เฉินเป่ยชวนหรี่ตาลงอย่างอันตราย แต่เขากลับลุกขึ้น ขนตาสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป
ปัง แล้วประตูก็ปิดลงอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่เก็บกักอยู่ในใจเหมือนมีมีดมาสะกิดสะเก็ดแผลให้ปริออก ช่างเจ็บปวดเหลือเกิน เธอมองประตูไม้ทาสีที่ถูกปิดลง ราวกับมองเห็นประตูแห่งความหวังบานสุดท้ายของโลกแห่งเทพนิยายที่ได้ถูกปิดลงไปเมื่อเจ็ดปีก่อน
“เป่ยชวน คุณช่วย ช่วยฉัน คุณช่วยตระกูลเฉียวหน่อยได้ไหมคะ?”
เธอผู้กำลังอ่อนแอและหมดหนทาง อุ้มท้องใหญ่เทอะทะมาจับแขนเสื้อเขาด้วยใบหน้าที่ซีดขาว กระดุมเพชรบนแขนเสื้อเขาเย็นราวกับจะเผื่อแผ่ความเย็นมาให้ด้วย
“คุณคิดจะให้ผมช่วยคุณ ช่วยบ้านตระกูลเฉียวหรือ?”
เงาร่างสูงสง่าก้มหน้ามองดูเธอ ริมฝีปากบางยกยิ้มเบาๆ แต่กลับสร้างความกดดันที่น่าเหลื่อเชื่อแก่ผู้พบเห็น
“ใช่ค่ะ มีเพียงคุณที่จะช่วยฉันได้ ฉันไม่อยากให้เห็นตระกูลเฉียวต้องหายไปแบบนี้ นั่นคือเลือดเนื้อทั้งชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ฉัน ขอร้องคุณช่วยตระกูลเฉียวด้วยเถิดนะคะ”
เธอร้องไห้จนลมหายใจติดขัด คำว่าคุณพ่อคุณแม่สร้างความเจ็บปวดให้เธอเป็นอย่างมาก คนที่รักเธอจู่ๆ ก็หายไปจากโลกใบนี้ ชีวิตสุขสบายราวกับเทพนิยายก็พังครืนลงมาในชั่วพริบตา กดทับจนเธอเจ็บปวดไปหมด
เฉินเป่ยชวนเป็นความหวังเดียวของเธอ
แต่ความหวังเดียวของเธอนั้นกลับยิ้มแล้วยกคางเธอขึ้นมา เขาเรียกรอยยิ้มปลิดลมหายใจขึ้นมาแล้วถามเธอว่า “จะให้ผมช่วยฉันก็ได้ บอกผมมาว่าเด็กในท้องเป็นลูกของใคร? ใช่ลู่ฉีหรือไม่!”
“……”
ช่วงเวลานั้น เธอเหมือนได้ยินเสียงหัวใจที่แตกสลาย พังทลายลงมา
เธอเฝ้ารอมาสามเดือนถึงได้ตั้งครรภ์ ทนทรมานต่ออาการแพ้ท้อง และต้องกล้ำกลืนอดทนต่อความไม่สะดวกสบายทั้งหลายที่มากับท้องที่โตขึ้นเรื่อยๆ แต่เขากลับมาถามเธอว่าเด็กในท้องเป็นลูกของใคร
น้ำตาไหลออกจากเบ้าตาอย่างกลั้นไม่อยู่ เธอรู้สึกน้อยใจ น้อยใจขนาดไหน
ชีวิตความเป็นอยู่อันสุขสบายมาแต่แรกเริ่มมืดมนในชั่วพริบตา จากนั้นแสงสว่างสุดท้ายก็มอดดับลง เธอยังคงนั่งอยู่ข้างเตียง มองดูรอยยิ้มเขาที่เย็นชาและไร้น้ำใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ลูกของเธอจะเป็นของลู่ฉีไปได้อย่างไรกัน?
แต่เธอไม่มีแรงจะอธิบายอีกแล้ว ไม่กล้าที่จะทนรับฟังเสียงแห่งการล่มสลายอีก ยิ่งไปกว่านั้นเธอกลัวว่าหากอธิบายทุกอย่างไปแล้วในสายตาเขาเธออาจถูกตัดสินให้เป็นอาชญากรกระทำความผิดก็เป็นได้
หยดน้ำตาไม่เพียงหยดถูกชุดคุมท้องที่หลวมโพรก แต่เธอรู้สึกว่ามันตกมาที่ใจเธอด้วย หยดน้ำตาเหล่านั้นคือสีแดงที่สว่างไสวและอบอุ่นที่สุด
สัมผัสเย็นๆ ปลุกความทรงจำสีแดงนั่นให้ตื่นขึ้น เฉียวชูเฉี่ยนมองหัวเข่าที่ไร้ซึ่งหยดน้ำตา จึงอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงเอามือมาเช็ดน้ำตา
เธอนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะร้องไห้อีกแล้ว
คืนนั้นเมื่อเจ็ดปีก่อนที่มาทั้งพายุและฝน แต่ใจเธอเจ็บปวดทีละเล็กทีละน้อยและไม่เหลือความมีชีวิตชีวาอีกต่อไป
เธอสูดลมหายใจขึ้นจมูก แล้วหิ้วตัวเองขึ้นไปเอนบนเตียง เธอไม่อยากร้องไห้ ไม่อยากจะเจ็บปวดเหมือนครั้งนั้นเมื่อเจ็ดปีก่อนอีกแล้ว
เฉินเป่ยชวนเดินอย่างไม่เป็นสุขอยู่ในลานบ้าน ยิ่งเดินก็ยิ่งหงุดหงิด ความรู้สึกของพวกเขาในช่วงสองสามวันมานี้กำลังไปได้สวยชัดๆ แล้วทำไมเมื่อครู่นี้เขาต้องพูดอะไรแบบนั้นออกไปด้วย?
เขาเงยหน้าขึ้นมองประตูที่อยู่ไม่ใกล้นักกำลังปิดสนิท เขาอยากเดินไปหา แต่ก็ไม่รู้จะเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนั้นอย่างไรดี
เมื่อลูบกระเป๋าบนตัว ก็พบว่าตัวเองได้เปลี่ยนมาใส่ชุดของคุณลุงบ้านนี้แล้ว จึงไม่มีบุหรี่
“เฉียวชูเฉี่ยน ผมควรจะทำอย่างไรกับคุณดี!”
ลมหนาวพัดมาราวๆ หนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เขาจึงผลักประตูห้องเข้าไป บางทีพวกเขาควรจะพูดคุยกันดีๆ ได้แล้ว
ผลักประตูเข้าไปแล้วก็พบเธอนอนขดตัวอยู่บนเตียงราวกับลูกแมวน้อยตัวหนึ่งที่อ่อนแอและต้องการการปกป้อง
สายตาของเฉินเป่ยชวนดูอ่อนลง เขาเดินเข้าไปหา
“เฉี่ยนเฉี่ยน พวกเรา……มาคุยกันเถอะ”
เสียงทุ้มต่ำราวกับต้องใช้พลังสูงมากถึงจะพูดออกมาได้ เขาต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมากที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเองผ่านช่วงเวลาเจ็ดปีมาไม่ดีเลย
คนบนเตียงยังไม่ขยับตัว มีเพียงช่วงอกของเฉี่ยนเฉี่ยนที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะลมหายใจ
คิ้วรูปดาบขมวดขึ้น เธอหลับไปแล้ว
เขาขึ้นเตียงอย่างหดหู่ใจ แต่กลับมองเห็นคราบน้ำตาบนหางตาเธออย่างชัดเจน แล้วหัวใจเขาก็เหมือนถูกอะไรมาแทงใส่ เจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูกราวกับเห็นภาพเธอขณะร้องไห้อยู่บนเตียง
“ร้องไห้ทำไมกัน?”
ขณะที่บ่นพึมพำกับตัวเอง เขาก็เอานิ้วมือไปเช็ดคราบน้ำตาที่ติดอยู่ที่หางตาไปด้วย
เห็นๆ อยู่ว่าตัวเองก็ทุกข์ใจในเวลาที่เธอร้องไห้
เขาถอนหายใจออกมาอย่างจนใจแล้วเอนตัวลงนอนข้างๆ เธอ เหมือนสองสามคืนที่ผ่านมาที่เห็นเธอโอบเขาอย่างอ่อนโยน
เฉียวชูเฉี่ยน ผู้คนในเมืองซั่นเป่ยมากมายขนาดนี้ แต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่เขาไม่รู้จะปฏิบัติตัวอย่างไรกับเธอดี
ในความฝันเฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกเจ็บปวดทรมานใจมาก แต่ไม่รู้ทำไมความฝันที่เจ็บปวดนั่นค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น อ่อนโยนจนขับความเสียใจออกไปจากความฝันได้ จากนั้นเธอก็นอนหลับไปในที่สุด
เมื่อตื่นขึ้นก็เห็นตัวเธอคนเดียวอยู่ในห้อง เฉียวชูเฉี่ยนลูบไปที่ดวงตาของตัวเอง แม้จะไม่บวมเหมือนลูกวอลนัท แต่ก็เหมือนลูกพุทราจีนอยู่ดี
เธอแอบด่าตัวเองที่ไม่ยอมฮึดสู้ หากออกไปแบบนี้ไม่เท่ากับเป็นการบอกทุกคนว่าตัวเธอร้องไห้มาเมื่อคืนหรือ
“เฉี่ยนเฉี่ยน ออกมาทานข้าวได้แล้วจ้า” คุณป้าตะโกนเรียกอย่างกระตือรือร้นอยู่ข้างนอก
“ฉันยังไม่หิวนะคะ พวกคุณป้าทานกันไปก่อน ไม่ต้องรอฉันนะคะ” ตอนนี้ได้แต่หวังว่าก่อนเที่ยงอาการบวมที่ตาจะดีขึ้น ไม่อย่างนั้นได้หิ้วท้องไปทั้งวันแน่
“ได้จ๊ะ คนหนุ่มคนสาวควรนอนเยอะๆ หน่อย เดี๋ยวป้าให้พ่อหนุ่มของเรายกของกินเข้าไปให้นะ”
“อย่า……”
เธอพูดปฏิเสธยังไม่ทันจบดีก็ได้ยินเสียงแปดหลอดดังทะลุทะลวงของคุณป้าจากที่อื่นเสียแล้ว
เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังอยู่นอกประตู เธอจึงกลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้งแล้วแสร้งหลับตานอน
“ลุกขึ้นมาทานข้าว”
“ฉันไม่หิวค่ะ” เธอพูดจบก็ถูกเฉินเป่ยชวนจับที่แขน เธอน้อยใจจากเรื่องเมื่อคืนจึงสะบัดมือออกโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็ได้ยินเสียงเขาเจ็บจนต้องสูบลมหายใจเข้า
“คุณแผลเปิดไหมคะ?”
เธอยังมีโทสะอยู่อย่างเห็นได้ชัด แต่กลับไม่อาจเก็บอาการร้อนรนของตัวเองได้ สายตาเธอยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอีกด้วย
“ไม่ได้ใหญ่โตอะไร”
ตอนที่บาดแผลปริออก เขารู้สึกได้ถึงความเหนียวร้อนกลุ่มหนึ่ง ถึงไม่ดูก็รู้ว่าเลือดออกแล้ว
“ฉัน……เมื่อครู่นี้ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันช่วยคุณดูแผลนะคะ”
เฉียวชูเฉี่ยนกลัวเขาไม่ให้ความร่วมมือจึงรีบเดินอ้อมไปด้านหลังเขา มีเสื้อผ้าชุดเก่าที่เปื้อนเลือดอยู่บางส่วน
“ขอโทษ เป็นฉันไม่ดีเองค่ะ”
ไม่ว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนเขาจะทำร้ายเธอเพียงใด แต่ตอนนี้เขาต้องบาดเจ็บจนเกิดแผลที่ตัวก็เป็นเพราะช่วยชีวิตเธอเอาไว้
“ฉันไปตักน้ำมาให้นะคะ” บาดแผลเปิดจะติดเชื้อได้ง่ายหากไม่ดูแลให้ดีๆ
เฉินเป่ยชวนเห็นเธอวุ่นวายไปกับการตักน้ำร้อน ความเจ็บปวดที่หลังก็เหมือนจะบรรเทาลงไปไม่น้อยในชั่วพริบตา
เฉียวชูเฉี่ยนยกน้ำต้มสุกมาอ่างหนึ่ง แล้วเอาผ้าขนหนูมาแช่น้ำร้อน เดี๋ยวจะผ้าขนหนูที่มีอุณหภูมิสูงมาฆ่าแบคทีเรียจะได้ไม่ติดเชื้อ ในระหว่างแช่ผ้าเธอก็ช่วยถอดเสื้อผ้าให้เขาอย่างเก้ๆกังๆ บาดแผลตกสะเก็ดสีดำเปิดออกและมีเลือดไหลออกมา
“นอนคว่ำบนเตียงนะคะ ท่านี้จะช่วยลดอาการเลือดไหลได้”
เฉินเป่ยชวนขึ้นไปนอนคว่ำอยู่บนเตียงอย่างว่าง่าย แขนทั้งสองข้างกางออกอย่างผ่อนคลาย การเคลื่อนไหวๆ ง่ายแต่กลับช่วยเผยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ และสรีระไหล่กว้างสะโพกแคบออกมาอย่างเด่นชัด ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนหน้าแดงเห่อ รีบไปบีบผ้าขนหนูในอ่างออกมา แล้วเช็ดเบาๆ ไปที่บาดแผล
นอกจากกลิ่นคาวเลือดจางๆ และไอน้ำที่ลอยตลบไปทั่วแล้ว คนสองคนก็เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา เฉินเป่ยชวนแยกออกระหว่างอุณหภูมิบนมือเธอกับผ้าขนหนูได้อย่างชัดเจน