ครึ่งชั่วโมงต่อมา แท็กซี่ได้มาถึงคฤหาสน์ตระกูลเฉินในเขตชานเมืองทางตอนใต้
บรรพบุรุษตระกูลเฉินเคยเป็นขุนนางในสมัยราชวงศ์ชิง มีฐานะทางสังคมไม่ต้อยต่ำ ส่วนคฤหาสน์หลังนี้ได้รับพระราชทานมาจากในราชสำนักและเคยผ่านศึกสงครามมาหลายครั้งจวบจนมาถึงทุกวันนี้ ภายในยังรักษารูปแบบของสมัยราชวงศ์หมิงและชิงเอาไว้อยู่ ปัจจุบันนี้มีมูลค่าเกือบหนึ่งพันล้านหยวน
เมื่อแท็กซี่มาจอดหน้าประตูคฤหาสน์ รถยนต์ยี่ห้อมายบัคที่ขับมาอย่างเร็วก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วและจอดลงในที่สุด
มีชายหนุ่มออกมาจากรถยี่ห้อมายบัค เขาในชุดสูทสีดำเรียบแปล้ เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงในยามที่เงยหน้าขึ้นมาเจอเฉียวชูเฉี่ยน
เฉินเป่ยชวน เขามาได้อย่างไรกัน?
เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกตกใจ และคิดได้ในทันทีว่านี่คือบ้านตระกูลเฉิน ดูจากภายนอกแล้วเขาคงกลับมาทานข้าวเช่นเดียวกัน
ถนนหลายสายในสวนนี้ต่างเชื่อมไปยังเรือนหลัก เฉียวชูเฉี่ยนไม่อยากเผชิญหน้ากับ
เฉินเป่ยชวน จึงเลือกเดินบนทางเดินเล็กๆ เมื่อไปถึงเรือนหลัก คนรับใช้ก็ออกมาต้อนรับ “นายหญิงน้อย สวัสดีตอนเย็นค่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนสีหน้าแข็งทื่อไปชั่วขณะ เธอพยักหน้า แล้วเดินตามคนรับใช้ขึ้นบนเรือน
ท่านผู้หญิงเฉินปีนี้อายุเพียงหกสิบกว่า เธอในชุดกี่เพ้าหัวกระดุมสีฟ้าทำให้ยิ่งดูอ่อนกว่าวัย ท่านผู้หญิงกำลังคุยกับเฉินเป่ยชวนโดยมีรอยยิ้มประทับบนใบหน้าอยู่ที่ห้องรับแขก หลังจากคนรับใช้มารายงาน เธอก็รีบลุกขึ้นยืนในทันที
เฉียวชูเฉี่ยนเดินมาถึงห้องรับแขกก็ทักทายท่านผู้หญิงอย่างน่ารักน่าเอ็นดู “คุณย่า”
“โธ๋เอ๋ย นังหนูเข้ามาเร็ว” เฉียวชูเฉี่ยนมีท่วงท่าที่อ่อนหวานแช่มช้อยจับใจคนจึงทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านผู้หญิงยิ่งเพิ่มมากขึ้น ท่านผู้หญิงขยับตัวเพื่อให้เธอมานั่งอยู่ข้างๆ “นังหนูมานั่งนี่มา ให้ย่ามองเราเต็มๆ ตาหน่อยซิ!”
เฉินเป่ยชวนที่เต็มไปด้วยไอเย็นรอบตัว ลดสายตาลง จากนั้นก็จิบน้ำชาอยู่ข้างๆ ท่านผู้หญิง เขาทำตัวราวกับไม่มีเฉียวชูเฉี่ยนอยู่ตรงนั้น
เฉียวชูเฉี่ยนกัดริมฝีปาก แต่ก็ยังคงนั่งลงไป
พอเธอนั่งลงไปแบบนี้ก็เหมือนกำลังนั่งชิดติดเฉินเป่ยชวนเลย ลมหายใจที่พ่นผ่านปลายจมูกแหลมของเขาทั้งแปลกตาและคุ้นเคยทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะ อึดอัดไม่สบายตัว เธอจึงขยับสะโพกเล็กน้อยเพื่อออกห่างจากชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง
เมื่อท่านผู้หญิงได้เห็นหน้าเฉียวชูเฉี่ยนก็ดีใจจากใจจริง จับมือเธอถามนั่นถามนี่
เวลาต่อมา เมื่อคุยไปถึงเรื่องคู่สามีภรรยาตระกูลเฉียวที่เสียชีวิตไปในอุบัติเหตุทางรถยนต์ เฉียวชูเฉี่ยนก็หดหู่ใจไปไม่น้อย
ท่านผู้หญิงมองตาเธอ แล้วดึงเธอเข้ามากอดอย่างเจ็บปวดใจ “เด็กโง่เอ๋ย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกย่าซักคำล่ะ?”
“คุณย่า เรื่องมันผ่านไปแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรแล้วค่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนใช้เวลาครู่หนึ่งถึงจะสงบใจลงได้ จากนั้นเธอก็หันไปยิ้มให้ท่านผู้หญิง “ขอเพียงคุณย่าแข็งแรง เฉี่ยนเฉี่ยนก็ดีใจมากแล้วล่ะค่ะ”
ท่านผู้หญิงดีดนิ้วไปที่หน้าผากของเธอ “เธอนี่นะ เอาแต่เป็นห่วงผู้อื่น”
ในเวลานี้ท่านผู้หญิงมองผ่านเธอไปยังเฉินเป่ยชวน เห็นชายหนุ่มไม่แสดงความคิดเห็นอันใด ก็อดโมโหขึ้นมาไม่น้อย
ต้องโทษหลานไม่ได้เรื่องของเธอคนนี้ สะใภ้ดีๆ แบบนี้ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้!
การรับประทานอาหารภายในบ้านตระกูลเฉินจะยึดตามลำดับอาวุโสในครอบครัว
เฉียวชูเฉี่ยนได้หย่าขาดจากเฉินเป่ยชวนแล้ว แม้จะมาในฐานะแขก ก็ควรนั่งในลำดับอายุน้อยสุด แต่ท่านผู้หญิงกลับให้เธอมานั่งข้างเฉินเป่ยชวน
“เป่ยชวน ถ้วยแบ่งซุปอยู่ใกล้เธอ เราตักซุปใส่ถ้วยมาให้นังหนูดื่มบำรุงร่างกายหน่อยซิ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณย่า หนูทำเองได้ค่ะ” เฉียวชูเฉี่ยนรีบปฏิเสธ
แต่ท่านผู้หญิงกลับต่อว่าเธอทางสายตา “ทำเองได้อย่างไรกัน ให้เป่ยชวนตัก นังหนูเธอไม่ต้องขยับมือเลยนะ!”
พูดเสร็จ ท่านผู้หญิงก็ส่งสายตาไปที่เฉินเป่ยชวนอีกครั้ง
เฉินเป่ยชวนเม้มริมฝีปาก ลุกขึ้นมาตักซุปลงในถ้วยส่งให้เฉียวชูเฉี่ยนถ้วยหนึ่ง เธอยื่นมือออกไปรับ ขณะที่แตะถูกปลายนิ้วมือที่เย็นเฉียบของเขา ใจเธอก็สั่นไหว จึงรีบลดสายตาลง
ท่านผู้หญิงหัวเราะด้วยความดีใจ ท่านขยับตะเกียบก่อน คนที่เหลือถึงกล้าขยับตะเกียบ
เมื่อผ่านมาถึงครึ่งช่วงของมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยความกลมกลืนและปรองดอง ท่านผู้หญิงจึงถามเรื่องที่พักกับเฉียวชูเฉี่ยน และได้ทราบว่าเธอยังพักอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูลเฉียวในอดีต จึงขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดใจ
“นังหนูเอ๊ย คฤหาสน์ตระกูลเราไม่มีเจ้าบ้านมาเจ็ดปีแล้ว กลิ่นอับคงน่าดู เอาไว้พรุ่งนี้ย่าจะให้คนเข้าไปบูรณะเสียหน่อย ช่วงนี้เธอก็มาพักอยู่ที่นี่ ที่นี่มีคนดูแลเธอย่าเองก็สบายใจ”
“คุณแม่สับสนอะไรหรือเปล่าคะ?” สุภาพสตรีสูงวัยที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือของโต๊ะอาหารสุดจะทนแล้ว จึงกล่าวออกไปว่า “เป่ยชวนหย่ากับเฉียวชูเฉี่ยนแล้ว เขาไม่ใช่ลูกสะใภ้ของ
ตระกูลเฉิน ให้มาพักที่บ้านตระกูลเฉินออกจะไม่ตรงตามข้อกำหนดไปนะคะ”
ท่านผู้หญิงไม่ค่อยชอบภรรยาคนที่สองของลูกชายคนโตมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอได้ยินเธอพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ จึงชายตาไปมองเธอ “นังหนูเฉี่ยนจะอยู่บ้านตระกูลเฉินของฉันได้หรือไม่ ต้องให้เธออนุญาตก่อนหรือ?”
สุภาพสตรีสูงวัยใบหน้าแข็งขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็พูดอย่างระมัดระวัง “คุณแม่ ฉัน ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นนะคะ”
“ทำไม ตอนนี้ฉันไม่มีสิทธิพูดอะไรในบ้านหลังนี้แล้วหรือ?”
ท่านผู้หญิงพูดออกมาแบบนี้ ทุกคนที่นั่งอยู่จึงไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมา