เช้าวันรุ่งขึ้นเว่ยชูหรงเริ่มสั่งให้คนรับใช้จัดสถานที่จัดงานเลี้ยง
“แม่ ตกแต่งช่อดอกไม้เยอะขนาดนี้ มันดูโอเวอร์ไปหน่อยหรือเปล่าครับ”
เฉินจิ้นถงในชุดสูทสีขาว ดูอบอุ่นและสง่างาม แว่นกรอบสีทองบนใบหน้าทำให้เขายิ่งดูมีการศึกษามากขึ้น ตอนที่เขายิ้มเบาๆ โดยไม่พูดอะไรนั้นช่างราวกับดอกบัวสีขาวที่กำลังเบ่งบาน
“จะโอเวอร์ได้ยังไง ผู้หญิงน่ะต่างก็ชอบดอกไม้กันทั้งนั้นแหละ”
เว่ยชูหรงยืนกรานว่าจะใช้ดอกไม้เหล่านี้ เธอใช้โอกาสนี้แสดงให้ทุกคนเห็นว่าตระกูลเฉินไม่ได้มีหลานแค่เพียงเฉินเป่ยชนคนเดียว แต่ยังมีเฉินจิ้นถงอีกคน เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเขาก็เป็นเลือดของตระกูลเฉิน ทัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของตระกูลเฉินก็ถือว่าเป็นของเขาครึ่งหนึ่งเช่นกัน
เฉียวชูเฉี่ยนก้มศีรษะลงและเหลือบมองไปที่เสื้อผ้าที่ซีดเซียว พลางถึงตอนที่สวมชุดราตรีออกงานกับเฉินเป่ยชวนเมื่อสิบปีที่แล้ว
“อยากดูชุดที่ผมเตรียมไว้ให้ก่อนไหม?”
เฉินเป่ยชวนโอบเอวของเธอ พลางกระซิบด้วยเสียงอันเร่าร้อนข้างหูของเธอเบาๆ
“คุณเตรียมชุดไว้ให้ฉันเหรอคะ? ”
เดิมทีเธอคิดว่าจะไปเลือกชุดออกงานสักชุดหนึ่ง
“แน่นอน ผู้หญิงของผมไม่เคยแพ้ผู้หญิงคนไหน”
เฉินเป่ยชวนยิ้มอย่างมีเลศนัยและพาเธอไปที่ห้องนอนบนชั้นสาม
กล่องสวยหรูถูกวางไว้ข้างเตียง เขาวางมันไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเองยังไม่รู้เลย
“ลองสวมสิ”
เสียงที่ชวนให้เธอเปิดกล่องดังขึ้นอีกครั้งและเฉียวชูเฉี่ยนก็เดินไปด้วยความกังวลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาจะเตรียมชุดแบบไหนไว้ให้เธอ
ในขณะที่ฝาถูกเปิดออก เธอรู้สึกประหลาดใจกับสีแดงที่งดงามแต่บริสุทธิ์ เมื่อ 7 ปีก่อนเธอชอบใส่สีแดง
“ฉันอายุเท่านี้แล้วใส่แล้วจะดูเด็กเกินไปหรือเปล่า? ”
เธอมองไปที่ชุดในกล่องด้วยความกังวลเล็กน้อย ยังไงซะเธอเองก็อายุเกือบจะ 30 ปีแล้ว
“ไม่หรอก ในสายตาของผม คุณเป็นอย่างที่เราเคยเจอเมื่อแรกพบเสมอ”
หลังจากที่เฉินเป่ยชวน พูดเบา ๆ เขาก็ยื่นมือออกมาและหยิบชุดในกล่องออกมา ชุดเดรสสีแดงพลิ้วเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา เหมาะสมกับอายุของเธอในปัจจุบัน
“คุณจำครั้งแรกที่เราพบกันได้ไหม? ”
เธอรู้สึกเสมอว่าเฉินเป่ยชวนในเวลานั้นจำเธอไม่ได้
“ผมจำได้ว่าวันนั้นคุณสวมชุดสีแดงตัวเล็ก ๆ ในฝูงชน”
เป็นเพราะการมองกันและกันในวันนั้นที่เขาถูกดึงดูดด้วยสีที่หลงใหล
เฉียวชูเฉี่ยนก้มหน้าลงอย่างเขิน ๆ “ฉันไม่คาดคิดว่าคุณจะจำได้”
“ผมจำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคุณได้”
เฉินเป่ยชวนหยิบสายรัดของชุดด้วยนิ้วของเขา สายรัดสีแดงบาง ๆ ระหว่างนิ้วสีขาวและเรียวยาวของเขาดูมีเสน่ห์เป็นพิเศษ “คุณต้องการให้ผมใส่ให้คุณไหม? ”
“ไม่ต้องค่ะ”
เธอหยิบเสื้อผ้าพลางเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวด้วยใจที่สั่นระรัว ถ้าหากจะให้เขาเปลี่ยนุดให้ เกรงว่าจะใช้เวลานานมากจนเกินไป
ชุดที่เฉินเป่ยชวนเลือกนั้นประณีตสวยงามและค่อนข้างเซ็กซี่ เมื่อมองตัวเองในกระจกใบหน้าของเธอแดงก่ำ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นอย่างมีความสุข
ประตูห้องแต่งตัวเปิดออกอย่างช้าๆ และเธอก็เดินออกจากห้องนั้น ทันทีที่เฉินเป่ยชวนเห็นเธอ ความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
แน่นอนว่าสีแดงเป็นสีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเธอ
“ใส่ชุดแบบนี้มันจะดูไม่ดีหรือเปล่าคะ?” วันนี้เว่ยชูหรงใช้เวลาเตรียมการมากมายและคิดเรื่องการดูตัวของเฉินจิ้นถง
“เธอเป็นนายหญิงของบ้านนี้ต่างหาก”
เฉินเป่ยชวนยื่นมือออกไปเพื่อโอบเอวของเธอและริมฝีปากบางของเขาไม่สามารถยับยั้งที่จะจูบเธอได้
ในตอนเย็นผู้คนที่ได้รับเชิญทั้งหมดเกือบจะไปที่นั่นแล้วและลานแห่งนี้ก็เต็มรอบไปด้วยแสงมากมาย
เฉียวชูเฉี่ยนถือค็อกเทลและมองไปที่เฉินจิ้นถงที่รายล้อมไปด้วยผู้หญิง เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณเล็กน้อย ถ้าเฉินเป่ยชวนไม่ได้จัดงานแถลงข่าวมาก่อน ตอนนี้อาจมีผู้หญิงอยู่รอบตัวเขามากขึ้น
ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เฉินจิ้นถงมองไปที่เธอเพื่อขอความช่วยเหลือ เธอทำได้เพียงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะขอได้
เสียงดนตรีอันไพเราะดังขึ้นและบางคนก็เริ่มเต้นรำ เฉินจิ้นถงในฐานะตัวเอกในคืนนี้ไม่สามารถนิ่งเฉยได้ไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ก็ตาม
“พวกเราไปเต้นกันเถอะ”
คำพูดของเฉินเป่ยชวนจบลงเพียงเท่านั้น เธอก็ถูกดึงไปที่บนฟลอร์เต้นรำ “ฉันไม่ได้เต้นมานานแล้ว”
ชีวิตในสหรัฐอเมริกาเป็นไปอย่างรีบร้อน เธอต้องรับมือกับงานมากมายและไม่มีเวลาเต้นรำกับหย่าซิง
“ไม่เป็นไร”
การเต้นไม่เคยขึ้นอยู่กับว่าคู่หูเต้นอย่างไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าคู่เต้นคือใคร
“เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันได้ยินมาว่าเฉินเป่ยชวนกับผู้หญิงที่นามสกุลเฉียวหย่าร้างกันมานานแล้ว ทำไมวันนี้ถึงดูสนิทสนมกันดีขนาดนี้ล่ะ? ”
หญิงสาวที่ไม่มีคู่เต้นรำเริ่มตั้งวงนินทากัน เฉินเป่ยชวนประกาศอย่างกะทันหันว่าตนเองแต่งงานมีลูกแล้วทำให้ผู้หญิงหลายคนต้องผิดหวัง กว่าจะได้ยินข่าวว่าเขาโสด แต่ตตอนนี้กลับได้เห็นเขาสวีทหวานกับภรรยา จะให้พวกเธอยอมรับได้อย่างไร
เฉินจิ้นถงที่กำลังเต้นรำอยู่ยิ้มที่มุมปาก มองดูหญิงสาวที่ตนเองเพิ่งเชื้อเชิญมาเต้นรำเมื่อครู่ “หมิงเหยา ไม่เห็นเธอมาตั้งหลายปี สวยขึ้นนะ ฉันยังจำได้เลยว่าตอนเด็กๆ เธอชอบบอกว่าอยากแต่งงานกับพี่ชายของฉัน และเป็นพี่สะใภ้ฉัน”
ในความเป็นจริงผู้หญิงที่ชื่อหมิงเหยานั้นชอบมองไปที่เฉินเป่ยชวนหลายต่อหลายครั้ง เมื่อฟังเขาพูดแบบนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกโกรธ เฉียวชูเฉี่ยนคนนี้…ไม่ได้อยู่ในตระกูลเฉียวมาก 7 ปีแล้ว เธอมีสิทธิ์อะไรมานั่งอยู่ในตำแหน่งคุณนายเฉินแบบนี้
“พี่ชายของฉันเป็นคนดีมาก ถ้าฉันเป็นผู้หญิงฉันก็อดไม่ได้ที่จะตกหลุมรักเขา”
เฉินจิ้นถงจงใจยิ้มและพูดให้ดูเป็นเรื่องตลก แต่ดวงตาของเขาภายใต้เลนส์กลับมองไปที่ปฏิกิริยาของผู้หญิงตรงหน้าเขา
“เป่ยชวน คุณไม่รังเกียจที่จะแลกเป็นคู่เต้นรำใช่ไหม? พวกเราก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ”
เมื่อเต้นรำเข้าไปใกล้เฉินเป่ยชวนไม่นาน เธอจึงเริ่มเอ่ยปากแลกเปลี่ยนคู่เต้นรำด้วยตนเอง
เฉินเป่ยชวนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เพราะในงานมีคนมากมายเขาจึงต้องรักษามารยาท “แน่นอน ฉันไม่รังเกียจ”
“พี่สะใภ้ ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะเป็นอัศวินแทนพี่ชายไม่กี่นาที”
เฉินจิ้นถงจับมือของเฉียวชูเฉี่ยน เธอไม่มีทางเลือกนอกจากเต้นรำต่อไป
“พี่สะใภ้ พี่ชายเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ แบบนั้น พี่หึงไหม?”
“ถ้าฉันหึงจะมาที่นี่เหรอ? ”
เธอตอบอย่างสบาย ๆ ถ้าให้เลือกว่าใครเป็นที่หมายตาของสาวๆ มากที่สุดในซั่นเป่ย เฉินเป่ยชวนจะเป็นที่หนึ่งที่สมควรได้รับอย่างแน่นอน
“แล้วคุณว่าผมเต้นรำกับคุณในตอนนี้ พี่ชายจะหึงหรือเปล่า?”
เฉินจิ้นถงกล่าว รอยยิ้มอ่อนโยนที่มุมริมฝีปากของเขาทำให้ผู้คนไม่รู้สึกกดดัน เฉียวชูเฉี่ยนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ไม่แน่นอน”
“พี่สะใภ้ คุณยังไม่รู้จักผู้ชายดี ระวังวันไหนพี่จะหึงขึ้นมาจริงๆ ”
“งั้นเหรอ? ”
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้หัวใจของฉันก็กระวนกระวายและไม่สบายใจขึ้นมาทันทีราวกับว่ามีอะไรบางอย่างที่เลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น