“ใช่ สองสามวันมานี้ผมสืบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องเยอะมาก และพบว่าหลิวอวิ๋นคนนี้แหละคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเฉียวกรุ๊ปในตอนนี้ ในผู้ถือหุ้นไม่มีข้อมูลของเฉินเป่ยชวนเลย แต่ว่าหลังจากที่ผมสืบเสร็จแล้วก็พบว่าหลิวอวิ๋นคนนี้เคยมีการทำธุรกิจกับเฉินเป่ยชวนในอดีต อีกทั้งจำนวนธุรกรรมและจำนวนเงินของหุ้นส่วนที่ซื้อบริษัทเฉียวกรุ๊ปคล้ายคลึงกันมาก ช่วงเวลาก็คือสัปดาห์ที่บริษัทเฉียวกรุ๊ปถูกแบ่งพอดี”
“ที่สำคัญยิ่งกว่าคือหลังจากที่หลิวอวิ๋นคนนี้รับช่วงต่อเฉียวกรุ๊ปแล้วนั้น ก็ได้พาผู้บริหารระดับสูงมาหลายคน รวมถึงผู้รับผิดชอบบริหารบริษัทด้วย อีกทั้งผู้บริหารระดับสูงเหล่านั้นเคยทำงานอยู่ที่บริษัทเฟิงฉิงมาก่อนทั้งนั้น เพียงแต่ไม่ใช่สำนักงานใหญ่เฟิงเฉิงแต่เป็นบริษัทสาขาย่อยที่ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ แถมคนพวกนี้ก็ไม่เคยเป็นผู้บริหารระดับสูงมาก่อน เพราะฉะนั้นเจ็ดปีมานี้เลยไม่มีใครเชื่อมโยงเฉินเป่ยชวนและบริษัทเฉียวกรุ๊ปในปัจจุบันนี้เลย”
สีหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนเปลี่ยนเป็นซีดเซียวขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากเรื่องเหล่านี้ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังหลิวอวิ๋นก็คือเฉินเป่ยชวน เช่นนั้นสงสัยว่าสติปัญญาของเธอคงถูกผู้ชายคนนั้นล้างสมองจนกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปแล้ว
ทำไม ทำไมต้องเป็นเขาด้วย !
เธอยินยอมให้บริษัทเฉียวกรุ๊ปถูกคนไม่เกี่ยวข้องข่มแย่งคว้าชิงไปเสียมากกว่ากลายเป็นเฉินเป่ยชวน
“เฉี่ยนเฉียน เธอโอเคหรือเปล่า ?”
ลู่ฉีเห็นสีหน้าของเธอดูไม่ดี นัยน์ตาราวกับสูญเสียโฟกัสไป ทว่ากลับอดกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา จึงรู้สึกสงสารเธอเป็นอย่างยิ่ง
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ฉันโอเคมาก”
เฉียวชูเฉี่ยนยืนขึ้นมาอย่างโซเซ ทั้งเนื้อทั้งตัวราวกับถูกผู้อื่นสูบพลังงานไปจนหมดเกลี้ยงอย่างไรอย่างนั้น เป็นเขาจริง ๆ ด้วย ความจริงมักทำให้เธอไม่มีแม้แต่โอกาสในการหลอกตัวเอง
เมื่อเจ็ดปีก่อน เธอหลอกตัวเองโดยคิดว่าเฉินเป่ยชวนชอบและรักเธอ ครั้นผลสุดท้ายกลับได้มาเป็นความเย็นชาและชั่วร้ายแทน
หลังจากเจ็ดปี เธอเริ่มหลอกตัวเองอีกคราว่าพระเจ้าได้ให้โอกาสให้ตนมีความสุขอีกเป็นครั้งที่สอง เพียงลืมอดีตและไขว่คว้าให้ดี พวกเขาก็จะมีชีวิตที่มีความสุขได้ ทว่าผลสุดท้ายกลับกลายเป็นความเจ็บปวดที่ทำให้เธอไม่ยินยอมไปเผชิญหน้ากับมัน !
คนที่เธอหลงรักมาสิบปีกลายเป็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของเธอ
ความเป็นจริงกระทบเข้าที่ใบหน้าของเธออย่างแรง เวลา 3,000 กว่าวันในช่วงสิบปีนั้น ทำให้เธอทราบว่าตนเองโง่เขลาเพียงใดโดยไร้ซึ่งความปราณี
“เฉี่ยนเฉียน ผมรู้ว่าตอนนี้คุณเสียใจมาก ผมก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น ระหว่างคุณกับเฉินเป่ยชวนจะสามารถใช้ชีวิตที่มีความสุขด้วยกันต่อไปได้ ไม่แน่ว่าอีกไม่นานพวกคุณทั้งคู่จะได้แต่งงานใหม่……”
คำพูดของลู่ฉีทำให้เธอรู้สึกกระแทกแดกดันยิ่งกว่าเดิม จึงได้พูดตัดบทเขาเสียงดังทันควัน “ฉันไม่เคยคิดที่จะแต่งงานใหม่กับเฉินเป่ยชวนเลย ไม่เคยเลย !”
ทำผิดมาแล้วเป็นสิบปี ถึงเวลาแล้วที่ควรจะปรับเปลี่ยนให้ถูกต้องเสียที
หน้าประตูทางเข้าร้านอาหารตะวันตก สีหน้าของเฉินเป่ยชวนหม่นหมองอย่างรุนแรง เขาคัดค้านตัวเองเพื่อตามเธอออกมาเนื่องจากอย่างทราบว่าเหตุใดเธอจึงได้ออกมากะทันหันเช่นนี้ ครั้นสิ่งที่ได้ยินกลับคือคำพูดของเธอที่พูดอย่างเด็ดขาดว่าไม่เคยคิดที่จะแต่งงานใหม่กับตน !
ไฟแห่งความโมโหลุกโชติช่วงขึ้น ดวงตาอันเย็นยะเยือกสองข้างเพ่งเล็งไปยังผู้หญิงที่ยืนอยู่ไกล ๆ ผู้นั้น เขาหันหลังแล้วเดินจากไปด้วยความโมโห ดีมากเฉียวชูเฉี่ยน ดีมาก !
รถยนต์ยี่ห้อมายบัคถูกขับออกไปโดยเร็วด้วยความเกรี้ยวกราด ในเวลาต่อมาเฉียวชูเฉี่ยนและลู่ฉีก็เดินออกมาเช่นกัน “ให้ผมไปส่งคุณดีกว่าไหมครับ อารมณ์ของคุณตอนนี้ผมกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้น”
เขาเองก็ไม่กล้าเผชิญหน้ายอมรับโดยตรงว่าตัวเองเห็นแก่ตัวเพียงใดในเรื่องนี้เช่นกัน ผู้ชายอย่างเฉินเป่ยชวนไม่เหมาะสมกับเฉี่ยนเฉียน เขาจะมีแต่ทำร้ายเธอครั้งแล้วครั้งเล่าให้เธอเจ็บปวดเท่านั้น
“ไม่ต้อง ฉันไปเองได้ค่ะ”
หลังจากที่ส่ายหน้าปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขา เธอก็เข้าไปนั่งในรถแท็กซี่คันหนึ่งทันที
“เฉี่ยนเฉียน……”
ลู่ฉีมองรถแท็กซี่ที่ขับห่างออกไปไกลเรื่อย ๆ คิ้วที่ขมวดอยู่ของเขายังคงไม่คลายออก “เฉี่ยนเฉียน ขอโทษนะ ผมก็แค่ไม่อยากให้คุณเสียใจเพราะเฉินเป่ยชวนอีกแล้ว”
รถยนต์ยี่ห้อ BMW รุ่น SUV สีฟ้าขับเคลื่อนออกไปในเวลาต่อมาเช่นกัน ครั้นอีกฟาก รถยนต์ยี่ห้อธรรมดาคันหนึ่งลดกระจกหน้าต่างลงช้า ๆ เฉินจิ้นถงนั่งอยู่ข้างใน มุมปากอันสุขุมยกขึ้นเล็กน้อย สายตาที่อยู่ภายใต้แว่นตาก็ผุดเป็นรอยยิ้มอันแปลกประหลาดขึ้นมาเช่นกัน
เฉียวชูเฉี่ยนนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ ภายในหัวว่างเปล่า จากนั้นก็ค่อย ๆ มีความคิดหนึ่งเข้ามาเติมเต็ม
เฉินเป่ยชวนเป็นศัตรูของเธอ !
เป็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของเธอ !
“คุณผู้หญิงครับ คุณจะไปที่ไหนเหรอครับ ?”
พนักงานขับรถที่นั่งอยู่เบื้องหน้าถามเธอนับครั้งไม่ถ้วน จนในใจเริ่มสงสัยเล็กน้อยว่าตนรับคนสติไม่สมประกอบขึ้นมาใช่หรือไม่ เนื่องจากตั้งแต่ขึ้นรถมาสตรีผู้นี้ก็ไม่พูดไม่จา ถามว่าไปที่ไหนก็ไม่ตอบ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องขับไปยังทิศทางไหน
เสียงของคนขับรถทำให้เธอฟื้นสติกลับคืนมาได้ เธอมองป้ายข้างทางแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นน้ำเสียงแหบแห้ง “MR”
ฝีเท้าที่หนักแน่น หัวใจที่เต้นหนักแน่น แม้แต่ลมหายใจก็ยังเต็มไปด้วยความกดดัน เธอผลักเปิดประตูห้องทำงานออก จึงพบกับเฉินเป่ยชวนที่ยังคงตรวจเอกสารอยู่ เมื่อเห็นท่าทางการทำงานของเขา สองขาของเธอราวกับถูกล็อกไว้ที่หน้าประตู ยืนแน่นิ่งมองเขาอยู่อย่างนั้นเงียบ ๆ
ความรู้สึกบางครั้งก็ใกล้บางครั้งก็ไกล ทำให้รู้สึกสับสนเป็นอย่างยิ่ง ครั้นกลับมีความรู้สึกเฝ้ารอคอย เมื่อรู้สึกว่าคว้าได้แล้วจริง ๆ และค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นมา ทันใดนั้นก็พบว่าที่แท้เขายังอยู่ห่างไกลเหลือเกิน ไม่ว่าจะยื่นมือเอื้อมไปคว้าไว้แค่ไหน ก็แตะไม่ถึงแม้แต่ขอบเสื้อ
ทว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงเจ็บปวดกับลมหายใจที่กระจายออกมาจากตัวเขาเช่นเคย
เฉินเป่ยชวนก็คือคนแบบนี้แหละ !
“ไปเข้าห้องน้ำนานจริง ๆ เลยนะ”
ผู้ชายที่ก้มหน้าก้มตาอยู่คลายฟันที่กัดไว้แน่นออก จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา หางตาราวกับมีรอยยิ้มบาง ๆ ซ่อนอยู่ ครั้นกลับมีความเย็นยะเยือกอันยากพรรณนาปะปนอยู่ด้วย
ผู้หญิงที่ทำให้ตนเองบ้าคลั่งโดยไม่สนชีวิต กลับมีผู้ชายอีกคนอยู่ในใจ !
“อืม”
สิ้นเสียงอืม เธอก็พยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ เดินกลับโต๊ะทำงานของตัวเองไปทันที
การที่ได้อยู่กับคนที่ตนเองรักด้วยกันทั้งวันทั้งคืนนั้นคือความสุข
การที่ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรังเกลียดได้เจอหน้ากันบ่อยครั้งนั้นคือความอาฆาต
การรักษาระยะห่างกับคนที่ตนเองรักทว่าเป็นคนที่ควรเกลียดชัง คือความเจ็บปวด !
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับก่อนนะคะ”
เธออยากอดกลั้นเอาไว้ ไม่ให้ตัวเองดูอ่อนแอขนาดนั้น ครั้นภายในห้องนี้ ทุกครั้งที่เธอสูดหายใจเข้าก็จะรับรู้กลิ่นที่เป็นของเฉินเป่ยชวนอย่างชัดเจน มันได้ไปกระตุ้นหัวใจอันอ่อนแอของเธอ
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่ต้อง !”
เธอปฏิเสธไปทันควัน ครั้นกลับไม่สามารถห้ามปรามผู้ชายที่เดินสาวเท้ายาว ๆ มาอยู่เบื้องหน้าเธอได้ จากนั้นแขนสองข้างก็ราวกับถูกคีมหนีบเอาไว้ เธอจึงทำได้เพียงยืนอยู่อย่างนั้น
ทั้งสองคนออกมาด้วยท่าทางเช่นนั้น ลินดาเห็นดังนั้นจึงรู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมาทันที คงไม่ใช่ทะเลาะกันเพราะลู่ฉีคนนั้นหรอกใช่ไหม
รถยนต์ยี่ห้อมายบัคขับอย่างรวดเร็วมายังคฤหาสน์หลังเก่าบ้านตระกูลเฉิน เมื่อท่านผู้หญิงเห็นทั้งสองคนกลับมาแถมสีหน้ายังไม่ค่อยดีอีก หัวใจจึงเต้นตุบตับขึ้นมา นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ?
“ยายหนู ทำไมสีหน้าของหนูถึงแย่แบบนี้ล่ะ เป่ยชวนรังแกหนูใช่ไหม ? ถ้าเขากล้ารังแกหนูหนูบอกย่ามาเลยนะ ย่าจะไปตีเขาให้”
ไม่ง่ายเลยกว่าจะเกลี้ยกล่อมให้ยายหนูผู้นี้กลับมาได้ แถมยังได้เห็นทั้งสองคนกลับมาดีต่อกัน ครอบครัวใกล้จะได้มีชีวิตที่สวยงามและสงบสุขแล้วเสียที อย่าเกิดการเข้าใจผิดขึ้นอีกเลย
“คุณย่าคะ หนูไม่เป็นไรค่ะ เมื่อคืนดื่มจนเมาเลยปวดหัวอยู่นิดหน่อยนอนหลับสักตื่นก็ดีขึ้นแล้วค่ะ”
เธอไม่อยากให้คุณย่าเป็นห่วง จึงรีบฉีกยิ้มขึ้นมาทันที รออีกสองวันเธอค่อยหาโอกาสอันเหมาะสมในการปรึกษาหารือกับคุณย่าเรื่องการย้ายออกไป
จากนั้น ความเกลียดชังระหว่างเธอกับเฉินเป่ยชวนก็จะไม่มีแล้ว
“จ้ะ หนูไปนอนนะ ตื่นนอนแล้วค่อยลงมากินข้าว” สิ้นเสียง ท่านผู้หญิงก็ยังไม่ลืมที่จะส่งสายตาให้เฉินเป่ยชวน หลานชายผู้น่าเป็นห่วงคนนี้นี่ ผู้หญิงโกรธไปง้อดี ๆ ก็สิ้นเรื่อง