บทที่ 2089 เห็นทีว่าเรื่องซุบซิบพวกนั้นจะเป็นแค่ข่าวลือ…
ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าเขากับฝ่าบาทเนี่ยนโม่จะเป็นคนเดียวกัน…
ซ่างเซียนชุดเขียวผู้นั้นรู้จักเขามานานแล้ว เคยร่วมผจญภัยต่อสู้กับสัตว์ประหลาดด้วยกัน ถึงขั้นที่เรียกขานกันเป็นสหายแล้วด้วย เขานึกไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายก็คือฝ่าบาทเนี่ยนโม่ ตกตะลึงจนลืมทำความเคารพไปเลย
เมื่อปฏิกิริยาตอบสนองของเขากลับคืนมา เหล่าเซียนก็ลุกขึ้นมาแล้ว ขณะที่เขาคิดจะคุกเข่าลงไปอีกครั้ง ก็ถูกตี้ฝูอีโบกมือหยุดยั้งไว้
“น้องเจี้ยนอันไม่ต้องมากพิธีหรอก”
ด้วยเหตุนี้ น้องเจี้ยนอันท่านนี้จึงไม่ต้องคุกเข่าแล้ว แต่ในใจไม่ทราบว่าควรรู้สึกอย่างไรดี คล้ายจะปียินดีและภาคภูมิและคล้ายว่าผิดหวังอยู่บ้าง
ยามนั้นตอนที่เขารู้จักกับตี้ฝูอี ตี้ฝูอีเพิ่งบรรลุขั้นจินเซียนเท่านั้น เขาเป็นซ่างเซียนแล้ว เดิมทีไม่ถูกชะตากับจินเซียนอย่างตี้ฝูอีสักเท่าไหร่ แต่หลังจากเสี่ยงภัยด้วยกันมาแล้ว เขาพบว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ว่าจะเป็นด้านกลยุทธ์หรือวิธีเข้าสังคมล้วนเด็ดขาดช่ำชองอย่างยิ่ง นอกจากวรยุทธ์ที่ด้อยกว่าเขาแล้ว อย่างอื่นล้วนเลิศล้ำกว่าเขาทั้งสิ้น ถึงขั้นที่เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ด้วย
ผู้แข็งแกร่งชื่นชมผู้แข็งแกร่ง และผู้แข็งแกร่งก็เคารพเลื่อมใสกันเช่นกัน ไปๆ มาๆ น้องเจี้ยนอันผู้นี้ก็ลดตัวไปเป็นน้องเล็กของตี้ฝูอีโดยไม่รู้ตัว
เขาหลงนึกว่าอายุของคุณชายฝูอีผู้นี้อย่างน้อยก็คงพันสองพันปีแล้ว กลับนึกไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายคือฝ่าบาทเนี่ยนโม่ที่อายุเพียงหกขวบเท่านั้น…
….
เห็นได้ชัดว่าการมาถึงของตี้ฝูอีเพิ่มสีสันให้งานเลี้ยงนี้ได้ไม่น้อยเลย
จักรพรรดิเซียนเชิญให้เขานั่งลงในตำแหน่งประธาน
ฐานะของเขาสูงส่งกว่าจักรพรรดิเซียน เขานั่งในตำแหน่งประธานก็เป็นเรื่องที่ชอบธรรมแล้ว
ส่วนที่นั่งของกู้ซีจิ่วคือตำแหน่งแขกผู้ทรงเกียรติ อยู่ใกล้กับที่นั่งของเขายิ่งนัก…
หลังจากตี้ฝูอีนั่งลงไปแล้วถึงได้เอ่ยทักทายกู้ซีจิ่วด้วยรอยยิ้ม ราวกับพบเจอสหายทั่วไป
“กู้ซ่างเซียน สบายดีหรือ?”
มุมปากเขาหยักยิ้มบางๆ ดวงตาก็ใสกระจ่างดุจวารี ยามที่ทอดมองคน ทำให้คนรู้สึกราวกับต้องสายลมฤดูใบผลิ
กู้ซีจิ่วกลับชะงักไปเล็กน้อย ยิ้มน้อยๆ ทักทายเขาเช่นกัน
“สบายดีเพคะฝ่าบาทเนี่ยนโม่”
แววตาตี้ฝูอีฉายแววลุ่มลึกแวบหนึ่ง รอยยิ้มตรงมุมปากจางลงไปเล็กน้อย ยื่นมือไปรินน้ำชา ดีดนิ้วคราหนึ่ง ส่งไปให้กู้ซีจิ่ว
“หลายวันมานี้ต้องลำบากกู้ซ่างเซียนช่วยฝึกฝนวรยุทธ์ให้เปิ่นกงแล้ว มาเถิด คารวะท่านหนึ่งจอก”
ถ้วยชาใบนั้นหมนุวนอยู่ในอากาศ ทว่าน้ำในถ้วยกลับไม่กระฉอกออกมาเลยสักนิด ค่อยๆ ลอยมาถึงเบื้องหน้ากู้ซีจิ่ว
กู้ซีจิ่วยื่นมือรับ ดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อย่าได้เกรงใจเลย”
บุคคลในข่าวซุบซิบสองคนทักทายกันเช่นนี้ ดูไม่คล้ายความสัมพันธ์ของคู่รักเลยจริงๆ
ฝูงชนต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า เดิมทีทุกคนรู้สึกว่าคำพูดของกู้ซีจิ่วไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ ยามนี้พอได้เห็นทั้งสองคนปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ จึงเชื่อไปกว่าครึ่งแล้ว
เห็นทีว่าเรื่องซุบซิบพวกนั้นจะเป็นแค่ข่าวลือ…
สายตาของตี้ฝูอีกวาดผ่านใบหน้าฝูงชนแวบหนึ่ง ร่อนลงบนหน้าเซียนหญิงอิ้งเสวี่ย
“ผู้อาวุโส ท่านกล่าวว่าเปิ่นกงหลงใหลคลั่งไคล้ในตัวผู้ใดหรือ?”
ผู้อาวุโส!
ใบหน้าเฉิดฉันของนางเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด นางหงุดหงิดที่สุดยามที่ผู้อื่นมาบอกว่านางแก่ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่านางไม่แก่…
แต่อีกฝ่ายคือเสินเนี่ยนโม่วัยหกขวบ เรียกขานนางเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ผิด…
เพียงแต่…
นางกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง
“ฝ่าบาท หม่อมฉันรับคำว่า ‘ผู้อาวุโส’ ไว้ไม่ได้หรอกเพคะ อายุของเสี่ยวเซียนน้อยกว่าพระบิดาพระมารดาท่านมากนัก…”
รอยยิ้มตรงมุมปากตี้ฝูอีเลือนหายไปแล้ว พูดจาอย่างไม่เกรงใจยิ่ง
“เจ้านับว่าเป็นตัวอะไรกัน? คู่ควรจะเปรียบเทียบกับองค์มหาเทพหรือ?”
เซียนหญิงอิ้งเสวี่ยชะงักค้าง สีหน้านางเขียวคล้ำอีกครั้ง
“เสี่ยวเซียน…เสี่ยวเซียนมิได้หมายความว่าอย่างนั้น…”
นางแค่อยากบอกว่านางอ่อนอาวุโสกว่าคู่มหาเทพสามีภรรยาเท่านั้น นับเป็นคนรุ่นเดียวกันกับฝ่าบาทเนี่ยนโม่ รับคำว่า ‘ผู้อาวุโส’ เอาไว้ไม่ได้ แต่นางยังไม่ทันได้เอ่ยประโยคหลังออกมาก็ถูกตี้ฝูอีเอ่ยขัดแล้ว
“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าคงไม่ได้คิดว่าตนเป็นชนรุ่นเยาว์ขององค์มหาเทพสามีภรรยากระมัง?”
————————————————————————————-
บทที่ 2090 บทลงโทษ
เซียนหญิงอิ้งเสวี่ยนิ่งค้างไปแวบหนึ่ง ต่อหน้ามหาเทพสามีภรรยา นางไม่ใช่ตัวอันใดเลยจริงๆ ไม่คู่ควรจะเป็นสาวใช้ให้คู่มหาเทพสามีภรรยาด้วยซ้ำ คู่มหาเทพสามีภรรยาก็ไม่เคยรู้จักว่านางคือต้นหอมจากที่ไหนด้วยซ้ำ…
“ฝ่าบาทเนี่ยนโม่ เป็นเสี่ยวเซียนกล่าวผิดไปแล้ว เสี่ยวเซียนไม่มีทางเทียบเทียมกับองค์มหาเทพสามีภรรยาได้เลย…”
“ที่แท้เจ้าก็รู้ข้อนี้ด้วย เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจะคบค้าเป็นคนรุ่นเดียวกันเปิ่นกงได้หรือไม่?”
“มิ…มิกล้าเพคะ”
“ในเมื่อไม่กล้า เช่นนั้นเจ้ามีคุณสมบัติใดมาสอดมือสอดเท้าวิจารณ์เรื่องของเปิ่นกง?”
เมื่อเอ่ยมาถึงถ้อยคำสุดท้าย น้ำเสียงตี้ฝูอีเยียบเย็นลงอย่างสิ้นเชิง
เซียนหญิงอิ้งเสวี่ยพูดไม่ออกแล้ว
นางคุกเข่าลงเสียงดังตึง ทำได้เพียงเอ่ยขออภัย
“เสี่ยวเซียนทราบความผิดแล้ว ขอฝ่าบาทประทานอภัยด้วยเถิด”
ตี้ฝูอีหลุบตาลงใช้ฝาถ้วยชาเจียนใบชาในถ้วยออก ไม่สนใจนาง เพียงมองจักรพรรดิเซียนอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม
“ฝ่าบาท เปิ่นกงจำได้ว่าในกฎสวรรค์มีระบุไว้ข้อหนึ่ง หากพูดจาเหลวไหลว่าร้ายจักรพรรดิเซียน ต้องรับโทษโดนตัดลิ้น แต่ไม่ทราบว่าถ้าพูดจาลบหลู่เปิ่นกงจะมีโทษทัณฑ์เช่นใดกัน?”
จักรพรรดิเซียนกระอักกระอวนแล้ว
“นี่…”
ตี้ฝูอีจิบชาอึกหนึ่ง วางถ้วยชาลงเบาๆ เกิดเสียงดังตุบที่ราวกับทุบลงบนใจคน
“แน่นอน หากว่าฝ่าบาทรู้สึกฐานะของเปิ่นกงต่ำต้อยเกินไป ก็ปล่อยให้ผู้อื่นพูดจาลามปามว่าร้ายได้ตามสบาย ฝ่าบาทก็ถือเสียว่าเปิ่นกงไม่ได้ถามก็แล้วกัน”
สีหน้าจักรพรรดิเซียนแปรเปลี่ยนเล็กน้อย สายตาที่มองตี้ฝูอีค่อนข้างซับซ้อน
ในใจเขารู้สึกอยู่เสมอว่าเสินเนี่ยนโม่ยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่
เด็กน้อย มักจะหลอกล่อได้ง่ายๆ เสมอ กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะร้ายกาจปานนี้! จัดจ้านถึงเพียงนี้!
ตี้ฝูอีเป็นบุตรแห่งมหาเทพ ฐานะยังคงสูงส่งกว่าจักรพรรดิเซียน พูดจาว่าร้ายเขาย่อมมีโทษหนักหนากว่าว่าร้ายจักรพรรดิเซียน
ก่อนจักรพรรดิเซียนจะขึ้นครองราชย์ความสัมพันธ์ส่วนตัวของเขากับเซียนหญิงอิ้งเสวี่ยไม่เลวเลย หลังเขาขึ้นครองราชย์เซียนหญิงอิ้งเสวี่ยก็อาศัยความสัมพันธ์อันดีนี้ทำตัวหลงระเริงลืมตัว ก่อเรื่องนี้ สร้างเรื่องโน้น ผลคือวันนี้เตะถูกแผ่นเหล็กอย่างตี้ฝูอีเข้าแล้ว…
เดิมทีจักรพรรดิเซียนยังคิดจะปกป้องนางอยู่ แต่เมื่อเห็นสายตาที่ยิ้มมิเชิงยิ้มคู่นั้นของตี้ฝูอี มีส่วนที่คล้ายคลึงกับมหาเทพยิ่งนัก ทำให้หัวใจของเขาพลันหนาวยะเยือก รู้ว่าฝ่าบาทน้อยผู้นี้โกรธเคืองจริงๆ แล้ว…คิดจะใช้เซียนหญิงอิ้งเสวี่ยผู้นี้เป็นเยี่ยงอย่าง เชือดไก่ให้ลิงดู!
จักรพรรดิเซียนอับจนหนทาง เขายังคงไม่ต้องการล่วงเกินคนของตำหนักนภาลัย ทำได้เพียงสั่งการให้ลงโทษเซียนหญิงอิ้งเสวี่ยผู้นี้อย่างหนัก ลงโทษตัดลิ้นแล้วเพิ่มทัณฑ์สายฟ้าเข้าไปอีก
เซียนหญิงอิ้งเสวี่ยไม่เคยคาดคิดถึงเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลย ตกตะลึงจนสีหน้าซีดเผือด โขกศีรษะขอความเมตตาจากจักรพรรดิเซียน
เหล่าเซียนที่เหลือเห็นเพื่อนร่วมชะตากรรมถูกลงทัณฑ์ ก็พากันคุกเข่าขอความเมตตาให้เซียนหญิงอิ้งเสวี่ย ต่างแสดงความคิดเห็นของตน บอกว่างานเลี้ยงผกาเซียนในวันนี้เป็นงานมงคล ไม่เหมาะจะลงทัณฑ์หลั่งเลือดเป็นต้น
จักรพรรดิเซียนมองไปที่ตี้ฝูอี ตี้ฝูอีแย้มยิ้มมุมปาก มองดูเหตุการณ์นี้ ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดปากเลย
จักรพรรดิเซียนรู้สึกว่าเหล่าเซียนค่อนข้างโง่เขลา จะมาโขกศีรษะให้เขาเพื่ออะไร?! คนที่พวกเขาล่วงเกินไม่ใช่เขาเสียหน่อย…
เมื่อเห็นเซียนหญิงอิ้งเสวี่ยที่น่าสงสาร จึงลอบส่งกระแสเสียงให้นางอย่างจนปัญญา ให้นางขอความเมตตากับตี้ฝูอี
ในที่สุดเซียนหญิงอิ้งเสวี่ยก็มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว รีบโขกศีรษะขอความเมตตาจากตี้ฝูอีอีกครั้ง เหล่าเซียนก็ทราบกระจ่างแล้วเช่นกัน ย่อมพากันขอความเมตตาจากตี้ฝูอีด้วย
ตี้ฝูอีรอจนพวกเขาโขกศีรษะไปพอสมควรแล้วถึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
“ฝ่าบาท กฏสวรรค์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยคำวิงวอนของมนุษย์หรือไม่?”
จักรพรรดิเซียนพูดไม่ออกเลย
ย่อมไม่ได้อยู่แล้ว!
เขาถอนหายใจ ทำได้เพียงสั่งให้คนนำตัวเซียนหญิงอิ้งเสวี่ยลงไปรับโทษ
เซียนหญิงอิ้งเสวี่ยแทบจะไร้เรี่ยวแรงแล้ว ทว่าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว…
เหล่าเซียนที่เหลือต่างปิดปากเงียบปานจักจั่นในฤดูหนาว ไม่กล้าพูดเหลวไหลอีกต่อไป
ไม่กี่คนที่ก่อนหน้านี้เคยมีส่วนร่วมในการสนทนาสำนึกเสียใจอย่างยิ่ง เกรงว่าจะถูกลงโทษไปด้วย พยายามหดตัวไปด้านหลัง ลดความมีตัวตนให้น้อยลง
กู้ซีจิ่วมองอยู่ด้านข้าง รู้สึกชื่นชมวิธีการของตี้ฝูอี
………………….