เธอรักเฉินเป่ยชวนมาตลอดสิบปี แล้วจะต้องปล่อยให้อยู่ในสถานะที่ลืมไม่ได้เลิกรักก็ไม่ได้แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือ?
มือที่โอบอยู่รอบคอของเธอเริ่มรุกเร้ามากขึ้น เธอจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา ผู้ชายคนนี้ร่ายมนตร์ใส่เธอ และหัวใจของเธอก็ค่อยๆ หลอมละลาย
แสงอาทิตย์ยังคงสาดส่องอยู่ภายนอก แต่ทว่าภายในห้องกลับไม่เงียบสงบอีกต่อไป ร่างสองร่างที่ทาบทับกันอยู่ภายในห้องถูกชุบด้วยรัศมีสีทองของแสงแดดที่ส่องกระทบเข้ามา ราวกับประติมากรรมที่สมบูรณ์แบบและงดงามอย่างน่าเหลือเชื่อ
เฉียวชูเฉี่ยนนึกถึงบาดแผลที่แผ่นหลังของเขา “ขอฉันดูหลังหน่อยค่ะ”
บริเวณขมับของเฉินเป่ยชวนเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ทว่าเขาก็ยอมหันหลังให้อย่างว่าง่าย สะเก็ดแผลสีดำบนบาดแผลที่หลังมีรอยแตก แม้ว่าจะมีเลือดไม่มากแต่ก็น่าจะเจ็บไม่น้อย
“ทั้งหมดเป็นเพราะคุณ…”
เธอทุกข์ใจเมื่อเห็นเขาเจ็บและเริ่มโกรธกับสิ่งที่เขาเพิ่งทำกับเธอเมื่อครู่นี้ หากบาดแผลไม่ปริแตกครั้งแล้วครั้งเล่าตอนนี้มันอาจจะหายสนิทแล้วก็ได้
“แตกแล้วก็แตกไป ดูเหมือนสองวันนี้น่าจะคันมาก ช่วยผมเกาด้วยแล้วกัน”
เฉินเป่ยชวนดูไม่สนใจนัก เจ็บแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ต่อให้เจ็บมากกว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่าก็ยังเบากว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในหัวใจที่ว่างเปล่าของเขา
“แผลกำลังสมาน เซลล์กำลังสร้างผิวหนังขึ้นมาใหม่มันก็ต้องคันอยู่แล้ว แต่สะเก็ดแผลนี่ต้องปล่อยให้มันหลุดออกมาเอง จะไปแกะไปเกาไม่ได้”
เธอหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมาจากลิ้นชักและใช้สำลีก้านซับเลือดที่ซึมออกมาจากบาดแผลอย่างระมัดระวัง ที่บาดแผลมีเศษสะเก็ดแผลบางส่วนที่แตกออก เธอใช้แหนบเล็กๆ คีบออกเพื่อที่เวลาแผลหายจะได้ไม่รู้สึกคันใต้ผิวหนัง
“เจ็บไหม?”
เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกได้ถึงการหดตัวของกล้ามเนื้อของเขา แต่เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามทำอย่างเบามือมากขึ้น
ทันใดนั้นเฉินเป่ยชวนก็หันกลับมาและคว้ามือที่ถือแหนบของเธอเอาไว้ “ไหนๆ แผลก็เปิดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ให้มันเปิดให้สุดไปเลย”
“…”
น้ำหนักตัวที่ทาบทับลงมาอีกครั้งทำให้เธอเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ตั้งใจเอาให้ถึงตายใช่ไหม?
……
เจ้าตัวน้อยนอนเหยียดแข้งเหยียดขาอยู่บนเตียง สีหน้าเหมือนอยากนอนอยู่อย่างนี้จนกว่าฟ้าจะมืด พอหรี่ตามองชัดๆ จึงแปลกใจมากที่เห็นว่าบนเตียงซึ่งควรมีแค่เขากับหม่ามี๊กลับมีใครอีกคนเพิ่มมา ซึ่งมันแย่มาก
ไอ้คุณอานิสัยไม่ดีคนนี้คงฉวยโอกาสตอนที่เขาหลับรังแกหม่ามี๊อีกแล้วแน่ๆ
เขาเอื้อมมือไปหยิบหมอนที่หนุนอยู่เมื่อครู่นี้ขึ้นมาฟาดหน้าเฉินเป่ยชวน
“บอกว่าอย่ารังแกหม่ามี๊ของผม! ไอ้คนเลว!”
ร่างกายที่มีอาการบาดเจ็บจากการออกแรงไปสองครั้งของเฉินเป่ยชวนยังไม่ฟื้นคืนเต็มที่ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของเขายังรวดเร็วทำให้หลบการโจมตีครั้งที่สองของเจ้าตัวน้อยได้อย่างฉับไวและลงไปยืนอยู่ที่ข้างเตียงเป็นที่เรียบร้อย
“ใครเป็นคนเลว?”
คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กเหลือขอจะกล้าด่าว่าเขาเป็นคนเลว
เฉียวชูเฉี่ยนเองก็ตื่นขึ้นมาเพราะความโกลาหลที่เกิดขึ้น เธอตกใจรีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง
“แกนั่นแหละคนเลว แกฉวยโอกาสตอนที่หม่ามี๊หลับขึ้นมาบนเตียงแล้วกอดหม่ามี๊ใช่ไหม”
เจ้าตัวน้อยที่ถือหมอนอยู่ในมือถามอย่างไม่พอใจ แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นรอยช้ำสีแดงที่คอของหม่ามี๊ เขาก็ขู่ฟ่อขึ้นมาทันที
“ไอ้คนเลว แกกัดหม่ามี๊ด้วยเหรอ!”
เจ้าตัวน้อยโบกหมอนในมือในความโมโห เขาพยายามเรียกร้องความยุติธรรมให้แม่ของเขาอย่างเต็มที่ แทบอยากจะตีเจ้าคนเลวที่กัดคนอื่นเหมือนหมานี่ให้ตายไปเลย
เฉียวชูเฉี่ยนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก พอก้มลงมองก็พบว่าตนเองถูกขบจนเป็นรอยจ้ำสีแดงอยู่หลายจุดตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ใบหน้าของเธอแดงก่ำขึ้นมา แต่เพราะพูดอะไรต่อหน้าลูกไม่ได้เธอจึงทำได้แค่หันไปมองตัวการของเรื่องวุ่นวายที่ยืนอยู่ข้างๆ
“คุณกลับห้องไปก่อนเถอะค่ะ”
เฉินเป่ยชวนต้องการแบบนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อได้ผลเป็นที่น่าพอใจเขาจึงไม่ดึงดันที่จะอยู่ในห้องนี้ต่อ
“หม่ามี๊ไม่ต้องกังวลนะฮะ ต่อไปนี้ผมจะไม่ปล่อยให้เจ้าคนเลวนี่มารังแกหม่ามี๊อีกแล้ว”
เจ้าตัวน้อยจ้องเขม็งไปยังประตูที่ปิดลงอย่างดุร้ายพลางโอบแขนเธอไว้และพูดอย่างหมายมาด
“…”
เธอควรจะอธิบายกับจิ่งเหยียนอย่างไรดีว่านี่ไม่ใช่การรังแก
“เดี๋ยวหม่ามี๊ค่อยเล่าเรื่องนี้ให้หนูฟังทีหลังดีไหมจ๊ะ” หวังว่าความจำของเด็กจะมีไม่มากนัก จะได้ลืมเรื่องนี้ไปเร็วๆ
แต่สองชั่วโมงให้หลังเธอก็รู้ว่าตัวเองไร้เดียงสาแค่ไหน อาหารมื้อค่ำที่แสนอร่อยทำให้ทุกคนเจริญอาหารเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นเวลาปกติเจ้าตัวน้อยคงกินจนหยุดตะเกียบที่อยู่ในมือไม่ได้ แต่เวลานี้สายตาของเขากลับจ้องเฉินเป่ยชวนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างดุร้ายเหมือนหมาป่าตัวน้อยที่คอยคุ้มภัยเพราะกลัวว่าหม่ามี๊ของเขาจะถูกรังแกอีกครั้ง
ท่านผู้หญิงมองสองพ่อลูกแล้วขมวดคิ้ว “เหลนรัก ทำไมหนูถึงไม่กินล่ะ ของโปรดหนูทั้งนั้นเลยนะ”
“คุณย่าทวด ผมกินไม่ได้หรอกฮะ ถ้าผมก้มหน้ากินข้าวละก็ หม่ามี๊อาจจะถูกคนเลวรังแกอีกก็ได้”
เจ้าตัวน้อยจ้องเขม็งตั้งแต่ตอนเดินลงมากินมื้อเย็น แทบจะอยากเอาไม้จิ้มฟันมาจิ้มตา ต้องจ้องไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละดี
“หือม์? คนเลวอะไรกัน หนูไม่ต้องเป็นห่วงนะ พ่อแม่ของหนูกลับมาแล้ว ต่อไปจะไม่มีอันตรายอะไรอีกแล้ว”
เพราะคิดว่าเขาพูดถึงเรื่องที่ถูกลักพาตัวโดยพวกพ่อค้ายา ท่านผู้หญิงจึงยิ้มให้อย่างปลอบโยน แต่เจ้าตัวน้อยกลับพูดในสิ่งที่น่าตกใจ “เขาคือคนเลวฮะ ผมกับหม่ามี๊นอนกลางวันกันอยู่ แต่เขาฉวยโอกาสตอนหม่ามี๊หลับกอดหม่ามี๊ แถมยังกัดหม่ามี๊จนเป็นรอยแดงตั้งหลายรอย”
“…”
เฉียวชูเฉี่ยนที่นั่งอยู่ข้างๆ หน้าแดงขึ้นมาทันทีและแทบอยากจะเอาหัวโขกโต๊ะให้รู้แล้วรู้รอด เจ้าลูกชายตัวแสบของเธอ… ต่อไปนี้เธอคงไม่มีหน้าไปเจอใครอีกแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นคนที่ให้กำเนิดเองหรือไม่ แต่โรงพยาบาลคงให้มาผิดคนแล้วแน่ๆ
ท่านผู้หญิงประมวลผลได้ภายในเสี้ยววินาทีแล้วสีหน้าของท่านเปลี่ยนไปสดใสราวกับตำราเรียน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยปรากฏรอยยิ้มอย่างเปิดเผย “เจ้าหนูน้อยเอ๋ย นั่นไม่ได้เรียกว่ารังแก ที่พ่อของหนูนอนกอดหม่ามี๊แปลว่าพวกเขารักกัน แล้วที่พ่อของหนูกัดหม่ามี๊นั่นยิ่งเป็นแปลว่ารักมากๆ!”
ดีเหลือเกินๆ ก่อนหน้านี้ท่านกังวลมากเพราะว่าเด็กสองคนนี้ดื้อดึงเกินไปจนไม่ยอมแก้ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นในอดีต ถึงขนาดว่าตอนที่นอนไม่หลับท่านยังพยายามคิดหาว่ามีแผนการไหนบ้างที่จะช่วยให้ท่านจับคู่ได้สำเร็จ
แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากกลับมาครั้งนี้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างที่ท่านคาดหวังไว้
ถ้ารู้ว่าจะเป็นผลดีอย่างนี้ท่านคงขอให้พวกพ่อค้ายาลักพาตัวไปตั้งแต่แรกแล้ว
“…”
ท่านผู้หญิงไม่อธิบายยังจะดีกว่า พออธิบายมาแบบนี้เฉียวชูเฉี่ยนยิ่งรู้สึกขายหน้าเป็นอย่างมาก นี่มันไม่ใช่การป่าวประกาศต่อหน้าทุกคนในครอบครัวหรอกหรือว่าเธอกับเฉินเป่ยชวนเพิ่งฉวยโอกาสช่วงพักกลางวันร่วมรักกัน
“การกัดคือการแสดงความรัก?”
เจ้าตัวน้อยถูกหลอกด้วยความใสซื่อ จำได้ว่าตอนยังอยู่ชั้นอนุบาลคุณครูเคยบอกว่าห้ามกัดคนอื่น
ประเทศจีนนี่ยังไงกัน ทำไมการกัดถึงเป็นการแสดงความรักได้นะ!
เจ้าตัวน้อยทำเหมือนจะเข้าใจแต่ลึกๆ แล้วยังรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่น่าจะใช่อย่างนั้น ดวงตาที่ดูสับสนนั้นกลอกไปมา ทันใดนั้นก็โน้มตัวเข้าไปหาเฉินเป่ยชวนที่อยู่ข้างหน้าแล้วก็กัดเข้าที่แขนของเฉินเป่ยชวนโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
เฉียวชูเฉี่ยนถึงกับผงะ จิ่งเหยียนทำอะไรของเขา?
เฉินเป่ยชวนขมวดคิ้วมุ่น ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอนี่ เป็นลูกหมาหรือยังไง!