เมื่อเฉินเป่ยชวนมองยาสองขวดในมือของเธอ ความสงสัยในแววตาก็แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนอย่างฉับพลัน เมื่อครู่เขาคิดว่าเธอมาที่ร้านยาเพื่อซื้อยาคุมกำเนิดเสียอีก
เขากระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วเอื้อมมือไปคว้าเธอเข้ามากอด “ยายโง่ ที่แผลของผมยังไม่หายไม่ใช่เพราะยาไม่ดี แต่เป็นเพราะคุณต่างหาก”
“…”
เมื่อถูกกอดแน่นอยู่ในอ้อมแขนแก้มของเธอก็แดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสิ่งที่เขาเพิ่งพูดหรือเพราะคำโกหกของเธอ แต่ก็มั่นใจได้ว่าเฉินเป่ยชวนเชื่อตามที่เธอพูด
ผู้คนที่เดินอยู่บนทางเท้าต่างพากันจ้องมองหนุ่มหล่อสาวสวยที่สวมกอดกันอย่างไม่แคร์สายตาใคร ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่านี่คือการถ่ายละครของดาราที่ดูแล้วเพลินตาเป็นอย่างมาก
เฉียวชูเฉี่ยนไม่ค่อยสบายใจเมื่อถูกผู้คนจ้องมองจึงรีบผละออกจากอ้อมกอดของเขา “ทำไมคุณถึงออกมาล่ะคะ”
“คุณย่าบอกว่าเป็นห่วงคุณ ก็เลยให้ผมตามออกมา”
“ไม่มีอะไรแล้วค่ะ ฉันเพิ่งโทรหาสือเซี่ย เธอบอกว่าที่สำนักงานกฎหมายยังมีเรื่องที่จัดการไม่เรียบร้อย เลยบอกให้ฉันไปหาเธอใหม่พรุ่งนี้”
หัวใจของเฉียวชูเฉี่ยนเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่เธอโกหก ถ้าเฉินเป่ยชวนเข้าไปในร้านยาเร็วกว่านี้สักสองสามนาที เธอละแทบไม่ยากนึกถึงผลที่จะตามมาเลย
“ต่อไปใช้เวลากับเธอให้น้อยลงหน่อยนะ”
เฉินเป่ยชวนขมวดคิ้ว การเป็นทนายความสร้างศัตรูได้มากมาย ดังนั้นการเป็นเพื่อนกับคนประเภทนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการพกระเบิดที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดเมื่อไหร่ติดตัวไปด้วย
“สือเซี่ยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน”
เธอรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ต้องโกหกแต่ก็ทนฟังคนอื่นพูดถึงเพื่อนรักของตนเองในแง่ลบไม่ได้ เธอรู้จักสือเซี่ยตั้งแต่ตอนอายุสิบขวบซึ่งนับว่าเป็นเวลาที่นานมาก ไม่มีทางที่เธอจะใช้เวลากับเพื่อนรักให้น้อยลงเพียงเพราะคำพูดของเขา
“กลับบ้านกันก่อนดีกว่า”
เมื่อเห็นเธอปกป้องเพื่อนของตัวเองเฉินเป่ยชวนจึงไม่พูดอะไรอีก เขาเปิดประตูรถให้เธอขึ้นนั่งที่เบาะข้างคนขับอย่างอ่อนโยน
……
หลังจากไม่ได้มาทำงานนานครึ่งเดือน ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเมื่อกลับมาทำงานอีกครั้งงานจะเยอะขนาดไหน ตั้งแต่เข้ามาถึงบริษัทในตอนเช้าจนถึงเที่ยงเธอไม่มีเวลาแม้แต่จะถอนหายใจเลยด้วยซ้ำ
เมื่อท้องร้องดังขึ้นมาเฉียวชูเฉี่ยนจึงเหลือบมองนาฬิกาแล้วก็เห็นว่าตอนนี้ถึงเวลาพักกลางวันแล้ว
“ลินดา อีกสักครู่คุณช่วยหาข้าวกลางวันมาให้ฉันหน่อยได้ไหม ฉันยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องจัดการน่ะค่ะ”
เธอกระซิบถามเบาๆ หลังจากกดต่อสายไปหาลินดา
“…”
“โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอยิ้มแล้ววางสายหลังจากได้รับคำตอบรับจากลินดา จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาจัดการกองเอกสารตรงหน้าต่อ
รากฐานของ MR ไม่ได้เลวร้ายอะไร เพียงแต่ว่าผู้นำคนก่อนมีปัญหาเชิงกลยุทธ์บางอย่างที่ทำให้ลูกค้าไม่เต็มใจที่จะร่วมงานกับพวกเขา ขอเพียงแต่หาจุดเชื่อมเพื่อดึงลูกค้าเหล่านี้มาได้ การฟื้นฟู MR ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนก่อนที่จู่ๆ จะมีเสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้น “เข้ามาได้เลยค่ะลินดา”
ตอนที่ลินดาเดินเข้ามาเฉียวชูเฉี่ยนเตรียมจะเอ่ยขอบคุณเธอแล้ว แต่แล้วกลับเห็นว่าลินดาไม่ได้ถืออาหารกลางวันเข้ามาด้วย
“ท่านประธานเฉินบอกให้คุณไปกินข้าวกับเขาที่ห้องทำงานน่ะ”
พูดจบแล้วลินดาก็ไม่ลืมที่จะเสริมขึ้นมาอีกว่า “แต่ไหนแต่ไรท่านประธานเฉินไม่เคยกินอาหารในโรงอาหารของบริษัท แต่วันนี้พอได้ยินฉันบอกว่าคุณยุ่งมากจนต้องให้ฉันไปหาข้าวมาให้ อยู่ๆ เขาก็ขอให้ฉันเอาอาหารมาเผื่อเขาด้วยเฉยเลย”
“แล้วพอฉันเอาอาหารไปส่งให้ เขาก็บอกให้ฉันเอาอาหารวางไว้ที่โต๊ะในห้องทำงานของเขาทั้งสองชุด แถมยังบอกให้ฉันมาเรียกคุณไปกินข้าวด้วยกันอีก เฉี่ยนเฉียน สู้ๆ นะ!”
“…”
เมื่อเห็นลินดาให้กำลังใจเธอแบบนี้ เธอจึงทำได้แค่หัวเราะหึหึเบาๆ จะกินข้าวก็กินไปสิเฉินเป่ยชวน จะต้องเรียกให้เธอไปกินด้วยเพื่ออะไร
แม้ว่าจะไม่อยากไปแต่เธอก็หิวมากจนไม่มีทางเลือก ในช่วงบ่ายเธอต้องทำงานต่อไม่ไหวแน่ๆ ถ้าไม่ได้กินข้าว จึงทำได้เพียงต้องไปเคาะประตูห้องข้างๆ
“ฉันมาเอาข้าวกลางวันของฉันค่ะ”
เดิมทีทั้งคู่เป็นเพียงอดีตสามีภรรยาเท่านั้น แม้ว่าคนอื่นจะคิดว่าพวกเขาเป็นสามีภรรยากันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ทว่าหลังจากความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นความรู้สึกของเธอก็เปลี่ยนไป
“กินกับผมที่นี่นั่นแหละ” เฉินเป่ยชวนเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนกว่าปกติมาก
“ฉันกลับไปกินที่ห้องทำงานของตัวเองดีกว่าค่ะ”
ถึงอย่างไรในเวลางานเธอก็ยังเป็นเลขานุการ หากทำแบบนี้จะทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ มองว่าไม่เหมาะสม
“ในฐานะเลขา การรับประทานอาหารเป็นเพื่อนเจ้านายก็เป็นหนึ่งในข้อกำหนดของคุณ”
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ประจำตำแหน่งก่อนจะพาขาเรียวยาวก้าวเดินไปยังโซฟา
เฉียวชูเฉี่ยนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งลง โรงอาหารของ MR เองก็ถือว่าดีเพราะอย่างน้อยก็มีกับข้าวครบสามอย่างพร้อมซุปอีกหนึ่ง แถมพอเห็นแล้วยังรู้สึกอยากอาหารขึ้นมา แต่มันคงเทียบไม่ได้เลยกับร้านอาหารหรูๆ ที่เฉินเป่ยชวนกินเป็นประจำ
เธอกินข้าวตามปกติด้วยความหิว ทว่าเฉินเป่ยชวนที่นั่งถือตะเกียบอยู่ข้างๆ กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย “พรุ่งนี้ผมจะสั่งให้คนเปลี่ยนพ่อครัวที่โรงอาหาร”
“ทำไมล่ะ?”
เธอเงยหน้าขึ้นมาจากอาหารตรงหน้า สงสัยจริงๆ ว่าทำไมต้องเปลี่ยนพ่อครัวด้วย
“อาหารมื้อนี้รสชาติแย่มากจนต้องปล่อยให้คุณหิวจัดถึงจะฝืนกินได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแล้วจะให้ทำยังไง?”
เขามองเธอที่ตอนนี้กินข้าวจนยุบไปครึ่งหนึ่งแล้วทั้งที่เพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่นาที ผู้หญิงคนนี้กินลงไปได้ยังไง ไม่เคืองกระเพาะเลยหรือ?
“…”
“ฉันก็แค่หิวน่ะ ไม่ได้รู้สึกว่ารสชาติแย่อะไร”
การหางานไม่ใช่เรื่องง่ายและเธอก็ไม่อยากถูกไล่ออกเพียงเพราะกินข้าวเร็วเกินไป
“แต่ผมเห็นคุณกินแล้วรู้สึกว่ามันดูไม่น่าอร่อย” เฉินเป่ยชวนพูดจบก็ไม่ลืมที่จะเหลือบไปมองข้าวก้อนใหญ่ที่คีบอยู่ที่ตะเกียบของเธอ
เฉียวชูเฉี่ยนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะกินข้าวให้ช้าลงกว่าเดิม ทุกครั้งเธอจะค่อยๆ คีบเมล็ดข้าวขึ้นมาทีละประมาณสิบเมล็ด กับข้าวเองก็คีบทีละน้อยๆ แบ่งกินเป็นคำเล็กๆ
แบบนี้คงโอเคแล้วใช่ไหม
หางคิ้วของเฉินเป่ยชวนฉายแววพึงพอใจ เขารับประทานอาหารกลางวันที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างช้าๆ ทว่าสง่างาม กลิ่นหอมของอาหารยังคงลอยคละคลุ้งอยู่ภายในห้อง และเขาก็อารมณ์ดีขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
อาหารในโรงอาหารของบริษัทก็รสชาติไม่เลวเท่าไหร่
เฉียวชูเฉี่ยนใช้เวลากินอาหารมื้อนี้นานถึงครึ่งชั่วโมง เธอรู้สึกเสียใจแทบตาย ถ้ารู้เร็วกว่านี้เธอคงลงไปกินข้าวข้างล่างพร้อมกับเพื่อนร่วมงานแล้ว อย่างน้อยก็จะได้สานสัมพันธ์กับพวกเขาบ้าง
“ทุกวันหลังจากนี้ให้มากินข้าวที่ห้องทำงานของผมนะ”
เฉินเป่ยชวนเอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วออกคำสั่งอย่างกับพระราชา
“ฉันว่าแบบนี้ไม่โอเคนะ ตอนนี้อยู่ในเวลางาน เราเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนในเวลางานแบบนี้ได้ด้วยหรือคะ?” เธอจำได้ว่าในระเบียบของพนักงานที่สำนักงานใหญ่เฟิงฉิงมีข้อกำหนดระบุไว้ชัดเจนว่าพนักงานจะพลอดรักกันระหว่างที่อยู่ในที่ทำงานไม่ได้
“ถ้างั้นหลังเลิกงานล่ะ”
เฉินเป่ยชวนเลิกคิ้วอย่างเกียจคร้านหน่อยๆ ที่หางตายังคงมีความเย็นชาแฝงอยู่เล็กน้อย เธอสูดลมหายใจเข้าเบาๆ แน่นอนว่าหลังเลิกงานยังไงก็ต้องอยู่ที่บ้านตระกูลเฉินอยู่แล้ว
“คุณกลับไปเถอะ”
ในขณะที่เธอยังไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี อยู่ๆ ก็ดูเหมือนว่าเขาจะลืมคำถามที่ตัวเองเพิ่งจะถามไปเสียแล้ว ถึงขนาดยกโทษให้และยอมปล่อยให้เธอออกไปได้ง่ายๆ
เฉียวชูเฉี่ยนรีบกลับไปที่ห้องทำงานเล็กๆ ของตัวเองแล้วปิดประตูลง เธอหายใจหอบแรงๆ ดูเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้จะเปลี่ยนไปแล้ว…
เรื่องที่เธอกังวลตลอดสองสามวันมานี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เฉินเป่ยชวนดูเหมือนจะยอมรับฟังสิ่งที่เธอพูด เวลางานก็คือเวลางาน ทำงานก็คือทำงาน
แต่พอเลิกงานก็ไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์แบบเจ้านายกับลูกน้องแล้ว
“กลับกันเถอะ ผมเพิ่งโทรไปบอกคุณย่าว่าวันนี้เราจะไปรับลูกเอง”
ประตูห้องทำงานที่ถูกผลักออกโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนสะดุ้งไปนิดหนึ่ง แต่เมื่อฟังสิ่งที่เขาพูดจนจบ ทันใดนั้นภายในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก