“รับเช็กไปแล้ว ต่อไปก็อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
เมื่อได้ฟังคำพูดที่เหี้ยมโหดไร้เยื่อใยเช่นนี้ หลินเฟยเอ๋อร์ก็รู้สึกราวกับว่าเธอกำลังจะตาย แต่มันไม่ใช่เวลาที่จะเสียอารมณ์ในตอนนี้ มิฉะนั้นเฉินเป่ยชวนจะเกลียดเธอไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหนมันก็จะสูญเปล่า
ที่ชั้นล่าง เฉียวชูเฉี่ยนเดินไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย โดยไม่รู้ว่าเธอควรจะไปที่ไหนหรือทำอะไร ราวกับว่าไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนฉากของทั้งสองที่กอดกันจะปรากฏอยู่ต่อหน้าตลอดเวลา
รถแลมโบกินีคันหนึ่งวิ่งผ่านหน้า และน้ำที่พื้นก็สาดกระเซ็นใส่ร่างของเธอ เธอขมวดคิ้วแน่น วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ย ทำไมถึงซวยอย่างนี้
รถที่ขับผ่านไปจู่ๆ ก็ถอยกลับมา เธอคิดในใจว่าคนคนนี้ก็ถือว่ามีมารยาท ยังรู้ตัวว่าขับเร็วเกินไป และกลับมาขอโทษ แต่เมื่อคนขับรถก้าวลงมา เธอก็อึ้งตะลึงไปชั่วขณะ
หลินเฟยเอ๋อร์ !
“เฉียวชูเฉี่ยน บังเอิญจริงๆ นะ นี่คุณกำลังเดินเล่นอย่างเหม่อลอยไร้สติอยู่อย่างนั้นเหรอ? หรือว่าอากาศบนตึกเมื่อครู่จะไม่ค่อยดี จึงต้องลงมาเดินเล่น เพื่อสงบสติอารมณ์”
หลินเฟยเอ๋อร์จงใจยิ้มอย่างพอใจราวกับว่าเธอเพิ่งแสดงความรักอันแสนหวานกับเฉินเป่ยชวน แต่ในใจกลับคิดอยากจะเหยียบย่ำผู้หญิงตรงนี้ให้แหลกเป็นจุณ เธอผู้ทำลายความสุขของตนเอง
คำพูดประชดประชันที่แน่นอนว่าไม่มีใครทนฟังได้ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกสิ้นหวัง แต่ใบหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มจางๆ “ใช่ อากาศข้างนบบั้นไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ได้กลิ่นเหม็นเน่าแปลกๆ ดังนั้นฉันก็เลยลงมาเดินเล่น ไม่งั้นคงกินมื้อเที่ยงไม่ลง”
“เฉียวชูเฉี่ยน!”
หลินเฟยเอ๋อร์ไม่คาดคิดว่าเธอจะฝีปากกล้าเช่นนี้ สีหน้าหยิ่งผยองเมื่อครู่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป จากนั้นเธอก็หยิบเช็กในกระเป๋าออกมา ตั้งใจโบกไปมาต่อหน้าอีกฝ่าย
“เห็นแล้วหรือยัง เป่ยชวนให้ฉันมาเมื่อครู่นี้ ให้ฉันไปซื้อของที่ชอบ อย่าลังเลที่จะใช้เงิน จะว่าไปแล้วเป่ยชวนก็ดีจริงๆนะ ฉันอยากได้อะไรก็ซื้อให้ฉันทุกอย่าง แต่คุณน่ะ เฉียวชูเฉี่ยน ไม่รู้ว่าตอนที่คุณหย่าร้างกับเป่ยชวน เขาได้ทิ้งทรัพย์สมบัติอะไรไว้ให้บ้าง ดีไม่ดีตอนนั้นอาจจะโดนไล่ตะเพิดออกจากบ้านไปเสียมากกว่า หรือไม่ก็ออกจากบ้านตัวเปล่า”
เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย เธอกำหมัดแน่น ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธออดทนบังคับตัวเองไม่ให้อ่อนแอต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ เธอรู้สึกแย่มากจริงๆ สิ่งที่หลินเฟยเอ๋อร์พูดนี้ก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง ตอนที่เธอและเฉินเป่ยชวนหย่าร้างกัน เธอออกมาตัวเปล่าจริงๆ ถ้าหากจะถามว่าเธอได้อะไรออกมาบ้าง ก็คงจะเป็นจิ่งเหยียนที่อยู่ในท้องของเธอล่ะมั้ง
” ฉันจะบอกคุณให้นะ คุณไม่มีวันเป็นคู่แข่งของฉัน ต่อให้คุณจะแต่งงานกับเป่ยชวน แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ไม่เป็นไร ขอแค่คนที่เป่ยชวนรักคือฉัน ในใจมีแค่ฉันก็เพียงพอแล้ว เฉียวชูเฉี่ยน คุณคิดจะแย่งเป่ยชวนกับฉันล่ะก็ คนที่ต้องผิดหวังนั้นคือคุณ ”
หลินเฟยเอ๋อร์ใส่เช็กลงในกระเป๋าพลางยิ้มอย่างมีชัย เฉินเป่ยชวนเป็นของเธอเท่านั้น ของเธอคนเดียวแน่นอน
“งั้นก็ยินดีด้วยนะ คุณได้รับความรักจากเขา ขอให้พวกคุณรักกันตลอดไป”
เฉียวชูเฉี่ยนยิ้มอย่างเย็นา จากนั้นเดินกลับไปยัง MR ในเมื่อเฉินเป่ยชวนรักหลินเฟยเอ๋อร์ แล้วทำไมเขาต้องอ่อนโยนกับเธอ และต้องการจะเริ่มต้นใหม่
เฉินเป่ยชวนที่นั่งรอทานอาหารกลางวัน มองนาฬิกาถึงสองครั้ง สุดท้ายจึงเปิดประตูออกไปถามอย่างหมดความอดทน
“ลินดา เฉียวชูเฉี่ยนไปไหน”
“ท่านประธานเฉิน เลขาเฉียวบอกว่ามีธุระ เดี่ยวคงจะกลับมาค่ะ ”
ลินดาอธิบายแต่ในใจกลับบ่น ใครจะไปรู้ว่าคุณกับหลินเฟยเอ๋อร์ทำอะไรกันในห้องเมื่อครู่ ทำไมเฉียวชูเฉี่ยนถึงลงไปชั้นล่างด้วยความเสียใจ
“ถ้าเธอกลับมา ให้เธอมาที่ห้องทำงานของฉันผมด้วย”
น้ำเสียงเย็นชาของเฉินเป่ยชวน ทำให้อุณหภูมิชั้นบนลดลงและแม้แต่เสียงปิดประตูก็ยังหนักกว่าปกติ ผู้หญิงคนนี้รู้ทั้งรู้ว่าเขารอกินข้าวด้วยกัน แต่ยังไม่รีบกลับมาอีก
เฉียวชูเฉี่ยนกินแฮมเบอร์เกอร์ในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชั้นล่างและดื่มโค้กแก้วใหญ่ก่อนจะกลับไปที่ MR ทันทีที่ออกจากลิฟต์เธอได้รับการเตือนจากสายตาของลินดา
“ประธานเฉินต้องการให้คุณไปที่ห้องทำงานของเขา”
“ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่ช่วยฉันปิดบังนะคะ”
เธอยิ้มและพยักหน้าจ้องมองไปที่ประตูห้องทำงานของเฉินเป่ยชวน ห้องนี้อาจจะยังคงมีกลิ่นหอมของหลินเฟยเอ๋อร์ และเธอไม่ต้องการเข้าไปและได้กลิ่นมัน
“รีบไปสิ”
ลินดากระตุ้นเธอเมื่อเห็นว่าเธอยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้เจ้านายโกรธมากขึ้น
“อืม”
แม้ว่าในใจจะไม่เต็มใจขนาดไหน แต่ทำได้เพียงผลักประตูเข้าไป “ท่านประธานเฉิน คุณเรียกหาฉันเหรอคะ?”
การถามโดยปราศจากอารมณ์ใด ๆ ทำให้คิ้วของเฉินเป่ยชวนขมวดแน่น ผู้หญิงคนนี้จงใจถามงั้นเหรอ?
“ทานข้าว”
เขาขยับร่างกายเพื่อส่งสัญญาณให้เธอนั่งตามปกติ แต่เฉียวชูเฉี่ยนกลับยืนนิ่งอยู่ที่ประตู
“ขอโทษค่ะ ฉันทานอิ่มแล้ว ถ้าท่านประธานไม่มีธุระเรื่องอื่นแล้ว ฉันขอไม่รบกวนเวลาทานอาหารของคุณแล้วค่ะ”
บรรยากาศที่น่าขยะแขยงนี้ เขายังกินอาหารลง เธออยู่ได้ไม่นานก็แทบอยากจะอาเจียนออกมาแล้ว
“คุณเป็นอะไร? ”
ทันทีที่เฉินเป่ยชวนลุกขึ้นยืนจากโซฟา แขนของเขาก็คว้าร่างของเธอและเหวี่ยงลงบนโซฟาพลางยึดร่างเธอไว้
“คุณอารมณ์เสียอะไรอยู่”
ช่วงนี้เขาทำดีกับเธอมากไปหรือเปล่า และนั่นอาจจะทำให้เธอรู้สึกหยิ่งผยอง
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก จึงทำให้หน้าแดงขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่มีสติครบครัน เธอห่อไหล่เพื่อหลบเขาแต่เขากลับเข้าใกล้มากยิ่งขึ้น “ฉันเป็นเลขา จะอารมณ์เสียใส่เจ้านายได้ยังไงกันคะ ฉันเป็นแค่ภรรยาเก่าของคุณ หย่าร้างกันแล้วก็เป็นเพียงคนแปลกหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือไม่ก็ตามฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ”
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเธอจะไม่ถูกหลอกโดยวาทศิลป์ของเขา มิฉะนั้นจะเป็นการดูถูกตัวเอง
สิ่งที่เฉินเป่ยชวนไม่สามารถทนได้มากที่สุดคือใช้น้ำเสียงแบบนี้ในการพูดคุยกัน เขายื่นมือไปบีบคางเล็กๆ ของเธอ “พูดให้ชัดเจน คุณกำลังโกรธอะไรกันแน่? ”
“ฉันจะไปโกรธอะไรได้ ความสัมพันธ์ของพวกเราตอนนี้เป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องเพียงท่านั้น อีกอย่างไม่ว่าคุณจะทำอะไร ชอบผู้หญิงคนไหน เอาใจผู้หญิงคนไหน มันไม่เกี่ยวกับฉัน”
หนึ่งร้อยล้าน ไม่ใช่เงินน้อยๆ รู้แบบนี้ตอนที่เธอไปจากเขาก็ควรเอาไปสักหลายร้อยล้าน ตอนไปเริ่มต้นใหม่ที่อเมริกาจะได้ไม่ลำบากมากนัก
“… ”
เฉินเป่ยชวนระงับความโกรธที่เกิดจากน้ำเสียงที่แหลมของเธอทแล้วนึกถึงสิ่งที่เธอเพิ่งพูดอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“หลินเฟยเอ๋อร์พูดอะไรคุณบ้าง?”
เธอรู้ดีว่าเขาไอคิวสูงและฉลาดมาก การพูดโกหกก็มีแต่จะทำให้ตนเองอับอายเพิ่มมากขึ้น จึงยอมรับไปตรงๆ ว่า “เธอเอาเช็กหนึ่งร้อยล้านมาโชว์ให้ฉันดูว่าคุณรักเขามากแค่ไหน”
ซื้อ ซื้อ ซื้อ ฟังแล้วดูรวยชะมัด
“เธอพูดแบบนั้นเหรอ? ”
เฉินเป่ยชวนหรี่ตาเบาๆ หลินเฟยเอ๋อร์คนนี้ หนึ่งร้อยล้านนั่นเป็นค่าบอกเลิกต่างหาก