโรงพยาบาลมาแล้ว แต่เธอบอกลาอาชีพนี้มาเจ็ดปีกว่า เวลานี้แค่ความกล้าที่จะจับมีดให้ไม่สั่นเธอยังทำไม่ได้เลย แถมยังเป็นเฉินเป่ยชวนอีก
“ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ลงมือเถอะครับ”
เขาหยิบกริชที่เตรียมไว้ใช้ยามฉุกเฉินออกจากขากางเกงอย่างยากลำบาก เม็ดเหงื่อไหลอาบบริเวณหน้าผาก บริเวณนี้เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าขนาดใหญ่ รถจะวิ่งผ่านมาสักคันยังไม่มี หากปล่อยไว้แบบนี้เขาคงได้ตายอยู่ที่นี่แน่
เฉียวชูเฉี่ยนหน้าซีดจนไม่อาจจะซีดไปได้อีกแล้ว ดวงตามองกริช แต่รูม่านตาเธอเหมือนจะหดเข้าไปอย่างหวาดหวั่น หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เขาอาจจะไม่รอด
“มือถือ โทรศัพท์มือถือของคุณล่ะคะ ฉันจะโทรหา 120 ที่อยู่ใกล้ๆ นี้”
เขาจับไปที่รอบๆ ตัวเขา แต่ไม่พบโทรศัพท์มือถือให้ติดต่อใครได้
“คุณอยากจะดูผมตายไปเปล่าๆ อย่างนั้นหรือ?”
เฉินเป่ยชวนอยากจะขมวดคิ้วถาม แต่แม้แต่แรงจะพูดยังแผ่วเบาเลย เฉียวชูเฉี่ยนเห็นแล้วอยากจะร้องไห้
“ฉันไม่อยากให้คุณตายค่ะ”
น้ำตาไหลออกจากเบ้าตาหยดลงบนมือที่เปื้อนเลือดของเธอ แม้จะเป็นคืนที่เธอแค้นเฉินเป่ยชวนที่สุด ก็ไม่เคยคิดจะให้เขาตาย
“อย่าร้อง ผมไม่ตายง่ายขนาดนั้น ลงมือเถอะ……คุณทำได้ครับ”
น้ำเสียงที่อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ของเขาทำให้เฉียวชูเฉี่ยนหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก เธอเรียนหมอมาจึงรู้ดีหากกระสุนปืนเข้าสู่ร่างกายเป็นเวลานานแล้วไม่เอาออกมาอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เธอจึงยื่นมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา จากนั้นก็หยิบกริชอันแหลมคมขึ้นมา นิ้วมือเธอสั่นเทา
ไม่มีมีดสำหรับผ่าตัด ไม่มีสถานที่ปลอดเชื้อ และไม่มีเครื่องมือต่างๆ สำหรับป้องกันเหตุฉุกเฉินใดๆ เธอจะต้องช่วยเขาด้วยการเอากระสุนสดๆ ออกมาราวกับมนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์
“อย่ากลัว”
เฉินเป่ยชวนไม่มีแรงจะลืมตา จึงทำได้แค่หรี่ตามองดูเธอ เขาเห็นมืออันสั่นเทาของเธอกับมีดที่ยังสั่นไม่หยุด
“ฉันไม่กลัว ฉันทำได้ ฉันไม่กลัว”
เธอกัดริมฝีปากตัวเอง กลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้หยดลงมาบดบังทัศนวิสัยของเธอ จากนั้นก็ใช้สองมือกระชับมีดเอาไว้ บาดแผลของเขาอยู่บริเวณหลังขั้วหัวใจ ซึ่งมีเส้นเลือดมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น ที่ด้านหลังยังมีเส้นประสาทอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นเธอจะสั่นไม่ได้แม้แต่น้อยและห้ามผิดพลาดเป็นอันขาด