บทที่ 1999 แตกหัก 3
ผู้ใดมีศิษย์เช่นนี้สักคน นั่นย่อมเป็นเรื่องที่มีเกียรติอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังมีพรสวรรค์จนน่าพรันพรึงเช่นนี้ด้วย…
อวี่หังเจินเหรินกล่าวว่า “เนี่ยนโม่ ไม่ใช่แค่นี้หรอก เป็นเพราะเจ้าฉลาดยิ่งนักด้วย เป็นผู้มีพรสวรรค์…”
“แต่ทุกคนก็ยังเห็นข้าเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งใช่ไหม?”
“นี่…”
อวี่หังเจินเหรินเอ่ยขึ้นอีก “เนี่ยนโม่ เจ้าเพิ่งหกขวบ…”
เสินเนี่ยนโม่ยิ้มแล้ว เอียงคอมองอวี่หังเจินเหริน “ข้าดูเหมือนอายุหกขวบหรือ?”
อวี่หังเจินเหรินชะงักไป “นี่…”
น้ำเสียงเสินเนี่ยนโม่เฉยชายิ่งกว่าเดิม “บิดาของข้าอายุขวบเดียวก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ท่องไปทั่วหล้า กลายเป็นมหาเทพ ยามนั้นผู้ใดเห็นเขาเป็นเด็กน้อยวัยหนึ่งขวบบ้างเล่า?”
อวี่หังเจินเหรินนิ่งงันไปแล้ว
เขาเคยได้ยินตำนานเมื่อครั้งอดีตของมหาเทพ เพียงแต่ยามที่มหาเทพท่องไปทั่วหล้าไม่เคยบอกกล่าวเลยว่าตนอายุเท่าไหร่ ซ้ำยังมีรูปลักษณ์เป็นผู้ใหญ่ ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเห็นเขาเป็นเด็กน้อย…
เสินเนี่ยนโม่ในปัจจุบันกลายเป็นผู้ใหญ่ตอนสามขวบ และออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์อยู่บ่อยครั้ง มีชื่อเสียงเลื่องลือในทวีปนี้แล้ว นามของคุณชายฝูอีโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ…
เพียงแต่ถึงอย่างไรเขาก็เฝ้ามองเด็กน้อยคนนี้เติบใหญ่มา ในในยังคงยึดติดกับความคิดว่าเสินเนี่ยนโม่เป็นเด็ก…
เสินเนี่ยนโม่ยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง “เหตุผลเป็นเพราะข้าคือเสินเนี่ยนโม่ ดังนั้นจึงไม่สนใจสภาพความเป็นจริงของข้า เพียงอบรมสั่งสอนข้าเยี่ยงเด็กน้อยคนหนึ่ง คิดเห็นจัดการทุกอย่างแทนข้า…แต่ตัวข้าก็คือตัวข้า ข้ามีบรรทัดฐานการจัดการเรื่องราวของข้าเอง และไม่ต้องการถูกผู้ใดมากะเกณฑ์ ยิ่งไม่ต้องการให้มีคนมาหลอกลวงข้าโดยใช้ข้ออ้างว่าหวังดีต่อข้า นับจากวันนี้ไป ข้าจะเป็นเพียงตี้ฝูอี ไม่ใช่เสินเนี่ยนโม่อีกต่อไป ผู้ที่พวกท่านอยากรับเป็นศิษย์คือเสินเนี่ยนโม่ ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ดังนั้น…ข้าจะไม่กราบเข้าไปรับการสั่งสอนในสังกัดของผู้อาวุโสท่านใดอีกต่อไปแล้ว ส่วนเรื่องของข้ากับคนลึกลับหน้ากากผีผู้นั้น ก็ไม่รบกวนให้ทุกท่านต้องกังวลอีก นั่นเป็นแค่ปัญหาระหว่างข้ากับนาง ไม่เกี่ยวข้องกับใครหน้าไหน!”
ทุกคนตะลึงงัน!
อวี่หังเจินเหรินแทบจะเต้นผ่างแล้ว “เนี่ยนโม่…”
“เรียกข้าว่าตี้ฝูอี!” สีหน้าของเสินเนี่ยนโม่เยียบเย็นลง
“นั่นคือนามแฝงของเจ้า มิใช่นามจริงของเจ้า เจ้าคือบุตรของมหาเทพ ทำไมแม้แต่แซ่ก็จะเปลี่ยนเสียเล่า? นี่…นี่มันไม่ถูกทำนองคลองธรรม…”
“บิดาข้าไม่สนใจเลยว่าข้าจะชื่อเสียงเรียงใด แล้วเหตุใดผู้อาวุโสต้องสอดปากด้วย?!”
อวี่หังเจินเหรินอ้ำอึ้งไปแล้ว “…เจ้า…เจ้า…เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้…มหาเทพจะต้องไม่เห็นด้วยแน่!”
น้ำเสียงเสินเนี่ยนโม่เยียบเย็นกว่าเดิม “อย่าว่าแต่เขาเห็นด้วยแล้วเลย…ต่อให้เขาไม่เห็นด้วยนั่นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเราสองพ่อลูก เกี่ยวอันใดกับผู้อาวุโสกัน? เอาล่ะ ข้ามีเรื่องจะพูดเพียงเท่านี้ ผู้อาวุโสรักษาตัวด้วย”
เขาหันหลังจากไป
“เนี่ยนโม่!”
“เนี่ยนโม่!”
“เนี่ยนโม่…”
ด้านหลังมีคนส่งเสียงเรียกเขาอยู่ข้างหลัง ทว่าเขาไม่หันกลับไปเลย
เฟิงชิงซ่างเหรินทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นว่า “ฝูอี เจ้าทำเช่นนี้คงมิใช่เพราะขุ่นเคืองเรื่องที่พวกเราล้อมโจมตีคนลึกลับหน้ากากผีนางนั้นกระมัง?!”
ฝีเท้าตี้ฝูอีพลันชะงัก ทว่าไม่ได้หันกลับไป สุ้มเสียงราบเรียบ “ปรมาจารย์สิบคนล้อมโจมตีสตรีนางหนึ่ง มีเกียรตินักหรือไร?”
เหล้าปรมาจารย์พูดไม่ออกแล้ว
หากเป็นยามปกติ พวกเขาทระนงในศักดิ์ฐานะของตน ไม่มีทางกระทำเรื่องหมาหมู่เด็ดขาด แต่เรื่องในวันนี้เป็นกรณีพิเศษ…
อวี่หังเจินเหรินสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ฝูอี สตรีนางนั้นไม่รู้ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร นางมีจิตคิดแอบแฝงต่อเจ้าจริงๆ ซ้ำวรยุทธ์ของนางยังสูงส่งเลิศล้ำ ชื่อเสียงแทบจะเทียบเท่าบิดามารดาของเจ้า บุคคลเช่นนี้มาหมายปองเด็กน้อยคนหนึ่ง พวกเราย่อมต้องเป็นกังวล และไม่กล้าให้เจ้าเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้น ดังนั้นถึงได้กระทำเรื่องเช่นวันนี้ออกมา…”
เฟิงชิงซ่างเหรินก็กล่าวเช่นกัน “ฝูอี สตรีนางนี้ประหลาดมากจริงๆ หากว่านางเป็นพรรคพวกของลั่วจิ่วเฉิน…”
—————————————————————————
บทที่ 2000 แตกหัก 4
“นางไม่ใช่!” ตี้ฝูอีตัดบทเขา
เฟิงชิงซ่างเหรินชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยต่อว่า “ฝูอี คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เจ้ายังเล็ก ไม่รู้ซึ้งถึงใจคน สตรีนางนี้ที่มาไม่กระจ่าง ซ้ำยังมีวรยุทธ์ที่พิสดารยากจะคาดคะเน พวกเราจำเป็นต้องระวัง เจ้าคงไม่ได้ชอบนางเข้าจริงๆ แล้วกระมัง?! ”
ในที่สุดตี้ฝูอีก็หันกลับมาแล้ว ยิ้มมิเชิงยิ้ม “ถ้าชอบเข้าจริงๆ แล้วอย่างไรเล่า?”
นี่ทำให้เฟิงชิงซ่างเหรินกับอวี่หังเจินเหรินล้วนร้อนรนขึ้นมาแล้ว “ไม่ได้นะ! ไม่ได้เด็ดขาด! พวกเจ้าไม่เหมาะสมกัน!”
สวรรค์ เด็กน้อยคนนี้คงไม่ได้ชอบยายเฒ่านางนั้นเข้าจริงๆ กระมัง?
ถึงแม้ยายเฒ่าผู้นั้นจะงดงามอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ถึงอย่างไรก็อายุปูนนั้นแล้ว ส่วนเนี่ยนโม่เพิ่งจะหกขวบ…
“เหมาะสมหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับพวกเรา ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับพวกท่าน!”
“นางต้องไม่จริงใจต่อเจ้าเป็นแน่ มีจิตคิดแอบแฝงแน่นอน…”
ตี้ฝูอียิ้มแล้ว กล่าวประโยคหนึ่งที่ทำให้ทุกคนแทบจะเต้นผ่างขึ้นมา “จิตคิดแอบแฝงของนางข้าก็ยอมรับเช่นกัน ข้าก็ต้องการแต่งกับนาง…ให้นางกลายเป็นศรีภรรยาของข้า”
ตี้ฝูอีไม่สนใจฝูงชนที่แทบจะแข็งเป็นหินอยู่ตรงที่เดิมอีกต่อไปแล้ว เรียกสัตว์พาหนะมาแล้วโบยบินจากไป
เขาจะไปตามหากู้ซีจิ่ว ตามหาสตรีที่กล่าวว่าต้องการจะชิงตัวเขาไปเป็นสามี…
ส่วนเรื่องที่ตามหาอีกฝ่ายพบแล้วจะแต่งอีกฝ่ายเป็นศรีภรรยาหรือไม่ เขาคงต้องว่ากันอีกที
เขายังเด็ก ไม่รีบร้อนอะไร
ส่วนนางก็อายุปูนนี้แล้ว ชักช้าไปอีกสักสองสามปีก็คงไม่ว่าอะไร…
ยามที่เขาใช้ฐานะของคุณชายฝูอีท่องไปทั่วหล้า ได้คบหาสหายอยู่ไม่น้อย ล้วนมีความสามารถในแต่ละแขนงแตกต่างกันไป ในบรรดานั้นมีผู้ที่เชี่ยวชาญการตามหาคนยิ่งนักอยู่ด้วย…เมื่อครู่เขาได้ยินว่ากู้ซีจิ่วบาดเจ็บ และเมื่อเขาใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อหาไม่ได้ ก็ติดต่อไปหาสหายเหล่านั้นแล้ว ให้พวกเจ้าช่วยตามหาอย่างเร่งด่วน…
นางบาดเจ็บสาหัส น่าจะหนีไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ บางทีอาจจะหลบไปรักษาตัวอยู่ในสถานที่ลับตาอันใด
เชื่อว่าอีกไม่นาน เขาจะต้องตามหานางพบ…
สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือ ผ่านพ้นไปสามวันแล้ว เขายังคงไม่มีข่าวคราวของนางเลยสักนิด
สหายเหล่านั้นของเขาแทบจะพลิกทุกซอกหลืบในรัศมีพันลี้ของหุบเขาล่องเมฆาแล้ว พบเพียงคราบโลหิตแห้งกรังกับเศษชุดของนางในถ้ำบนยอดเขาหิมะแห่งหนึ่ง ทว่าตัวคนกลับไร้ร่องรอย
บนยอดเขาหิมะ ตี้ฝูอีถือเศษชุดผืนนั้นของนางไว้ มองคราบโลหิตนั้น คราบโลหิตนี้เสมือนโลหิตที่คนกระอักออกมา ข้างคราบโลหิตนั้นยังมีร่องรอยว่าเคยมีคนผู้หนึ่งนอนกึ่งๆ ตะแคงอยู่ด้วย
เห็นได้ชัดว่านางบาดเจ็บสาหัสยิ่ง นั่งไม่อยู่แล้ว เคยเอนร่างพิงรักษาแผลอยู่ที่นี่
ดูจากร่องรอยนี้แล้ว ทิ้งไว้เมื่อสามวันก่อน…
คล้ายว่านางรั้งอยู่ที่นี่ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็จากไป…
นางบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้เหตุใดต้องรีบร้อนจากไปเช่นนี้? หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
ในใจตี้ฝูอีคล้ายมีเพลิงลุกโหมอยู่ เขาเม้มริมฝีปาก เริ่มออกค้นหารอบๆ…
“ไม่มีอย่างอื่นแล้ว พี่ฝูอี พวกเราค้นหาที่นี่จนทั่วแล้ว มีแค่สิ่งนี้เท่านั้น” สหายของเขาเขาที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาเอ่ยขึ้น
ตี้ฝูอีไม่เอ่ยวาจา ตามหาต่อไป ค้นหาไปทั่วถ้ำอีกรอบ หลังจากไม่พบอะไรก็ไปตามหาด้านนอกถ้ำต่อ…
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาคล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ หยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมาลองติดต่อหานางดูอีกครั้ง สายตาก็กวาดมองไปรอบด้าน ทันใดนั้น เขาคล้ายจะค้นพบบางอย่าง พุ่งทะยานเข้าไปทันที คุ้ยหิมะกองหนึ่ง จากนั้นนิ้วมือแข็งทื่อไป หยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงสีแดงหม่นแผ่นหนึ่งออกมาจากกองหิมะ…
นี่ก็คือยันต์ถ่ายทอดเสียงที่นางใช้ติดต่อกับเขา! ไม่นึกเลยว่าจะถูกนางทิ้งไว้ที่นี่ มิน่าล่ะเขาถึงติดต่อหานางไม่ได้เลย…
ยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นนี้เดิมทีเป็นสีชมพูอ่อน แต่บนนั้นมีโลหิตเปรอะเปื้อนอยู่ไม่น้อย ถึงขั้นที่ในกองหิมะรอบๆ ตัวมันก็มีคราบโลหิตอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ดูเหมือนนางจะกระอักโลหิตใส่ยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นนี้ นางจึงทิ้งไปเพราะสกปรก
———————
Related