“หม่ามี๊ ผมจะมีน้องชายแล้วใช่ไหมครับ?”
เฉียวจิ่งเหยียนทางหนึ่งก็ช่วยเธอตบหลังด้วยความกังวล อีกทางหนึ่งก็สอบถามด้วยความสงสัย เขามักรู้สึกว่าหม่ามี๊กับเฉินเป่ยชวนคนเลวดูเปลี่ยนไป
“หม่ามี๊ไม่ได้ตั้งท้องน้องชายหรอกจ๊ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนอาเจียนจนเจ็บคอแต่ก็ยังตอบคำถามเจ้าตัวน้อยอย่างจริงจัง ศีรษะน้อยๆ ของเขาบรรจุอะไรเอาไว้เนี่ย เธอแค่ดื่มเร็วไปหน่อยเลยทรมานกระเพาะก็เท่านั้น
“อ้อ”
เจ้าตัวน้อยทำปากจู๋ ใบหน้าเขาทั้งดีใจและผิดหวังอย่างละครึ่ง เดิมทีเขาอยากรับรู้ถึงความยุ่งเหยิงว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร แต่ดูท่าจะไม่มีโอกาสเสียแล้ว
เธอล้างกลิ่นแปลกๆ ในปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก จากนั้นก็จูงเจ้าตัวน้อยขึ้นเตียง “เด็กดี ได้เวลานอนแล้วจ้า”
“หม่ามี๊ ครึ่งเดือนมานี้ผมคิดถึงหม่ามี๊มากเลยครับ”
เจ้าตัวน้อยโผเข้าไปในอ้อมกอดหม่ามี๊ทันที หลายคืนมานี้เขานอนไม่หลับจนต้องไปนอนกับคุณย่าทวด
“หม่ามี๊ก็คิดถึงลูกมากเช่นกันจ๊ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะรอดกลับไปได้ และไม่รู้ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เห็นลูกชายเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุขอีกหรือไม่
แสงจากภายนอกห้องสาดส่องเข้ามาสร้างความอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้สองแม่ลูกที่กำลังคลอเคลียกันอยู่หลับไปโดยไม่รู้ตัว
เฉินเป่ยชวนอยู่คุยกับท่านผู้หญิงสักพักถึงเดินขึ้นชั้นสามไป พอเดินผ่านห้องนอนของเฉียวชูเฉี่ยนเขาก็เดินย้อนกลับมาโดยเร็ว ริมฝีปากบางยกยิ้ม จากนั้นก็บิดกลอนประตู
หลังจากถูกพวกค้ายาจับตัวไปเธอก็มักจะมีอาการตกค้างจากเหตุการณ์ดังกล่าว ต่อให้กำลังนอนหลับอยู่แต่หากมีการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย เธอก็จะตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อสายตาระแวดระวังของเธอมองเห็นเป็นชายหนุ่มอยู่ตรงหน้าประตู ร่างกายที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง
“คุณเข้ามาได้อย่างไรคะ?”
น้ำเสียงลดต่ำลงด้วยกลัวว่าตัวเล็กจะตื่น จากนั้นเธอถึงจะให้ความสนใจกับร่างกายเขา เมื่อครู่นี้เขาดื่มไวน์ไปถึงสามแก้ว
“คุณไม่สบายที่ตรงไหนบ้างไหมคะ คุณไม่ควรดื่มไวน์มากขนาดนั้นเลย”
เดิมเฉินเป่ยชวนกะจะใช้แผนดื่มเหล้าสร้างเรื่อง แต่ในเมื่อเธอยอมเปิดโอกาสให้เขาพอดี เขาจึงเออออไปตามท้องเรื่อง
“นี่ไม่ใช่ห้องผมหรือครับ?”
นิ้วเรียวยาวกดขมับตัวเอง เมื่อดื่มไวน์เข้าไปสีหน้าจึงออกแดงจางๆ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำตัวแสร้งเมา
“นี่เป็นห้องฉันค่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนลุกจากเตียงเตรียมจะช่วยพยุงเขาไปห้องข้างๆ ไว้รอให้เย็นกว่านี้ค่อยพาไปตรวจดูอาการที่โรงพยาบาล แม้เธอจะเรียนการแพทย์มา แต่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนนอกวงการ ถ้าหากบาดแผลได้รับการจัดการไม่ดี แล้วไปเจออากาศที่เปลี่ยนแปลงก็อาจเกิดเป็นโรคเรื้อรังได้
พอมือบางวางบนแขนเฉินเป่ยชวน จู่ๆ เขาก็เบี่ยงออกไปทำท่าเหมือนจะตกลงไป
“ระวังค่ะ” เธอรีบประคองตัวเขา แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นร่างของคนสองคนไปอยู่ข้างกำแพงเฉยเลย
หลังบางสัมผัสได้ถึงความเย็นเธอก็ดีใจขึ้นมาหน่อย ยังดีที่หลังติดกำแพงคนนั้นไม่ใช่เฉินเป่ยชวน มิเช่นนั้นบาดแผลที่หลังเขาจะต้องปริแตกอีกแน่
“เป่ยชวน ฉันส่งคุณก่อน……”
เฉียวชูเฉี่ยนยังพูดไม่ทันจบ ชายหนุ่มที่ถูกโอบตัวอยู่ก็ขึ้นหน้ามาจูบเธอทันที
“……”
เธอเบิกตาโตด้วยอารามตกใจ หัวใจสูบฉีดแรงขึ้น เขา……แต่แค่เพียงจูบเบาๆ ราวแมลงปอแตะผิวน้ำ จากนั้นแรงสัมผัสก็หายไป
“เฉี่ยนเฉี่ยน ดีจริงๆ ที่พวกเรารอดชีวิตกลับมาได้”
เสียงทุ้มต่ำแหบเสน่ห์ราวกับถูกแมวเกา ดังคุกคามอยู่ข้างหู แล้วยังมีกลิ่นไวน์ติดลมหายใจ ทำให้เธอคอแห้งตามสัญชาตญาณ
“ใช่ค่ะ ดีจริงๆ ที่ได้กลับมา”
มือที่โอบเอวเขาเดิมถูกย้ายมากันที่หน้าอกเขา แต่พอนึกถึงครั้งที่แล้วที่เธอควบคุมแรงของตัวเองไม่อยู่จึงทำให้แผลเปิด เธอจึงปล่อยมือลง หวังว่าเฉินเป่ยชวนจะแค่ยืนไม่มั่นคงเลยแตะถูกริมฝีปากเธอเท่านั้น
เฉินเป่ยชวนมองหญิงสาวที่ถูกล้อมอยู่ในอ้อมกอดเขา แววตาก็ยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ จากนั้นเขาก็ดึงแขนเธอมาโอบที่ลำคอเขา
“บอกผมที คุณยังรักผมอยู่ใช่ไหมครับ?”
หัวใจเฉียวชูเฉี่ยนหยุดเต้นไปชั่วขณะ ร่างกายแข็งทื่อขึ้นมาอย่างไม่ยินยอม ตอนอยู่บ้านคุณป้าเธอเลี่ยงไม่ตอบคำถามใดๆ ของเขามาตลอด แต่ไม่คิดว่ากลับมาไม่ทันไร เขาก็ถามคำถามที่ตอบยากเช่นนี้อีกแล้ว
เธอยังรักเขาอยู่ ถึงแม้ตัวเองไม่อยากจะยอมรับ แต่ก็ยังรักไม่เสื่อมคลาย
“เรากลับมาเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้งนะครับ?” เขาก้มศีรษะ ลมหายใจพ่นมาที่ใบหน้าเธอ ทำให้เธอหน้าแดงหัวใจเต้นรัว
“เฉินเป่ยชวน คุณดื่มมากไปแล้ว ฉันส่งคุณกลับห้องก่อนดีไหมคะ?”
หัวใจเธอเต้นอย่างสับสนราวกับจะกระเด็นออกมาอยู่แล้ว หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป เธอกังวลว่าจะควบคุมไม่ได้แล้วจริงๆ
แต่เฉินเป่ยชวนไม่คิดจะให้มีบทสรุปแบบนี้ออกมา เขาทำเหมือนเดิมคือก้มศีรษะแล้วจูบกลีบปากเธออย่างลุ่มลึก ลมหายใจที่คุ้นเคยทำให้เฉียวชูเฉี่ยนทำอะไรไม่ถูกมากขึ้น
เธอคิดจะผลักชายหนุ่มที่กำลังจูบเธออย่างลุ่มลึก แต่เขากลับจับมือเธอไว้ที่ลำคอเขา ส่วนด้านหลังก็เป็นกำแพงอันเย็นชืดทำให้เธอหมดหนทางที่จะหลบหนีไปได้
ก็เหมือนกับเมื่อสิบปีก่อน ต่อให้เธออยู่ที่ซั่นเป่ยหรืออเมริกา ก็ล้วนหนีไม่พ้นเฉินเป่ยชวน คำสามคำนี้ เธอถูกกักขังด้วยสามคำนี้มาเนิ่นนานแล้ว
จูบร้อนแรงแผดเผา ต่อให้เป็นหัวใจที่เยือกแข็งก็ต้องสั่นไหว นับประสาอะไรกับตัวเธอเอง
เฉินเป่ยชวนสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเธอ หางตาก็โค้งขึ้นเล็กน้อย เขากดจูบให้ลุ่มลึกสวยงามมากขึ้น เจ็ดปีที่เขาเกลียดผู้หญิงคนนี้จนแทบเป็นแทบตาย แต่กลับไม่อาจควบคุมความรู้สึกบ้าๆ ของตัวเองได้เลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็สู้ให้โอกาสพวกเขาได้กลับมาเริ่มต้นใหม่เสียดีกว่า
จากกำแพงที่เย็นชืดกลายเป็นเตียงอันอ่อนนุ่ม เฉียวชูเฉี่ยนนึกขึ้นมาได้ว่าในห้องนี้ บนเตียงนี้มีเจ้าตัวน้อยกำลังนอนอยู่อีกคน
“เฉินเป่ยชวน……จิ่งเหยียนยังอยู่นะคะ”
กลางวันแสกๆ แล้วยังมีเด็กที่กำลังนอนกลางวันอยู่อีก ใบหน้าแดงขึ้นมาฉับพลับราวกับหยดเลือด
“งั้นผมให้เขาไปนอนที่ห้องอื่นแล้วกัน” เฉินเป่ยชวนกดนวดหน้าผากตัวเองเหมือนอาการเมาจะยิ่งหนักขึ้น
เฉียวชูเฉี่ยนเห็นเจ้าตัวน้อยกำลังนอนหลับฝันดีอยู่ข้างๆ เวลาจิ่งเหยียนนอนกลางวันมักจะนอนยาวสามชั่วโมงกว่า คงไม่ทำให้เขาตื่นกระมัง
“เฉี่ยนเฉี่ยน พวกเราอย่าได้มีเจ็ดปีแห่งความผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สามอีกแล้ว”
เสียงแหบแห้งของเฉินเป่ยชวนดังขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับถูกพลังลึกลับบางอย่างทำให้หัวใจที่ตึงเครียดผ่อนคลายลง จู่ๆ ร่างกายที่เครียดขึ้งก็ผ่อนคลายลงมาเช่นเดียวกัน