ทุกคนที่เฟิงฉิงรู้ว่าคุณชายรองแห่งตระกูลเฉินกลับมาจากต่างประเทศแล้ว เหลือแค่รอให้ท่านประธานแจ้งให้บุคลากรทราบเพื่อเตรียมการต่อไป ซึ่งข่าวนี้ทำให้พนักงานสาวๆ มีความสุขมากเพราะได้ยินมาว่าน้องชายของเจ้านายคนนี้ยังโสด ในขณะที่เจ้านายมีคนรักอยู่แล้ว
บางทีถ้าน้องชายของเจ้านายถูกใจพวกเธอ ต่อจากนี้ที่เคยเป็นอีกาก็อาจจะกลายไปเป็นหงส์ได้ในชั่วข้ามคืน
“จิ้นถง เดี๋ยวต่อไปนายจะต้องมาทำงานที่เฟิงฉิงแล้ว นายพอใจกับตำแหน่งผู้จัดการโครงการนี่หรือเปล่า”
เฉินเป่ยชวนหันไปถามเฉินจิ้นถงที่เดินอยู่ข้างๆ
“พี่ ฝ่ายบริหารโครงการเป็นฝ่ายที่สำคัญที่สุดของบริษัทเลยนะ พี่ยกตำแหน่งให้ผมดูแลแบบนี้มันจะเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า ผมไม่มีประสบการณ์ด้านนี้เลยนะ”
เฉินจิ้นถงดันแว่นที่สันจมูกพร้อมกับยิ้มชวนมอง
“ไม่เป็นไร แค่ต้องหมั่นฝึกฝนหน่อย” เฉินเป่ยชวนยิ้มที่มุมปากแล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ “ข้างหน้านี่คือฝ่ายบริหารโครงการ ฉันจะพานายไปดูเอง”
“โอเค”
เฉินจิ้นถงพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะก้าวตามไป ทุกคนในฝ่ายบริหารโครงการได้รับการแจ้งล่วงหน้าแล้วและกำลังรอพวกเขาอยู่ที่ประตูทางเข้า
“ท่านประธาน”
“นี่คือเฉินจิ้นถง หลังจากนี้เขาจะเข้ามารับผิดชอบงานของฝ่ายบริหารโครงการ จิ้นถง นายเพิ่งกลับมาบริษัท อาจมีบางอย่างที่ยังไม่เข้าใจ ดังนั้นจังเคอกับหลิวอวี้จะเป็นคนคอยช่วยเหลือนาย ถ้ามีตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็ถามพวกเขาได้”
“สวัสดีครับผู้จัดการเฉิน ผมชื่อจางเคอ”
“ผมหลิวอวี้”
พนักงานทั้งสองคนที่เฉินเป่ยชวนแนะนำให้รู้จักลุกขึ้นยืนและทักทายด้วยความนอบน้อม
“สวัสดีครับ ผมเฉินจิ้นถง จากนี้ไปผมคงต้องรบกวนพวกคุณและทุกๆ คนอีกมาก ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
เฉินเป่ยชวนขอให้เลขาพาเขาไปที่ห้องทำงาน ส่วนตัวเองก็กลับออกมาจากที่นั่น ตอนแรกผู้เป็นเลขาก็กังวลเหมือนกันว่าจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นหากท่านประธานมอบหน้าที่สำคัญอย่างฝ่ายบริหารโครงการให้เฉินจิ้นถงรับผิดชอบ แต่ตอนเธอเห็นแล้วท่านประธานเตรียมความพร้อมไว้แล้ว จังเคอกับหลิวอวี้เป็นคนที่มีความสามารถในการทำงานที่ยอดเยี่ยม และที่สำคัญพวกเขาขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้เพราะการสนับสนุนของท่านประธาน ดังนั้นทั้งคู่จึงจงรักภักดีต่อท่านประธานมาก
“ตารางงานตอนเที่ยงของผมคืออะไร?”
เสียงที่ทั้งดึงดูดและเยือกเย็นของเฉินเป่ยชวนดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ผู้เป็นเลขาดึงสมาธิกลับมาตรงหน้า “ผู้รับผิดชอบของบริษัทลี่จิ่งต้องการนัดทานอาหารกลางวันเพื่อพูดคุยเรื่องการซื้อกิจการกับท่านประธานอีกครั้งค่ะ”
“เลื่อนไปก่อน ไปที่ร้าน LE.TOP แล้วสั่งอาหารมาสองสามอย่าง ผมจะเอาไปกินที่ MR เลือกอันที่รสชาติติดหวานหน่อยนะ”
“…”
ผู้เป็นเลขาชะงักไปนิดหนึ่งอย่างรู้สึกเหมือนเพิ่งได้ยินอะไรที่น่าเหลือเชื่อ การที่บอกปัดลี่จิ่งง่ายๆ แสดงว่าท่านประธานคงมั่นใจแล้วว่าจะต้องชนะ แต่คิดไม่ถึงว่าท่านประธานจะบอกให้ไปสั่งอาหารมาให้แถมยังให้สั่งแบบที่ติดรสหวานอีก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบอาหารรสหวานมากที่สุดยกเว้นแค่หมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดงหรอกหรือ?
“มีปัญหาหรือ?”
“ไม่มีค่ะ ฉันจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้ค่ะ”
ผู้เป็นเลขาส่ายหน้าทันที ในสายตาของท่านประธาน MR ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากขนาดนั้น แต่สาเหตุที่เขากระโดดลงไปบัญชาการด้วยตัวเองทุกวันแบบนี้คงเป็นเพราะว่าภรรยาของเขาอยู่ที่นั่น
กว่าจะรู้ตัวเวลาก็ล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยงแล้ว เฉียวชูเฉี่ยนเก็บเอกสารก่อนจะออกไปจากห้องทำงาน
“ลินดา ไปกินข้าวกันเถอะ”
ไม่กี่วันก่อนไม่รู้ว่าเฉินเป่ยชวนเป็นอะไรของเขาถึงสั่งให้ลินดาไปนำอาหารจากโรงอาหารมาเสิร์ฟให้เธอกับเขาทุกวัน ซึ่งมันไม่แปลกที่เขาจะทำแบบนั้นเพราะเขาเป็นเจ้านาย แต่ทว่าเธอกับลินดาเป็นพนักงานระดับเดียวกัน มันเลยไม่ค่อยเหมาะที่ให้ลินดามาเสิร์ฟอาหารให้เธอแบบนี้
“โอเค ฉันเพิ่งทำงานเสร็จพอดี”
ลินดาตอบรับด้วยรอยยิ้มโดยไม่ปฏิเสธใดๆ แต่ว่าก่อนที่คอมพิวเตอร์จะปิด ประตูลิฟต์ที่อยู่ด้านข้างก็เปิดออก
เฉินเป่ยชวนหิ้วถุงอาหารมาด้วยสองถุง ขาที่สูงยาวในชุดสูทที่ดูดีนั้นไม่ต้องพูดอะไรก็มองออกว่านั่นคือลักษณะของคนที่เป็นเจ้านาย ดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่คนส่งอาหารเลยสักนิด
“ถือไว้แล้วมานี่”
เขายัดถุงที่เบากว่าใส่มือของเฉียวชูเฉี่ยนก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องทำงาน
“…”
นี่มันหมายความว่ายังไง?
เนื่องจากลินดาเป็นถึงเลขาของเฉินเป่ยชวน เธอจึงมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เธอยิ้มพลางผลักเฉียวชูเฉี่ยนที่ยังเอาแต่ยืนนิ่ง “ดูเหมือนว่าเราจะต้องไปกินข้าวด้วยกันวันอื่นแล้วละ”
ชัดเจนมากว่าท่านประธานซื้ออาหารมาจากข้างนอกเพื่อมากินข้าวกลางวันด้วยกันเพียงสองคน!
“งั้นไว้ฉันจะชวนคุณใหม่วันหลังนะ”
เธอพูดอย่างอายๆ ก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปในห้องทำงานอย่างไม่มีทางเลือก
“วันนี้คุณไปที่เฟิงฉิงกับเฉินจิ้นถงไม่ใช่เหรอ?”
เฟิงฉิงเป็นสำนักงานใหญ่แถมยังเป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่กว่า MR ไม่รู้ตั้งกี่เท่าตัว เป็นไปไม่ได้เลยที่ที่นั่นจะไม่มีงานให้ทำ
“MR ก็ถือเป็นทรัพย์สินของเฟิงฉิง ผมมาจะ MR แล้วมีปัญหาด้วยเหรอ?”
เฉินเป่ยชวนเลิกคิ้วถาม แม้จะรู้ตัวดีว่าทำไมตนเองถึงมาทำอะไรแบบนี้แต่เขาก็พูดออกมาตรงๆ ไม่ได้
“มีอาหารจานโปรดของคุณด้วยนะ”
เฉียวชูเฉี่ยนมองตะเกียบที่เขายื่นมาให้และอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา แน่นอนว่าเธอเห็นแล้วว่ามีหมูผัดเปรี้ยวหวานที่เธอชอบมาก “คุณมานี่… แค่เพื่อมากินข้าวกับฉัน?”
หลังจากขบริมฝีปากอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่งเธอจึงก้มศีรษะลงแล้วถามออกไป
เมื่อเจ็ดปีที่แล้วดูเหมือนเธอจะเป็นฝ่ายรุกเขาก่อนทุกครั้ง เข้าหาเฉินเป่ยชวน แต่งงานกับเฉินเป่ยชวน ตั้งครรภ์และมีลูก… ทุกอย่างนี้เธอล้วนเป็นฝ่ายรุกมากกว่าทั้งนั้น
เฉินเป่ยชวนคีบหมูชิ้นที่ดูมันวาวน่ากินใส่ชามข้าวของเธอโดยไม่ตอบคำถามนั้น “กินข้าวอยู่แบบนี้ยังจะพูดมากอยู่ได้”
เห็นได้ชัดว่าท่าทางการพูดของเขาไม่ได้อ่อนโยนเป็นพิเศษเลย แต่เธอกลับมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เธอคีบชิ้นเนื้อเข้าปาก มันหวานกำลังพอดีเลยทีเดียว
กลิ่นอาหารที่ลอยอบอวลอยู่ภายในห้องทำงานทำให้บรรยากาศภายในห้องซึ่งเดิมทีควรจะดูจริงจังกลับดูอบอุ่นขึ้นทันตา หลังจากอาหารมื้อนี้จบลงเธอก็พบว่าตัวเองกินข้าวได้เยอะกว่าเดิมเล็กน้อย บางทีเธอคิดว่าคงเป็นเพราะอาหารวันนี้รสชาติดีกว่าวันก่อนๆ
“ให้ฉันไปทำงานได้แล้วค่ะ”
หลังจากจัดการเก็บขยะเรียบร้อยแล้วเธอก็เม้มริมฝีปากเบาๆ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนเฉินเป่ยชวนก็คว้าแขนของเธอไว้แล้วประทับจูบลงมาอย่างแผ่วเบา
น้ำตาลที่อยู่ในกระเพาะเริ่มปั่นป่วน แววตาของเธอปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นี่เขากำลังแสดงความรักอยู่ใช่ไหม?
เธอหน้าแดงกลับไปที่ห้องทำงานและไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน ยิ่งเมื่อบานเกล็ดที่ห้องข้างๆ ยังเปิดอยู่ก็ทำให้เธอยิ่งรวบรวมสมาธิได้ยากขึ้นไปอีก
ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองกับเฉินเป่ยชวนจะยังมีโอกาสเป็นอย่างอื่นได้อีกนอกเหนือไปจากคนแปลกหน้า ถ้าหากต้องเป็นเช่นนั้นเธออาจกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจ ไม่คิดเลยว่า…
เธอใช้นิ้วลูบไล้ริมฝีปากที่ดูเหมือนจะยังมีกลิ่นอายของเขาหลงเหลืออยู่ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในเมื่อพระเจ้าให้โอกาสพวกเขาอีกครั้ง เธอก็ควรจะทะนุถนอมมันไว้ให้ดี
เมื่อกลับไปถึงบ้านตระกูลเฉินหลังจากเลิกงาน เฉียวชูเฉี่ยนที่เห็นว่าเจ้าตัวน้อยกำลังนั่งเล่นของเล่นชิ้นใหม่เอี่ยมอยู่บนโซฟาก็ขมวดคิ้ว “คุณย่า ทำไมถึงซื้อของเล่นให้เขาอีกแล้วล่ะคะ เดี๋ยวเขาเคยตัว”
ท่านผู้หญิงทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ “เปล่านะ คราวนี้ย่าไม่ได้ซื้อจริงๆ ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามเหลนรักของย่าดูสิ”
“หม่ามี๊ คราวนี้คุณย่าทวดไม่ได้ซื้อจริงๆ ฮะ คุณอาเป็นคนซื้อให้ผม”
เจ้าตัวน้อยชี้นิ้วไปที่เฉินจิ้นถงซึ่งกำลังช่วยจัดโต๊ะอาหารอยู่ในห้องรับประทานอาหาร คนพวกนี้ซื้อของเล่นมาให้เขาเอง เขาไม่อยากทำตัวไม่ดีเพราะว่าเขายังเด็ก ก็เลยต้องถ่อมตัวและไม่ทำตัวหยิ่งเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ควรทำให้คนอื่นคิดว่าเขาเป็นพวกที่ชอบเมินเฉยต่อความหวังดีของพวกเขา นี่มันคือการควบคุมตัวเองขั้นพื้นฐาน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังกล่าวคำขอบคุณอย่างจริงใจไปตั้งหลายครั้ง
เฉียวชูเฉี่ยนไม่คิดว่ามันคือของขวัญที่เฉินจิ้นถงซื้อให้ เธอรีบยิ้มและกล่าวขอบคุณเขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณนะคะที่ซื้อของขวัญให้จิ่งเหยียน แต่ครั้งหน้าไม่ต้องทำอะไรสิ้นเปลืองแล้วนะคะ คุณไม่รู้หรอกว่าเขารบเร้าให้ฉันซื้อของเล่นให้ทุกอาทิตย์ ยิ่งคุณย่านี่ซื้อให้ทุกวันจนห้องแทบจะไม่มีที่เก็บอยู่แล้ว”