เฉินเป่ยชวนดูเหมือนจะไม่ได้ยินสิ่งที่ตัวแทนของอีกฝ่ายพูด ในหัวของเขามีแต่ภาพที่เฉียวชูเฉี่ยนพาลูกออกไปเที่ยวเมื่อเช้านี้ รวมถึงความผิดหวังจาง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในสายตาของเจ้าเด็กเหลือขอนั่นด้วย
เมื่อเลขาเห็นว่าเขาไม่ตอบเสียทีจึงส่งเสียงเตือนเบาๆ “ ท่านประธานคะ?”
เฉินเป่ยชวนดึงสติกลับมาอีกครั้ง “พอแค่นี้ก่อนสำหรับการเจรจาในวันนี้ หากยอมรับราคานี้ได้เฟิงฉิงก็จะตกลงซื้อกิจการ แต่ถ้ายอมรับไม่ได้ ก็สิ้นสุดการเจรจากันแค่นี้ ไม่ใช่แค่ธุรกิจของลี่จิ่งที่มีลูกค้าและโครงการต่างๆ รอให้เฟิงฉิงเข้าไปรับช่วงต่อ”
พูดจบเขาก็หยิบเสื้อโค้ทที่พาดอยู่บนเก้าอี้แล้วลุกออกไปจากห้องประชุม
“ท่านประธานคะ?”
เลขาตะโกนเรียกสุดเสียงจากทางด้านหลังแต่ก็รั้งเฉินเป่ยชวนที่กำลังเดินจากไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง
รถมายบัคกำลังมุ่งหน้าไปยังสวนสนุกด้วยความเร็วสูง เขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าชั่วชีวิตนี้เขาคงหนีผู้หญิงคนนี้ไม่พ้นแล้วจริงๆ ถ้ารักใครก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นได้ทุกอย่าง… เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะทำเรื่องแบบนี้ได้
ในสวนสนุก เฉียวชูเฉี่ยนจูงมือเจ้าตัวน้อยไปตลอดทางเพราะกลัวว่าจะถูกฝูงชนจำนวนมากทำให้พลัดหลงกัน
“หม่ามี๊ ผมอยากเล่นรถไฟเหาะเครื่องนี้”
เจ้าตัวน้อยชี้ไปยังกลุ่มคนที่กรีดร้องขณะเครื่องเล่นพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“…จิ่งเหยียน อยากเล่นจริงๆ เหรอ?”
แค่เงยหน้ามองแว๊บเดียวเธอก็รู้สึกว่าแข้งขาเริ่มอ่อนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเล่นวิหคสายฟ้ามา นอกจากจะไม่ได้ทำให้เธอกล้าหาญขึ้นแล้วยังจะทำให้เธอกลัวเครื่องเล่นผาดโผนมากขึ้นไปอีก
“ผมอยากเล่นฮะ”
ประกายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเขาทำให้เธอพ่ายแพ้ เธอยอมกัดฟันจูงมือเจ้าตัวน้อยไปต่อแถวด้วยแข้งขาที่อ่อนแรง
แถวที่ยาวเหยียดทำให้เธอโล่งใจนิดหน่อย แต่เสียงกรีดร้องราวกับหมูถูกเฉือดที่ยังคงดังเข้ามาในหูกลับทำให้เธอกังวลขึ้นมาอีกครั้ง
เขาเป็นลูกชายของเธอแท้ๆ ทำไมถึงไม่ชอบเครื่องเล่นจำพวกม้าหมุนเหมือนเธอบ้างนะ?
นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเดินลงมาพร้อมแข้งขาที่อ่อนแรงหรือไม่ก็ปิดปากของตนไว้ แล้วกลุ่มคนที่บ้าบิ่นอีกกลุ่มก็ขึ้นไป หัวใจของเฉียวชูเฉี่ยนเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาเมื่อต่อไปจะถึงคิวของเธอกับลูกชายแล้ว
“จิ่งเหยียน หรือว่าลูกจะเล่นคนเดียว แล้วเดี๋ยวหม่ามี๊อยู่ข้างล่างถ่ายรูปให้ดีไหม?”
เธอเอ่ยเหตุผลที่แม้แต่ตัวเองก็ยังอยากจะกรอกตาใส่ กลัวจริงๆ ว่าตอนขึ้นเธอเดินขึ้นไปเองแต่ตอนลงจะต้องให้คนหามลงมา
“ถ่ายไปภาพก็เบลออยู่ดีฮะ”
เจ้าตัวน้อยเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดหัวเราะออกมา ถ้าจะอ้างก็ช่วยอ้างเหตุผลที่น่าเชื่อหน่อยได้ไหม
“…”
“งั้นหม่ามี๊ไปซื้อน้ำมาให้หนูดื่มก่อนดีไหม”
“หม่ามี๊ ถ้าดื่มน้ำมากเกินไป พอกลัวมากๆ เดี๋ยวก็ฉี่รดกางเกงหรือไม่ก็อ้วกออกมาสิฮะ”
“…”
เฉียวชูเฉี่ยนอายเกินกว่าจะหาเหตุผลมาอ้างอีก จึงทำได้เพียงต่อแถวกับเจ้าตัวน้อยต่อไปเงียบๆ
คนกลุ่มก่อนหน้าลงมาแล้ว เจ้าตัวน้อยดึงแขนเธออย่างตื่นเต้น “ถึงตาพวกเราแล้วฮะ”
ขาทั้งสองข้างราวกับจะเป็นตะคริวจนขยับไม่ได้ ในหัวคิดแต่ว่าจะหนีออกไปจากตรงนี้ได้อย่างไร เธอไม่อยากเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวพวกนี้เลยจริงๆ
“เดินไปสิ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหู แขนข้างหนึ่งถูกมือใหญ่ที่แข็งแรงคว้าไปจับไว้แน่น แล้วเธอก็หันไปเห็นเฉินเป่ยชวนที่อยู่ๆ ก็โผล่ออกมาอย่างรู้สึกราวกับเห็นผี ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่?
“คุณไม่ได้ไปเจรจาซื้อกิจการของลี่จิ่งเหรอ?”
“เจรจาเสร็จแล้ว”
เฉินเป่ยชวนพูดส่งๆ แค่นั้นแล้วจึงพาทั้งสองคนขึ้นรถไฟเหาะ
ที่นั่งแบ่งเป็นแถวละสามคนพอดี เจ้าตัวน้อยเลือกนั่งลงตรงกลางอย่างไม่ลังเล เฉียวชูเฉี่ยนจึงนั่งลงข้างๆ หัวใจของเธอเต้นแรงตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ
หลังจากเสียงประกาศเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัยและเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว รถไฟเหาะก็เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นไป
เฉียวชูเฉี่ยนจับมือของลูกชายไว้โดยสัญชาตญาณ จากนั้นตัวเองก็หลับตาปี๋ ถ้าไม่มองลงไปมันก็คงไม่น่ากลัวมากเกินไปนัก
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็รู้สึกถึงความน่ากลัวจากความเร็วที่เพิ่มขึ้น เธอรู้สึกเหมือนว่าหน้าของตนเองแทบจะปลิวไปตามแรงลม และการลดระดับทิ้งดิ่งลงอย่างกะทันหันที่ตามมาก็ทำให้เธอกรีดร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
สองแม่ลูกมีจิตใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เจ้าตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ เองก็กรีดร้องพลางหลับตาปี๋ ทันใดนั้นมือเล็กๆ ที่จับราวอยู่ก็เปลี่ยนไปคว้ามือของเฉินเป่ยชวนมาจับไว้
เฉินเป่ยชวนอดตะลึงไม่ได้ เขาจับมือเล็กๆ นั้นอย่างนุ่มนวลตามสัญชาตญาณ เห็นได้ชัดว่ามือเย็นเพราะความประหม่า แต่นั่นก็กลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าเหลือเชื่อ
เมื่อมองไปยังผู้ใหญ่และเด็กน้อยข้างกายที่กำลังประหม่าและหวาดกลัว เขาจึงเปลี่ยนไปกุมมือน้อยด้วยมืออีกข้าง ก่อนจะยื่นแขนไปโอบไหล่เฉียวชูเฉี่ยนจากทางด้านหลัง
เฉียวชูเฉี่ยนที่กรีดร้องด้วยความกลัวเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้เงียบลงทันทีราวกับว่ามีใครมาสะกัดจุด อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าความเร็วที่ทำให้เธอกลัวเมื่อครู่นี้ความจริงก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น
หลังจากลอยไปลอยมาด้วยความรวดเร็วอยู่ราวยี่สิบนาที ในที่สุดรถไฟเหาะก็ค่อยๆ หยุดลง พนักงานเข้ามาช่วยปลดเข็มขัดนิรภัยออก เมื่อพยายามจะยืนขึ้นเธอกลับพบว่าตัวเองควบคุมขาทั้งสองข้างของตนไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
“หม่ามี๊ รีบลงมาเร็วๆ ฮะ”
เจ้าตัวน้อยหรี่ตาและป้องปากเรียก เป็นผู้ใหญ่แท้ๆ แต่กล้าหาญสู้เข้าไม่ได้เลย
นักท่องเที่ยวที่เข้าแถวข้างหลังต่างก็เร่งเร้าด้วยความใจร้อน เมื่อดูจากสถานการณ์ เฉินเป่ยชวนจึงก้มตัวไปอุ้มเธอออกมาจากที่นั่ง ท่าทางที่เหมือนอุ้มเจ้าหญิงนี้ทำให้สาวๆ ที่ต่อแถวอยู่ต่างพากันร้องกรี๊ดกร๊าด
“ว้าว แมนมาก โรแมนติกจริงๆ”
“หล่อไม่เผื่อแผ่ใครเลย เหมือนฉันเคยเห็นเขาจากที่ไหนนะ?”
“เขาใช่เฉินเป่ยชวนประธานเฟิงฉิงกรุ๊ปหรือเปล่า?”
เสียงซุบซิบด้วยความอิจฉาและประหลาดใจยังคงดังอยู่รอบๆ แต่เฉินเป่ยชวนทำราวกับว่าเขาไม่ได้ยิน เขาอุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนและแสดงท่าทางเพื่อบอกให้เจ้าตัวน้อยก้าวเดินตามเขาไปยังเครื่องเล่นถัดไป
เมื่อถูกกอดไว้ในอ้อมแขนและถูกสายตาของคนรอบข้างจับจ้องแบบนี้ ใบหน้าของเธอจึงแดงขึ้นเล็กน้อยด้วยความเคอะเขิน “ฉันเดินเองได้แล้ว คุณปล่อยฉันลงเถอะ”
“ต่อไปอันไหนเล่นไม่ได้ก็อย่าฝืน” เขาปล่อยเธอลงจากอ้อมแขนแล้วไม่ลืมที่จะกล่าวเตือน เขาไม่อยากเห็นเธอกรีดร้องกลางอากาศจนเสียภาพลักษณ์อีก
“…” เดิมทีเธอก็ไม่ได้อยากเล่นอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นมีแค่เธอกับจิ่งเหยียนสองคน ถ้าเธอไม่เล่นแล้วใครจะเล่นกับลูกของเธอ?
“มันก็… คุณตามหาพวกเรานานมั้ย?”
เธอเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว วันนี้คนมาเที่ยวสวนสนุกเยอะมากราวกับเปิดให้เล่นฟรีจนเธอกลัวมากว่าจะพลัดหลงกันท่ามกลางฝูงชน เฉินเป่ยชวนคงต้องใช้เวลานานมากกว่าจะหาพวกเจอ
“ก็ไม่นานเท่าไหร่”
เมื่อเฉินเป่ยชวนพูดจบเขาก็ก้าวเดินต่อด้วยขายาวๆ คู่นั้น วันนี้ผู้คนคับคั่งจนแทบจะล้นสวนสนุก แต่บังเอิญมากที่พอเขาเข้ามาก็หันไปเห็นเธอที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนพอดี
อาจจะเพราะห่วงสภาพจิตใจของเธอ หลังจากนั้นเจ้าตัวน้อยจึงเลือกแต่เครื่องเล่นเบาๆ และเล่นกันจนถึงเที่ยง หลังจากนั้นผู้ใหญ่ทั้งสองและเด็กอีกคนจึงพากันออกมาจากสวนสนุก
“ผมหิวจังเลยหม่ามี๊ พาผมไปกินอาหารชุดใหญ่หน่อยได้ไหมฮะ?” ทันทีที่เดินออกมาจากสวนสนุกเจ้าตัวน้อยก็เริ่มอ้อน
“ได้จ้ะ หนูอยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวหม่ามี๊พาไป”
“ไปกินพิซซ่ากัน” ตั้งแต่กลับมาประเทศจีนเขายังไม่ได้กินพิซซ่าเลย
เฉียวชูเฉี่ยนไม่ปฏิเสธคำขอนี้ แล้วรถมายบัคก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูร้านพิซซ่าฮัท เฉียวชูเฉี่ยนจูงเขาออกจากรถและเตรียมจะเข้าไปสั่งอาหาร
“เดี๋ยวก่อนฮะ รอเขาด้วย”
เจ้าตัวน้อยพยายามเดินช้าๆ แล้วในที่สุดเขาก็หยุดเดินเและยืนรอเฉินเป่ยชวนที่กำลังจ่ายค่าจอดรถเสียเลย
หลังจากจ่ายค่าจอดรถเสร็จ เจ้าตัวน้อยเอื้อมมือไปจูงมือเขาแล้วพูดว่า “ไปกินพิซซ่ากัน”