“ทำไมดูแลผมถึงขนาดนี้ครับ?”
เฉียวชูเฉี่ยนถูกเขาถามก็อึ้งไป เขาบาดเจ็บเพราะช่วยเธอ เธอจึงต้องดูแลเขาอยู่แล้ว แต่เธอกลับไม่กล้าเผชิญกับแววตาที่ลดความเย็นชาลงแล้วดวงนั้น
“ถ้าผมไม่ได้บาดเจ็บเพราะช่วยคุณ คุณจะดูแลผมขนาดนี้ไหมครับ?”
“ฉัน……”
เธอปิดปากสนิทเหมือนถูกผูกเอาไว้ทันที ด้วยไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เธอกลัวได้รับคำตอบที่ไม่อยากจะได้รับ จึงไม่กล้านึกถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน
แต่เฉินเป่ยชวนเอาแต่บีบบังคับให้ตอบคำถามออกมาให้ได้ เขากุมมือที่ยังว่างอยู่ของเธอ “เฉี่ยนเฉี่ยน คุณยังมีใจให้ผมอยู่ ถูกต้องไหมครับ?”
เธอหยุดมือที่กำลังเช็ดบาดแผลไปชั่วขณะ ช่วงเวลานั้นเธออยากจะทิ้งผ้าขนหนูในมือแล้วออกไปจากพื้นที่ที่ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติในทันใด
เมื่ออดีตสามีถามหญิงสาวที่หย่ากันมาเจ็ดปีแล้วว่ายังมีใจให้เขาอยู่หรือไม่ เป็นเพราะเฉินเป่ยชวนคิดเข้าข้างตัวเอง หรือเป็นความผิดพลาดของเธอเองกันแน่ เจ็ดปีมาแล้ว ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะยังไม่ลืมผู้ชายคนที่หย่าร้างกันและเลิกรักเธอไปแล้วคนนั้นอยู่อีก
“เช็ดเสร็จแล้ว ฉันไปเทน้ำนะคะ”
เธอจินตนาการภาพตอนเผชิญหน้ากับเฉินเป่ยชวนเมื่อก่อนหน้านี้ แล้วบอกเขานิ่งๆ ว่า คุณแค่คิดไปเองค่ะ ที่ฉันดูแลคุณเป็นเพราะคุณธรรมสามประการเท่านั้น แต่คำพูดที่ทั้งหลอกตัวเองและผู้อื่นเช่นนั้นเธอกลับพูดออกมาไม่ได้
วันและคืนที่อยู่ด้วยกันตลอดสองสามวันนี้ ทำให้เธออดยอมรับไม่ได้ว่าการลืมเฉินเป่ยชวนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มีความสุขนั้นเป็นการหลอกตัวเองทั้งสิ้น แม้จะเจ็บปวดทรมานมาเจ็ดปี พยายามที่จะลืมมาตลอดเจ็ดปี แต่ก็ยังมีคำว่าเฉินเป่ยชวนสลักอยู่ในใจเสมอ
“เฉี่ยนเฉี่ยน”
เฉินเป่ยชวนกดมือที่พยายามจะดึงออกเอาไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เย็นชาเหมือนเคยไปว่า “เจ็ดปีนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน”
เจ็ดปีก่อน เขาเซ็นชื่อตัวเองลงบนหนังสือหย่า พอวันที่สองเขาอยากจะลืมให้ได้ว่ายังมีผู้หญิงชื่อเฉียวชูเฉี่ยนอยู่ในโลกใบนี้ แต่ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา ไม่ว่าข้างกายเขาจะมีผู้หญิงสักกี่คน เขาก็ไม่อาจลืมใบหน้าและคราบน้ำตาของเธอออกไปได้ ราวกับรอยแผลถูกเหล็กนาบที่เช็ดไม่ออก
“……”
มือเรียวบางจับอ่างน้ำแน่นขึ้น เขาพูดเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร เขารู้สึกว่าเจ็ดปีมานี้ยาวนานหรือ?
“เรามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะ”
เจ็ดคำ เฉินเป่ยชวนต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลถึงจะพูดออกมาได้ แต่เมื่อพูดออกไปแล้ว เขากลับไม่รู้สึกว่ามันลำบากอย่างที่คิด
แต่เฉียวชูเฉี่ยนฟังแล้วกลับยากที่จะเชื่อ เธออึ้งอยู่ตรงนั้นราวกับถูกฟ้าผ่า
เมื่อครู่เขาบอกว่ามาเริ่มต้นกันใหม่?
เฉินเป่ยชวนเงยหน้ามองเธอ พยายามบังคับสายตาไม่ให้ดูเหมือนกำลังเร่งร้อนรอคำตอบ แต่ในใจเขากลับรู้สึกเหมือนตอนกำลังเผชิญหน้ากับการสอบครั้งใหญ่เป็นครั้งแรกเมื่อตอนเด็ก เขาไม่อาจสงบใจลงได้
“เฉินเป่ยชวน……คุณไม่สบายตรงไหนหรือคะ?” ไม่งั้นเขาจะพูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไร?
เมื่อได้ฟังคำตอบเช่นนี้ เขาก็ขมวดคิ้วแล้วดึงมือเธอมาแตะที่หน้าอกเขาอย่างแรง “คุณคิดว่าผมไม่สบายตรงไหนถึงพูดคำเช่นนี้ออกมาครับ?”
เฉินเป่ยชวนไม่เคยลดตัวให้หญิงใดมาก่อน ไม่ง่ายเลยกว่าจะรวบรวมความกล้าพูดออกมาได้ ผู้หญิงคนนี้กลับพูดว่าไม่สบายตรงไหน?
เมื่อเฉียวชูเฉี่ยนสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะผ่านฝ่ามือ หน้าเธอก็แดงก่ำด้วยความไม่ยิมยอม เมื่อคืนเธอเพิ่งจะรื้อฟื้นความเจ็บปวดเมื่อเจ็ดปีก่อนขึ้นมาได้ ตอนนี้เธอควรปฏิเสธเขาให้จงหนักสิถึงจะถูก แต่ทำไมเธอถึงพูดคำนั้นออกมาไม่ได้นะ
ไม่เพียงแค่นี้ หัวใจเธอยังเต้นกระหน่ำมากขึ้นอีกด้วย
“เฉียวชูเฉี่ยน พยักหน้าตอบตกลงนะครับ”
เฉินเป่ยชวนผินหน้ามองเฉียวชูเฉี่ยนด้วยแววตาที่ชวนหลงใหล เธอกลืนน้ำลาย เม้มปากแน่น เพื่อให้ตัวเองมีแรงต้านทานพอที่จะไม่ทำตามเขาบอก
“ฉันไปเทน้ำก่อนนะคะ”
พูดจบเธอก็ออกแรงสะบัดผู้ที่ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงคนนั้น แต่ทว่าเฉินเป่ยชวนกลับไม่คิดจะปล่อยมือ
เจ็ดปีก่อนเป็นเพราะความหยิ่งในศักดิ์ศรีและทะนงตน ทำให้เขาโกรธอย่างรุนแรงและเซ็นหนังสือหย่าออกไป แต่ตลอดเจ็ดปีมานี้เขาไม่เพียงไม่อาจหลุดพ้นแต่ยังเจ็บปวดทรมานมากขึ้น แค่เพียงนึกชื่อเฉียวชูเฉี่ยนขึ้นมา ก็รู้สึกเหมือนมีคนเอามีดมากรีดหัวใจเขาจนเป็นแผล เลือดไหลออกมาช้าๆ เช่นนั้น
จู่ๆ ร่างสูงก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วดึงเธอเข้าไปกอด
“บอกผมมา คุณก็เป็นเหมือนผม ยังมีตำแหน่งหนึ่งในใจที่ไม่อาจให้ผู้อื่นเข้าไปได้”
น้ำเสียงแหบต่ำเผด็จการอันทรงเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ของเขา ทำให้หัวใจเฉียวชูเฉี่ยนเต้นตึกตัก ลืมจังหวะการเต้นเดิมไปเลย
ตำแหน่งหนึ่งที่ไม่อาจให้ผู้อื่นเข้าไปได้?
ราวกับความรู้สึกในใจถูกแบออกท่ามกลางแสงอาทิตย์ เบ้าตาเธอแดงก่ำจนไม่อาจจะควบคุมได้ ลู่ฉีพยายามมาตลอดเจ็ดปี ไม่ใช่ว่าเธอมองไม่เห็น ไม่ใช่เธอปล่อยให้เขารอโดยไม่ให้คำมั่นสัญญา แต่เป็นเพราะเธอทำไม่ได้ ใจเธอตรงนั้นได้มีคนจับจองเอาไว้แล้ว เธอเอาออกไปไม่ได้และผู้อื่นก็ไม่อาจจะเข้ามาได้เช่นกัน
“เฉินเป่ยชวน ฉันเกลียดคุณ”
น้ำตาไหลกลิ้งลงมาไม่หยุด เหมือนความรู้สึกที่เก็บกักเอาไว้ถูกระบายออกมา เจ็ดปีก่อนเธอไร้ที่พึ่งพิงถึงเพียงนั้น แต่เขากลับเก็บมือทั้งสองข้างของตัวเองไว้อย่างเย็นชา เพื่อมองดูเธอตกลงไปในบ่อลึกแห่งความเจ็บปวด และบดขยี้ความฝันที่คาดหวังของเธอจนแตกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไร้ความปราณี
“เกลียดใครก็ควรจะอยู่กับเขา เช่นนี้ถึงจะเป็นการทรมานที่โหดเหี้ยมที่สุด ความเกลียดถึงจะมีความหมาย”
เฉินเป่ยชวนกดศีรษะเธอมาพิงไหล่ตัวเอง ขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาเขาดูอ่อนโยนขึ้น เจ็ดปีที่ผ่านมาช่างยาวนานเหลือเกิน ยาวนานจนเขาเข้าใจในเหตุผลข้อหนึ่งว่า หากไม่มีผู้หญิงที่ชื่อเฉียวชูเฉี่ยนคนนี้ เขาแทบจะไม่มีความหมายอะไร สัมผัสไม่ได้ถึงความสุขสบายใจแม้เพียงนิดเดียว
น้ำตาแทรกซึมเข้าไปในผิวหนังบริเวณไหล่ ความเย็นของน้ำตากลับทำให้เขารู้สึกร้อนลวก
“เฉี่ยนเฉี่ยน ให้โอกาสเราสองคนได้มีความสุขร่วมกันเถอะนะ”
ถ้าเธอไม่กลับประเทศมา เขาก็ยังคงโกรธเคืองและบอกกับตัวเองด้วยความโมโหว่าสายตาเธอไม่ดี เป็นหญิงโง่ที่แยกไม่ออกว่าผู้ชายคนไหนโดดเด่นกว่า แต่ในที่สุดเธอก็กลับมาแล้ว เช่นนี้ก็เท่ากับพวกเรามีวาสนาต่อกันที่มากพอ แม้จะเป็นบุพเพอาละวาดที่ทำให้ต้องมาพัวพันกันไปชั่วชีวิตก็ตาม
เฉียวชูเฉี่ยนร้องไห้ไม่หยุดราวเขื่อนแตกอยู่นานมาก ประหนึ่งว่าหากทำเช่นนี้เธอถึงจะมีเรี่ยวแรงและความกล้าที่จะลองแสวงหาโอกาสมีความสุขอย่างที่เฉินเป่ยชวนว่า
เขากระชับวงแขนที่โอบกอดหญิงสาวเอาไว้ และยิ้มซีดๆ ออกมาอย่างหาดูได้ยาก ความรู้สึกยามกอดเธอเช่นนี้ช่างไม่เลวเลยจริงๆ
เฉียวชูเฉี่ยนที่ไม่รู้ว่าตัวเองระบายความอัดอั้นผ่านการร้องไห้ออกไปนานแค่ไหนเริ่มมีสติกลับคืนมาแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มที่ตัวเองกำลังพิงอยู่เริ่มหายใจหนักขึ้น
“เฉินเป่ยชวน?”
ใบหน้าเขาขาวซีด เธอถึงนึกขึ้นได้ว่าแผลที่หลังเขายังเลือดไหลอยู่
“รีบเอนตัวลงนอนค่ะ”
อย่างที่คิด เมื่อออกจากอ้อมกอดเขา เธอก็พบว่าหลังเขาย้อมไปด้วยสีเลือด
เธอรีบเปลี่ยนน้ำร้อน แล้วเช็ดแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พันแผลให้ใหม่ เช็คแล้วเช็คอีกจนแน่ใจว่าไม่มีเลือดไหลแล้วเธอถึงจะโล่งใจออกมาได้