บทที่ 2174 หรือว่าจะรู้แจ้งแล้ว?
ยามกะสามของคืนวันพรุ่งคือช่วงเวลาที่พิรุณโลหิตจะตกลงมา และไหล่เขาที่ชาวบ้านหยุดพักก็อยู่ห่างจากเมืองลั่วฮวาถึงแปดสิบลี้ ซ้ำหนทางยังเต็มไปด้วยพงหนามรกชัฏ เดินทางลำบากยิ่ง ระหว่างทางอาจจะถูกสัตว์ร้ายโจมตีด้วย ยังต้องต่อสู้กันอีกหลายยก หากว่าชาวบ้านออกเดินทางเช้าวันรุ่งขึ้นดังว่า ตกค่ำไปถึงเมืองลั่วฮวาได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว เวลาจึงกระชั้นชิดถึงเพียงนั้น
ดังนั้นกู้ซีจิ่วขบคิดดูเล็กน้อย หารือกับตี้ฝูอี คิดจะแยกกันทำงาน
ตี้ฝูอีรับหน้าที่ตามล่าจูผอหลง เก็บผลึกเข้าสู่เมือง
เธอจะพาทั้งสิบสองคนกลับไปที่เนินเขา พรุ่งนี้เช้าจะพาชาวบ้านที่ถูกขังออกมาด้วย
สิบสองคนนี้รู้วิธีตามหาจูผอหลง ล้วนถ่ายทอดทุกอย่างที่ทราบแก่ตี้ฝูอี มีวิธีอยู่ในมือแล้ว ด้วยความสามารถของตี้ฝูอี การล่าสังหารจูผอหลงไม่กี่ตัวในระยะเวลาหนึ่งวันเต็มนั่นเป็นเรื่องที่อยู่มือยิ่งนัก
หลังจากตี้ฝูอีฟังเธอเล่าจบก็ปฏิเสธทันที บอกว่าเขาไปล่าจูผอหลงได้ แต่ต้องรอให้เขาพาเธอกับสิบสองคนนี้กลับไปส่งที่เนินเขาก่อนถึงจะจากไปได้
ถึงอย่างไรกู้ก็ซีจิ่วก็ไม่สามารถพาสิบสองคนนี้เคลื่อนย้ายไป และการเดินทางก็อันตราย ซ้ำยังเป็นการเดินทางยามราตรีที่เหล่าสัตว์ร้ายคลุ้มคลั่งอีก อันตรายยิ่งนัก เขาไม่วางใจ
กู้ซีจิ่วถกเถียงกับเขาอยู่พักหนึ่งก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้ ทำได้เพียงยอมตกลง
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงเดินทางกลับ…
โชคดีที่ศิษย์ของสำนักตามสุริยันสิบสองคนนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น ต่อให้เดินทางบนเส้นทางภูเขาที่มีพงหนามรกชัฏเช่นนี้ก็เสมือนเดินบนพื้นราบ เมื่อวิ่งขึ้นมาแล้วรวดเร็วกว่าสายลมเสียอีก ไม่มีอืดอาดล่าช้าเลย ระหว่างทางย่อมถูกสัตว์ร้ายเข้าโจมตีเช่นกัน สิบสองคนนี้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เมื่อต้องสู้ก็ดุดันปราดเปรียว ประกอบกับมีกู้ซีจิ่วและตี้ฝูอีเป็นกองหนุน การเดินทางครั้งนี้จึงราบรื่นไร้อันตราย…
ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักตามสุริยันที่เป็นหัวหน้ากลุ่มนามว่าเจ้าเฟิงฉิง เป็นคนเลือดร้อนและซื่อสัตย์มีคุณธรรมยิ่งนัก เขาวิ่งไปพลางทอดถอนใจไปพลาง
“ไม่นึกเลยว่าพวกท่านจะถูกขังอยู่ในส่วนลึกของหุบเขา ว่ากันตามจริงแล้ว ข้าเคยได้ยินมาว่า ยิ่งเข้าสู่ส่วนลึกของหุบเขามากเท่าไหร่สัตว์ก็จะดุร้ายมากขึ้นเท่านั้น แถมยังมีสัตว์ประหลาดโผล่ออกมาบ่อยๆ ด้วย เมื่อหลายปีก่อนเคยมียอดฝีมือผู้เลิศล้ำเข้าไปผจญภัยในหุบเขา ล้วนไม่ได้กลับออกมาอีก…”
ตอนที่เจ้าเฟิงฉิงเอ่ยประโยคนี้ออกมา ได้อยู่ห่างจากเนินเขานั้นประมาณสิบสองสิบสามลี้แล้ว
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าวรยุทธ์ของเจ้าเฟิงฉิงผู้นี้แม้จะมิใช่ยอดฝีมือผู้เลิศล้ำ แต่ความสามารถด้านปากพาซวยนี้แม่นยำเป็นที่หนึ่งเลย เขาเพิ่งจะกล่าวประโยคนี้ออกมา บนพื้นที่ห่างออกไปไม่ไกลมีหมอกดำสายหนึ่งผุดขึ้นมาแล้ว…
อากาศรอบข้างพลันหนาวยะเยือกกดทับคนทันที!
ท่ามกลางหมอกดำมีเงาร่างดำทะมึนขนาดเท่าภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งเร้นอยู่อย่างเลือนราง…
มีบางคนอุทานเสียงแผ่ว
“สวรรค์ เจ้าตัวนี้จุดโคมสองดวงด้วย…หรือว่าจะรู้แจ้งแล้ว?”
กู้ซีจิ่วแทบจะกลอกตาแล้ว เธอชักกระบี่ออกจากฝักทันที
“นี่มันใช่โคมไฟเสียที่ไหน นี่เป็นดวงตาของสัตว์ประหลาด!”
ขณะที่เธอกำลังจะร้องบอกให้ตี้ฝูอีเข้าไปโจมตีด้วยกัน จู่ๆ ตี้ฝูอีก็ตะโกนขึ้นมา
“อย่าคิดสู้ รีบหนีเร็ว!”
ประโยคนี้เพิ่งจะเปล่งออกมา จู่ๆ กลุ่มเงาดำเบื้องหน้าก็แตกฮือ แยกย้ายกระจายตัว กลายเป็นควันดำสิบกว่าสายหลั่งไหลทะยานมาทางพวกกู้ซีจิ่ว
ในราตรีอันมืดมิดกู้ซีจิ่วมองเห็นได้ชัดเจน นี่ไม่ใช่สัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง แต่เป็นฝูงสัตว์ประหลาดที่บินได้หลายร้อยตัว รูปร่างคล้ายตั๊กแตนอยู่บ้าง ทว่าขนาดใหญ่กว่าตั๊กแตนไม่รู้กี่เท่า แต่ละตัวมีขนาดเท่ามนุษย์คนหนึ่ง กวัดแกว่งสองขาหน้าดูคล้ายคมเคียวสีดำที่ส่องประกายเยียบเย็น ราวกับอสูรรัตติกาล…
สัตว์ประหลาดชนิดนี้กู้ซีจิ่วเรียกชื่อไม่ถูก แต่ดูทรงก็รู้แล้วว่าไม่อาจยั่วยุได้!
หากว่าเจ้าสิ่งนี้โผล่มาแค่สามตัวห้าตัว พวกเขายังพอรับมือได้ แต่มาโจมตีหลายร้อยตัวในคราวเดียวเช่นนี้…
————————————————————————————-
บทที่ 2175 กลับเมือง
ก็ต้องหนีน่ะสิ!
กู้ซีจิ่วเป็นหัวขบวน สิบสองคนวิ่งอยู่ตรงกลาง ตี้ฝูอีปิดท้าย สิบสองคนนั้นล้วนใช้ความเร็วอย่างสุดกำลัง แม้แต่เรี่ยวแรงที่สะสมไว้ก็ใช้ออกมาจนสิ้นแล้ว ห้อตะบึงจนฝุ่นตลบ มุ่งไปข้างหน้า…
โชคดีที่ความเร็วของคนกลุ่มนี้รวดเร็วปานติดปีก สัตว์ประหลาดที่คล้ายตั๊กแตนเหล่านั้นจึงไล่ตามพวกเขาไม่ทันชั่วขณะ
เพียงแต่เจ้าสิ่งเหล่านั้นมีความอดทนยิ่งนัก ถึงไล่ไม่ทันก็ไม่ยอมปล่อยไปอยู่ดี…
เบื้องหน้ามองเห็นช่องเขาแล้ว ฝีเท้ากู้ซีจิ่วชะงักลงทันที!
ผ่านช่องเขานั้นไปก็จะเป็นเชิงเขาที่ทุกคนพักผ่อนอยู่ ที่นั่นมีเด็กและสตรีไม่น้อยเลย ถ้าพวกเขาเข้าไปเช่นนี้ หากว่าดึงดูดสัตว์ประหลาดเหล่านั้นเข้าไปด้วย…ไม่กล้าจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาเลย!
เธอกุมกระบี่หันหลังกลับ กำลังจะร้องบอกให้สู้ ฆ่าหนึ่งตัวก็ลดลงหนึ่งตัว
ยังไม่ทันได้กล่าวประโยคนี้ออกจากปาก ก็เห็นว่าเงาดำที่ไล่ตามมาปานคลื่นยักษ์ซัดถาโถมหยุดลงแล้วเช่นกัน…
เธอใจเต้นแวบหนึ่ง พาทุกคนพุ่งทะยานไปด้านหน้าอีกยี่สิบสามสิบลี้ดู จากนั้นก็หันกลับไปมอง ตั้งท่าเตรียมพร้อมหากว่าเจ้าสิ่งเหล่านี้ยังตามมาอีก เธอก็จะสู้ตายกับพวกมัน
ผลคือเงาดำเหล่านั้นไม่ขยับเขยื้อนตามมาแล้ว กระพือปีกบินวนอยู่ที่เดิม กรีดร้องเสียดหูอยู่ไม่หยุด ดวงตาสีแดงนับไม่ถ้วนจับจ้องพวกกู้ซีจิ่ว ราวกับตัดใจไม่ลงยิ่งนัก…
แต่ก็คล้ายว่าจะพะวักพะวง ไม่กล้าเข้ามาอีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าพวกนี้ก็รวมตัวกันอีกครั้ง กลายเป็นหมอกดำกลุ่มใหญ่ จากนั้นก็ค่อยๆ ม้วนถอยไป…ไม่นานก็หายไปจนหมดสิ้น
ทุกคนวิ่งกันจนเหงื่อเปียกชุ่ม แต่ก็อย่างโล่งอกแล้ว
คาดไม่ถึงว่าอันตรายจะคลี่คลายลงเช่นนี้ นึกว่าจะเกิดศึกใหญ่ฉากหนึ่งขึ้นเสียแล้ว!
เนื่องจากในป่ามีสัตว์ป่าคลุ้มคลั่งวิ่งอาละวาดมากมาย ระหว่างที่พวกเขาหลบหนีอยู่ก็ได้พบเห็นสัตว์ต่างๆ ไม่น้อยเลย แต่พอพวกมันถูกตั๊กแตนที่ราวกับหมอกทมิฬครอบคลุมไว้ พริบตาเดียวก็เหลือเพียงซากกระดูกขาวโพลน เขย่าขวัญคนยิ่ง
โครงกระดูกมากมายยังคงอยู่ในท่าวิ่งโผนหรือไม่ก็กำลังต่อสู้ ทำให้คนมองแล้วหนังศีรษะชาหนึบขึ้นมา
“เห็นทีว่าในช่องเขานี้จะมีบางสิ่งที่ทำให้เจ้าพวกนี้หวาดกลัวอยู่”
เจ้าเฟิงฉิงปาดเหงื่อบนหน้าผาก
กู้ซีจิ่วใจเต้นนิดๆ เธอนึกถึงหมอกแดงครอบคลุมหุบเขาที่จำแลงมาจากไอฮุ่นตุ้น…
บางทีสิ่งที่ทำให้สัตว์ร้ายเหล่านี้หยุดลงอาจเป็นไอฮุ่นตุ้นนั้นกระมัง? ไม่นึกเลยว่าเชิงเขาที่พวกเขาหยุดพักผ่อนโดยบังเอิญจะกลายเป็นทำเลทองแห่งหนึ่ง
หากว่าไม่เข้าเมือง ให้ผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่ก็คงไม่เลว…
แน่นอน ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมองเธอเพียงแวบเดียว จากนั้นตัวก็ปัดตกไปเอง
ถึงแม้เชิงเขาแห่งนั้นจะไม่ถูกสัตว์ร้ายโจมตี แต่ก็เปิดโล่งโจ้ง หากมีพิรุณโลหิตอันใดตกลงมาจริงๆ ผู้คนไม่มีทางหลบเร้นได้ ยังต้องเข้าเมืองอยู่ดี
ในที่สุดชาวคณะก็อ้อมพ้นเชิงเขา มองเห็นเหล่าชาวเผ่าที่พักผ่อนอยู่ตรงนั้น…
ก่อนกู้ซีจิ่วจะออกไปได้สั่งการทุกคนไว้ไม่ว่าจะได้ยินเสียงใดจากด้านนอกหุบเขาก็ห้ามออกไปชมเรื่องครื้นเครง หัวหน้าเผ่าควบคุมทุกคนได้ดียิ่ง เมื่อครู่พวกกู้ซีจิ่วส่งเสียงครึกโครมกันปานนี้ ก็ไม่มีใครวิ่งออกมาดูเลย
มีเพียงเถี่ยตั้นและเถี่ยหนิวสองคนที่คอยเฝ้าอยู่ตรงละแวกช่องเขาอย่างระแวดระวัง พอเห็นพวกกู้ซีจิ่วกลับมา ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบเข้ามาต้อนรับ…
กู้ซีจิ่วพาสิบสองคนนั้นไปพบหัวหน้าเผ่า ทุกคนล้วนดีใจนัก
มีสิบสองคนนี้เข้ามาเสริมทัพ ความหวังในการหนีออกไปของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นมาก
รุ่งสางวันถัดมา ทุกคนทำตามแผนของกู้ซีจิ่ว หลังจากตะวันขึ้น ก็เดินทางออกจากหุบเขา มุ่งสู่งทิศทางของเมืองลั่วฮวา
ตอนกลางวันสัตว์ร้ายลดน้อยลงมากจริงๆ ประกอบกับมียอดฝีมือมากมายเช่นนี้คอยคุ้มกัน ทุกคนจึงเดินทางอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางถูกสัตว์ร้ายเข้าโจมตีอยู่สิบครั้ง ล้วนถูกสังหารขับไล่จนล่าถอยไป
เมื่อตะวันตกดิน ในที่สุดขบวนอันยิ่งใหญ่นี้ก็เดินทางมาถึงด้านล่างเมืองลั่วฮวาแล้ว…
มองเห็นกำแพงเมืองสูงใหญ่สีเขียวหม่นอยู่ลิบๆ รวมถึงทหารที่เดินลาดตระเวนอยู่บนกำแพงเมือง เหล่าชาวเผ่าก็ตื่นเต้นจนแทบจะหลั่งน้ำตาแล้ว…
….
“พวกผู้ใหญ่เข้าเมืองได้ สตรีที่อายุต่ำกว่าสามสิบก็เข้าได้ เด็กและสตรีที่อายุสามสิบขึ้นไปไม่ต้องการ! เมืองลั่วฮวาไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์!”
นี่เป็นถ้อยคำที่เจ้าพนักงานเมืองของเมืองกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา ผลักชาวบ้านที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะบากบั่นมาถึงที่นี่ได้ลงสู่ขุมนรกทันที…
————————————-