ถังอี้เห็นภาพเบื้องหน้าแล้วรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย เหตุการณ์นี้ราวกับกลับย้อนกลับไปยังเจ็ดปีก่อนอย่างไรอย่างนั้น และยังเป็นที่นั่งตรงนี้ด้วย เขาดื่มเหล้าเข้าไปแก้วต่อแก้วเช่นเดียวกัน จากนั้นก็ดื่มจนอ้วกออกมามีเลือดซึมเล็กน้อย ขณะที่ส่งเขาไปที่โรงพยาบาลยังครวญครางว่า “ฉันหย่าแล้ว คิดไม่ถึงว่านังผู้หญิงเลวคนนั้นจะเซ็นยอมรับด้วย !”
“เป่ยชวน นายกับเฉียวชูเฉี่ยนเป็นอะไรกันอีกแล้ว ?”
ผู้ที่ทำให้เขากระทำเช่นนี้ได้ นอกจากเฉียวชูเฉี่ยนก็ไม่มีบุคคลที่สองอีกแล้ว
“เฉียวชูเฉี่ยนคือผู้หญิงที่ตาไม่มีแวว ฉันควรพาเธอไปหาหมอตา”
เมื่อเจ็ดปีก่อน เธอเซ็นชื่อบนใบสำคัญการหย่าเพื่อลู่ฉีผู้นั้น เมื่อผ่านมาเจ็ดปีก็ยังเป็นผู้ชายคนนั้นอีก คิดไม่ถึงว่าเธอจะไม่เคยคิดเริ่มต้นใหม่กับเขาเลย !
“คงไม่ใช่ว่าถูก……” ถังอี้ไม่กล้าที่จะเอ่ยคำว่าสวมเขาออกมา ครั้นไม่ได้แสดงว่าเขาจะไม่กล้าจิตนาการเหตุการณ์เช่นนั้นแต่อย่างใด
มือที่เดิมคิดอยากห้ามปรามไม่ให้เฉินเป่ยชวนดื่มเหล้าต่อ ครั้นกลับกลายเป็นรินเหล้าให้เขาแทน “ดื่มเถอะ เมาแล้วก็ไม่ต้องไปคิดอะไรแล้ว”
ผู้ชาย อะไรก็สามารถสวมได้ มีเพียงห้ามสวมเขาเท่านั้น
……
บนท้องถนนที่มีรถราวิ่งขวักไขว่ไปมา กลุ่มคนที่สงสัยล้อมวงมุงดูอยู่อีกทาง จากนั้นต่างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพที่อยู่ด้านในกลุ่มคนเอาไว้
“วันนี้เลิกงานได้ เหนื่อยกันแล้วนะทุกคน”
หลังจากที่ผู้กำกับดูเนื้อหาที่เพิ่งถ่ายทำเมื่อสักครู่นี้เสร็จแล้ว บนใบหน้าก็มีความพึงพอใจผุดขึ้นมา
บนใบหน้าของหลินเฟยเอ๋อร์ฉีกยิ้มที่อ่อนโยนใจกว้างขึ้นมาให้ความร่วมมือผู้คนที่มุงถ่ายรูปอย่างบ้าคลั่ง แถมยังไม่ลืมเอ่ยขึ้นเตือนด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล “ดึกมากแล้วนะคะ พวกคุณก็ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว นอนดึกไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ”
“เฟยเอ๋อร์ เฟยเอ๋อร์……”
เสียงกรี๊ดเบื้องหลังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลินเฟยเอ๋อร์เดินไปพร้อมโบกไม้โบกมือด้วยรอยยิ้มไป จากนั้นก็เข้าไปนั่งบนรถตู้ที่จอดอยู่ข้าง ๆ ช่วงเวลาที่ผ้าม่านหน้าต่างรถยนต์ปิดลงนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็สลายหายไป มีความหงุดหงิดขึ้นมาแทน
“อีพวกแฟนคลับปัญญาอ่อน รู้หรือเปล่าว่าไอดอลของพวกเขาถ่ายทำละครตั้งแต่เช้าจนดึกมันเหนื่อยมากพอแล้ว”
เลขายิ้มอย่างแห้งเหือดขึ้น จากนั้นก็เข้าไปนวดไหล่ให้เธอ “พวกเขาอยากอยู่ใกล้ชิดไอดอลของตัวเองมากเกินไปน่ะค่ะ”
ปากยิ้มพูดคำประจบประแจง ครั้นภายในใจกลับอดไม่ได้ที่จะพูดแขวะ เพราะว่าเธอดังไง ถ้าไม่ดังละก็ ต่อให้อ้อนวอนขอร้อง คนเขาก็ไม่แน่ว่าจะหันมามองเธอหรอก
“ให้บริษัทส่งบอดี้การ์ดสักคนสองคนมา ฉันไม่อยากถูกแฟนคลับผู้ชายที่หน้าไม่อายลวนลามหรอกนะ”
แรงที่อยู่บนไหล่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย หลินเฟยเอ๋อร์ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความไม่พอใจทันที “นวดแรงขนาดนี้ทำไม ?”
“ขอโทษค่ะคุณเฟยเอ๋อร์ เรื่องบอดี้การ์ดฉันคิดว่าคุณไม่ต้องหรอกมั้งคะ ถึงยังไงจำนวนแฟนคลับก็แสดงถึงความโด่งดัง ถ้าพาบอดี้การ์ดติดตัวไปด้วยตลอด มันไม่ดีต่อคาแรคเตอร์คุณด้วยนะคะ”
สิ่งที่แฟนคลับชอบในตอนนี้ก็คือการที่ไม่วางตัวเป็นดารา อีกทั้งตำแหน่งที่บริษัทให้เธอนั้นก็คือความเป็นธรรมชาติและอบอุ่น
ในขณะที่อารมณ์ไม่ดีอยู่นั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา หลินเฟยเอ๋อร์มองดูเบอร์ที่ไม่มีชื่อบนหน้าจอ จึงวางสายไปโดยไม่แม้แต่จะคิดสักนิด ครั้นยังไม่ทันถึงหนึ่งนาทีโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เลขาเห็นดังนั้นจึงไปนั่งที่นั่งริมสุด เธอจึงกดรับโทรศัพท์ “สวัสดีค่ะ ฉันคือหลินเฟยเอ๋อร์ค่ะ ขอโทษนะคะคุณคือใครคะ ?”
“ไม่ต้องรู้ว่าฉันคือใครหรอก รู้แค่ว่าฉันทำให้คุณครอบครองเฉินเป่ยชวนได้ก็พอแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงในสายได้ผ่านการจัดการมาแล้ว ฟังไม่ออกเลยว่าเป็นผู้ใด ครั้นทำให้นิ้วมือที่เธอจับโทรศัพท์อยู่นั้นบีบแรงขึ้นเล็กน้อย “คุณจะทำอะไร ?”
การที่สามารถทราบเบอร์โทรของเธอได้ แถมยังใช้ความพยายามอย่างมากในการปกปิดตัวตนของตัวเองเช่นนี้ จะต้องไม่เป็นเพียงการล้อเล่นธรรมดาเป็นแน่ โดยเฉพาะมีคำว่าเฉินเป่ยชวนสามพยางค์นี้ทำให้เธอไม่สามารถที่จะปฏิเสธไปได้โดยสิ้นเชิง
“ฉันอยากทำอะไรคุณไม่ต้องสนใจหรอก ถ้าคุณอยากร่วมมือกับฉันก็ทำถามที่ฉันบอกอย่างว่าง่ายเถอะ ฉันรับประกันได้ว่าคุณจะต้องได้กลับไปยืนอยู่ข้างกายเฉินเป่ยชวนอีกครั้งแน่ แถมยังจะได้นั่งอยู่บนตำแหน่งที่คุณหวังมาตลอดด้วย”
“เพราะอะไรฉันต้องเชื่อคุณด้วย ?”
หัวใจของหลินเฟยเอ๋อร์เต้นรัวโดยไร้การควบคุม เธอไม่เพียงแต่อยากกลายเป็นแฟนของเฉินเป่ยชวนเท่านั้น สิ่งที่เธออยากเป็นมากที่สุดนั่นก็คือคุณนายเฉิน
“ก็เพราะตอนนี้ฉันบอกคุณได้ว่าเฉินเป่ยชวนอยู่ที่ร้านโซ่วจิน ดื่มเมาเละเทะเหมือนโคลนไปแล้วด้วย ถ้าคุณโผล่มาหาเขาในเวลานี้แล้วยังพาเขาไปอีกละก็ คุณคิดว่า เวลาต่อมาจะเกิดอะไรขึ้น ?”
น้ำเสียงอันแปลกประหลาดภายในสายนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง เป่ยชวนอยู่ในคลับของถังอี้งั้นหรือ ?
“ถ้าสิ่งที่คุณพูดคือเรื่องจริง ฉันจะร่วมมือกับคุณ แต่ฉันจะติดต่อคุณได้ยังไง ?”
แม้ว่าจะไม่ค่อยมั่นใจถึงตัวตนของฝ่ายตรงข้าม ครั้นเธอกลับมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าตอนนี้เฉินเป่ยชวนอยู่ที่ร้านโซ่วจินจริง ๆ แถมยังเมาเละเทะเหมือนโคลนอย่างที่เขาพูดด้วย
“คุณไม่ต้องติดต่อฉันหรอก ฉันจะติดต่อคุณไปเองในเวลาที่จำเป็น ตอนนี้รีบมาที่ร้านโซ่วจินเดี๋ยวนี้แล้วพาเฉินเป่ยชวนไป สำหรับเรื่องอื่นคุณคิดหาวิธีเอาเอง”
เมื่อสิ้นเสียงสุดท้ายก็วางสายไป หลินเฟยเอ๋อร์นิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นจึงรีบบอกคนขับรถทันทีว่า “ไปที่คลับโซ่วจิน !”
“คุณเฟยเอ๋อร์คะ ดึกขนาดนี้แล้วคุณจะไปที่ไหนก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้นนะคะ”
“เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเธอไม่ต้องมาบอกฉัน เข้ามานี่ ฉันมีเรื่องให้เธอไปทำ”
หลินเฟยเอ๋อร์โบกมือเรียกด้วยความไม่สบอารมณ์ หลายวันมานี้เธอไม่เจอโอกาสที่เหมาะสมมาตลอด คิดไม่ถึงว่าพระเจ้าจะให้โอกาสเธอในยามนี้ เพราะฉะนั้นเธอจะต้องไขว่คว้าเอาไว้ถึงจะถูกต้อง
เมื่อคิดถึงแผนการของตนเอง มุมปากของเธอจึงอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นมา เฉียวชูเฉี่ยน ฉันเคยบอกแล้วไงว่าเฉินเป่ยชวนถูกลิขิตให้เป็นของฉัน
ภายในคลับโซ่วจิน เบื้องหน้าโต๊ะของเฉินเป่ยชวนเต็มไปด้วยขวดเหล้าเปล่าเต็มไปหมด นัยน์ตาที่เดิมทีมีความเย็นชานั้นได้กลายเป็นความเลือนลางจากการดื่มเมา ทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลาอยู่แล้วนั้นน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น
“เป่ยชวน เลิกดื่มได้แล้ว”
ถังอี้เห็นว่าเขาดื่มพอสมควรแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อมเขา การดื่มแล้วเมาเละราวกับโคลนไม่น่ากลัวเท่าไร สิ่งที่กลัวคือจะต้องถูกหามไปส่งโรงพยาบาลเหมือนเมื่อเจ็ดปีก่อนอีกครา
“อย่ามายุ่งกับฉัน นายว่าเฉียวชูเฉี่ยนดีตรงไหนกันแน่ ?” เฉินเป่ยชวนขมวดคิ้วแน่น ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือว่าหน้าตา ผู้หญิงที่อยู่รอบกายเขานั้นมีใครที่ไม่ดีกว่าเฉียวชูเฉี่ยนบ้าง ครั้นเหตุใดเขาจึงใช้เวลาถึงเจ็ดปีแล้วก็ยังลืมเธอไม่ได้
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง เธอไม่ใช่ผู้หญิงของฉันสักหน่อย” ถังอี้รู้สึกแปลกประหลาดใจกับคำถามของเขา สำหรับเฉียวชูเฉี่ยนอย่างมากเขาให้ได้แค่คะแนนผ่านเกณฑ์ เพื่อนของเธอผู้นั้นน่าสนใจกว่าอีก
“เธออยากเป็นผู้หญิงของใคร ?” ราวกับว่าเฉินเป่ยชวนถูกคำตอบเมื่อสักครู่นี้กระตุ้นเข้าแล้ว ทันใดนั้นก็ยื่นฝ่ามืออันใหญ่ไปบีบคางของถังอี้เอาไว้ จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด
“……” เฮงซวย ล้อเล่นอะไรเนี่ย เขาเป็นผู้ชายที่ MAN เช่นนี้ ถูกคิดว่าเป็นเฉียวชูเฉี่ยนผู้หญิงคนนั้นไปเสียแล้ว
“เป่ยชวนคะ”
และในเวลานี้ หลินเฟยเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาจากด้านนอก ตลอดทางเธอร้อนรนใจแทบแย่ เนื่องจากกลัวว่าหากตนเองมาช้าเฉินเป่ยชวนจะออกจากที่นี่ไปเสียก่อน เมื่อเห็นว่าเขายังอยู่ จึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมาไปโดยปริยาย จังหวะเท้าอันเร่งรีบของเธอจึงกลับมาย่ำอย่างสง่างามเช่นเคย
ถังอี้มองตามเสียงนั่นไป คิดไม่ถึงว่าคนที่มาเยือนนั้นจะเป็นหลินเฟยเอ๋อร์ ครั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ก็เป็นผู้มาโปรดของเขาในตอนนี้เสียจริง