เฉินเป่ยชวนวางมือลงบนโต๊ะประชุมไม้มะฮอกกานี เขากวาดมองไปยังหัวหน้าแผนกทุกคนด้วยสายตาที่เข้มงวด ราวกับว่าเป็นราชาที่อยู่เหนือกว่าใครๆ
“พี่ครับ เข้าซื้อกิจการบริษัทลี่จิ่งแล้วผลประกอบการประจำปีของเฟิงฉิงจะอยู่ที่อย่างน้อย 1 หมื่นล้าน เมื่อไหร่ผมจะเก่งแบบพี่บ้าง”
เฉินจิ้นถงเดินออกมาด้วยกันพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้าแฝงด้วยความอิจฉาเล็กน้อย ลี่จิ่งไม่ใช่บริษัทขนาดเล็ก เมื่อรวมทรัพยากรทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วนั้นจะทำให้กิจการของเฟิงฉิงเติบใหญ่กว่าเดิม ไม่ใช่แค่มีผลประกอบการที่ดีขึ้นแต่จะทำให้เฟิงเฉิงกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในเมืองซั่นเป่ย
“ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป นายฉลาดจะตาย”
มุมของริมฝีปากของเฉินเป่ยชวนโค้งขึ้น ดวงตาจ้องมองไปยังเขาด้วยรอยยิ้มราวกับว่าสามารถมองเห็นจิตใจผ่านแว่นตาของเขา
“พี่เห็นคุณค่าของผมขนาดนี้ ผมจะพยายามให้มากขึ้นครับ งั้นผมขอตัวก่อน”
เฉินจิ้นถงพูดอย่างใจเย็นก่อนจะหันกลับไปที่ห้องทำงานของเขา เฉินเป่ยชวนขมวดคิ้วและมองลงไปที่เวลาบนนาฬิกาของเขา
ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังรอให้เขากลับไปทานอาหารด้วยหรือเปล่า
“ท่านประธาน ให้ดิฉันจองที่นั่งในร้านอาหารให้คุณไหมคะ? ” เลขาถามทันทีเมื่อเห็นเขา
“ไม่ต้อง ส่งแบบร่างสัญญาไปที่อีเมลของฉันก่อนเลิกงานพรุ่งนี้”
หลังจากพูดจบเขาก็ตรงเข้าไปในลิฟต์และดูเหมือนว่ามื้อเที่ยงของวันนี้เขาจะทำได้เพียงกินอาหารฟาสต์ฟู้ดเท่านั้น
กลับมาที่ MR อีกครั้งพร้อมกับเบอร์เกอร์และโค้ก แม้แต่คนเฝ้าประตูก็ยังตกใจกับถุงฟาสต์ฟู้ด McDonald ที่เขาถืออยู่ เจ้านายติดดินขนาดนี้เลยเหรอ เขาคิดว่าเจ้านายเดินเข้าออกร้านอาหารระดับไฮเอนด์เท่านั้น
ลินดาถึงกับผงะเมื่อเห็นเขาออกมาจากลิฟต์ เฉี่ยนเฉียนยังไม่กลับมา อีกเดี๋ยวถ้าประธานเฉินถามถึงหล่อน เธอเขาจะตอบว่าอย่างไรดี?
ถืออาหารฟาสต์ฟู้ดรีบเดินเข้าไปในห้องทำงานแต่กลับไม่เจอแม้แต่เงาของเธอคนนั้น จึงรีบวางอาหารไว้พลางเดินไปยังมุมพักผ่อน ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกหิวนิดหน่อยแต่ก็ไม่ทำให้เขาอยากกินอะไรอย่างอื่นก่อนเลย
เตียงขนาดใหญ่และนุ่มสบายไร้รอยยับ เขาขมวดคิ้วขึ้นมาทันที พลางโทรหาลินดา “หล่อนอยู่ที่ไหน? ”
“เลขาเฉียวไปทานข้าวที่ชั้นล่างค่ะ”
ทานข้าว? เฉินเป่ยชวนวางสายโทรศัพท์อยากจะโกรธแต่ก็อดกลั้นไว้ ที่ไม่รอกินอาหารด้วยกันกับเขา แต่เขากลับไม่สามารถทำให้เธอรอจนหิวได้
เขาโทรหาเธอหลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครรับสาย
ผู้หญิงคนนี้ไปกินข้าวที่ไหนกันแน่นะ?
ในคฤหาสน์เฉียว เฉียวชูเฉี่ยนมองโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องอัตโนมัติ เธอเพียงรู้สึกว่าเหมือนมีใครขโมยพลังงานของเธอไป เธอเพิ่งออกมาจากซื่ออันไม่นาน และกลับมาที่นี่โดยไม่รู้ตัว วันนี้ก่อนที่จะเจอกับลู่ฉี เธอเริ่มรู้สึกว่าตระกูลเฉินเป็นบ้านหลังใหม่ของเธอและจิ่งเหยียน แต่เพียงแค่เวลาไม่นาน ทุกอย่างก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“พ่อ แม่ บอกหนูที ว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เขาไม่ได้โหดเหี้ยมเหมือนสิ่งที่หนูเห็นเมื่อครู่ ”
ผู้ชายที่รักมานานถึงสิบปี เธอทนได้ทุกอย่างแม้ว่าจะต้องอยู่ห่างไกลกัน แต่ไม่สามารถมองเขาด้วยสายตาที่เกลียดชังได้ และไม่อยากจะจินตนาการมือคู่นั้นที่เธอจับมาตลอดจะเป็นมือที่เปื้อนเลือดครอบครัวของเธอเอง
รูปถ่ายข้างเตียงมองเธออย่างเงียบ ๆ ราวกับบอกว่าเธอโตแล้วและเธอต้องเรียนรู้ที่จะตัดสินด้วยตัวเอง
เธอเอาหัวหนุนหมอนที่ไม่ได้ใช้มานาน มีกลิ่นน้ำยาซักผ้าจางๆ แต่มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างอธิบายไม่ได้
“พ่อ แม่ ถ้าเฉินเป่ยชวนไม่ได้เป็นอย่างที่คิดจริงๆ หนูควรทำยังไงดี? ” เสียงร้องไห้ราวกับความหวังแตกสลายดังขึ้น
รักฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของตัวเอง บทแบบนี้ควรมีแต่ในละครไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงเกิดขึ้นในชีวิตจริงได้ล่ะ?
โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งและเธอก็ยังไม่รับสาย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะดื้อดึงที่จะให้เธอรับสายให้ได้ ก่อนที่เธอจะยอมแพ้ เฉียวชูเฉี่ยนเช็ดน้ำตาออกจากมุมตาเบา ๆ และพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ “มีอะไรเหรอคะ? ”
“คุณอยู่ที่ไหน? ”
คำถามของทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมกัน น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความร้อนใจ แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกดีใจแม้แต่น้อย
“ฉันอยู่ที่คฤหาสน์ของฉัน ไม่ได้ทำความสะอาดมานานแล้ว ฉันว่าจะมาทำความสะอาดสักหน่อย”
เธอพูดออกไปอย่างไม่คิดอะไร ในตอนนี้นั้นมีเพียงที่นี่ที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย และทำให้เธอสงบสติอารมณ์ลงได้ เพื่อรอผลการสืบจากลู่ฉี
เมื่อฟังโทรศัพท์เฉินเป่ยชวนก็ได้ยินน้ำเสียงที่ผิดปกติในน้ำเสียงของเธอ “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? ”
ทำไมอยู่ๆ ถึงไปคฤหาสน์เฉียว และน้ำเสียงของเธอดูเหมือนจะ … ร้องไห้
“ฉันคิดถึงพ่อแม่ อยากมาเยี่ยมพวกเขานะ”
เธอรู้ดีว่าเธอไม่สามารถโกหกปิดบังเขาได้ จึงต้องใช้เหตุผลที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือคิดถึงพ่อและแม่
“ผมจะไปรับคุณ”
“ไม่ต้องค่ะ … ฉันจะนั่งแท็กซี่แล้วกลับบ้านทีหลัง”
หลังจากปฏิเสธ เธอก็วางสายไป ถ้าหากพูดมากกว่าเดิมเธอกลัวว่าตนเองจะถามเฉินเป่ยชวนว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อแม่เธอหรือไม่
เมื่อมองไปยังสายที่วาง ดวงตาของเฉินเป่ยชวนฉายแววโกรธอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขามาช้าปล่อยให้เธอหิว หรือวันนี้มีเรื่องอื่นเกิดขึ้นกันแน่?
……
อยู่ที่คฤหาสน์เฉียวจนถึงมืด เฉียวชูเฉี่ยนจึงกลับคฤหาสน์เก่าตระกูลเฉิน ท่านผู้หญิงเห็นเธอกลับมาจึงรีบจับมือถาม “ยายหนู กลับมายังไง หิวไหม กินมื้อเย็นหรือยัง?”
“คุณย่า หนูกินกับเพื่อนมาแล้วค่ะ วันนี้รู้สึกเหนื่อยมาก ขอตัวขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะคะ”
เธอพยายามยิ้มกลบเกลื่อน จากนั้นเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม เฉินเป่ยชวนที่ตั้งหน้าตั้งตารอเธอกลับมาตั้งนานแล้วจึงรีบวิ่งตามเธอขึ้นไป
“คุณอยู่ในคฤหาสน์ทั้งบ่ายเลยเหรอ?” ประตูปิดลง เขายื่นแขนไปโอบรอบตัวเธอไว้
เฉียวชูเฉี่ยนถูกโอบด้วยแขนของเขายืนอยู่อย่างเงียบ ๆ โลกปัจจุบันของเธอตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายและพังทลาย เธอไม่รู้ว่าควรถอยไปทางไหนดี
เธอเงยหน้ามองดวงตาที่กำลังจ้องมองเธอและริมฝีปากสีซีดจางค่อยๆ เปิดออก “บอกฉันทีว่าคุณรักฉันไหม? ”
ถ้าหากว่ารัก…ทำไมถึงทำร้ายเธอได้ลงคอ ถ้าหากว่าไม่รัก…แล้วทำไมถึงมาหลอกเธอ?
“วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ดวงตาของเฉินเป่ยชวนหรี่ลงและดูเหมือนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นจริง มิฉะนั้นเธอจะไม่ถามคำถามเช่นนั้น
“ทำไมคุณไม่ตอบฉันล่ะ คุณรักฉันไหม? คุณเคยรักฉันไหม? ”
เธอไม่ยินดียินร้ายใดๆ แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้เลยว่าอยากฟังคำตอบแบบไหนจากปากของเขา
“นี่คือคำตอบของผม”
เขากล่าวไม่กี่คำ จากนั้นประทับริมฝีปากจูบเธออย่างเอาแต่ใจ สิ่งที่เขาทำในหลายวันมานี้มันยังไม่ชัดเจนเพียงพออีกงั้นเหรอ?