บทที่ 2204 หึงหวง? เจ้าคู่ควรหรือ?
เขาลุกขึ้นแล้วไปที่เรือนหลัง
เมื่อเทียบกับความโอ่อ่าหรูหน้าของเรือนหน้าแล้ว รูปแบบของเรือนหลังมีความเรียบง่ายสันโดษกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เรือนเล็กด้านหลังอิฐทำจากหยกเขียว หลังคากระเบื้องเคลือบ ข้างทางมีทิวไผ่เขียวเรียงราย ใต้ต้นไผ่มิใช่สวนดอกไม้แต่เป็นแปลงสมุนไพร ในอากาศมีกลิ่นสมุนไพรอวลอยู่จางๆ
สาวใช้สองนางยืนอยู่หน้าเรือน เมื่อเห็นเย่หลิงมา ก็ค้อมตัวนิดๆ
“ท่านเจ้าเมือง”
เย่หลิงแค่พยักหน้าให้เล็กน้อย ผลักประตูเข้าไป
ผ้าม่านสีม่วงเข้มในเรือนหนาทึบ มองผ่านผ้าม่านที่หนาทึบไปจะเห็นสตรีชุดขาวนางหนึ่งนั่งอยู่บนเตียง
“อาหลัว เจ้าเรียกข้ามามีเรื่องใดหรือ?”
เย่หลิงกล่าวทักทายผู้ที่อยู่ในม่าน น้ำเสียงอ่อนโยน
สตรีชุดขาวนางนั้นมองเขาอย่างเยือกเย็นไม่พูดไม่จา
บนร่างนางมีรัศมีเยือกเย็นประการหนึ่ง ดุจบงกชที่เบ่งบานท่ามกลางหิมะเหมันต์ ทำให้เย่หลิงไม่กล้าล่วงเกิน
เย่หลิงถูกนางมองจนหนังหัวชาหนึบแล้ว ทว่ายังคงยิ้มแวบหนึ่ง
“มีอะไรหรือ? คงไม่ได้เชิญข้ามาพูดคุยตามประสาครอบครัวกระมัง?”
‘เพียะ!’
จู่ๆ แขนเสื้อของสตรีชุดขาวนางนั้นก็สะบัดเข้ามา สายลมจากแขนเสื้อฟาดลงบนหน้าเย่หลิง เกิดเสียงดังเพียะ เกิดเสียงก้องกังวาน
ในที่สุดสตรีผู้นั้นก็เปิดปากเอ่ย
“เย่หลิง ดูเหมือนเจ้าจะลืมฐานะของเจ้าไปแล้วนะ!”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกปานน้ำพุ
เย่หลิงชะงักไปเล็กน้อย ยกมือลูบแก้มตน
“อาหลัว ข้าย่อมจดจำฐานะของตนได้”
น้ำเสียงเคารพนบน้อบ ดวงตาที่หลุบต่ำฉายแววเยียบเย็นแวบหนึ่ง
“เหตุใดจึงสังหารหลิงเฟิง?”
หลิงเฟิงคือเจ้าพนักงานเมืองคนนั้น
เย่หลิงถอนหายใจเบาๆ
“หลิงเฟิงฝ่าฝืนกฎของเมืองลั่วฮวา ข้าเองก็จนใจเช่นกัน”
“โกหก! เปิ่นกงได้ยินว่าเจ้าทำเพื่อเอาใจสตรีนางหนึ่ง!”
“บนโลกนี้นอกจากเจ้าแล้ว ยังจะมีสตรีใดที่ควรค่าให้ข้าเอาใจอีกเล่า? อาหลัว เจ้าอย่าได้น้อยใจข้าเลย…”
“เฮอะ ข้าน้อยใจเจ้าหรือไม่เจ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ อย่ามาตลบตะแลง!”
“เจ้าหึงหวงหรือ?”
“หึงหวง? เจ้าคู่ควรหรือ?”
น้ำเสียงสตรีชุดขาวนางนั้นเรียบเฉย ทว่าคมกริบปานใบมีด
แพขนตาของเย่หลิงบดบังนัยน์ตาอีกครั้ง ถอนหายใจเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก
สตรีนางนั้นคล้ายจะไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง เอ่ยอย่างเย็นชา
“เย่หลิง เจ้าอย่าได้ลืมฐานะของเจ้า อันสิ่งที่เรียกว่าสามีภรรยาเป็นเพียงละครปาหี่เท่านั้น ในสายตาของเปิ่นกงเจ้าก็เป็นแค่บ่าวคนหนึ่ง ความสามารถของเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าล้วนเป็นเปิ่นกงที่ให้ทานเจ้า ถ้าไร้ซึ่งเปิ่นกงเจ้าก็มิใช่ตัวอันใดเลย!”
“ขอรับ เย่หลิงทราบแล้ว”
เย่หลิงยังคงก้มหน้าเช่นเดิม
“ไม่จำเป็นต้องมาเสแสร้งว่าง่ายเช่นนี้ต่อหน้าเปิ่นกง เจ้านึกว่าเปิ่นกงไม่รู้เรื่องเหล่านั้นที่เจ้าก่อไว้ด้านนอกหรือ? เลี้ยงนางเล็กๆ ไว้ในเรือนนอกมากน้อยเพียงใดแล้ว? เปิ่นกงแค่ไม่เก็บเรื่องเหล่านี้มาใส่ใจเท่านั้น หลับตาข้างลืมตาข้างปล่อยผ่านไป ขอเพียงเจ้าไม่ทำให้การงานล่าเพราะกามา เปิ่นกงก็ไม่สนใจเจ้า แต่วันนี้เจ้ากลับสังหารคนสนิทของเปิ่นกงเพื่อสตรีคนหนึ่ง! เจ้าหาที่ตายหรือ? ไม่ต้องการตำแหน่งเจ้าเมืองนี้แล้วกระมัง?”
เย่หลิงสูดหายใจเบาๆ ทราบว่าปิดบังเรื่องของตนต่ออีกฝ่ายไม่ได้แล้ว จึงยอมรับตามตรง
“อาหลัว กับสตรีเหล่านั้นข้าล้วนเล่นด้วยอย่างฉาบฉวยทั้งสิ้น ไม่ได้เก็บพวกนางมาใส่หัวใจเลย ส่วนสตรีที่เข้าเมืองมาวันนี้ ข้าก็ไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน นางมีวรยุทธ์พิสดารเลิศล้ำ หากว่าชักจูงมาเป็นพวกได้ จะกลายเป็นแขนขาให้พวกเราได้แน่นอน…”
“หืม? ยากนักที่เจ้าจะชมเชยผู้อื่นเช่นนี้ เห็นทีว่าวรยุทธ์ของสตรีนางนั้นจะเลิศล้ำยิ่ง เทียบกับเปิ่นกงแล้วเป็นอย่างไร?”
“นี่…พลังวิญญาณของนางประมาณขั้นหกขั้นเจ็ด ย่อมเทียบกับองค์หญิงอย่างท่านไม่ได้ เพียงแต่วิชาตัวเบาของนางพิสดารนัก ต่อให้อยู่ห่างออกไปหลายร้อยจั้ง นางก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าผู้อื่นได้ในชั่วพริบตา…”
————————————————————————————-
บทที่ 2205 เจ้าอยากแต่งกับผู้ใดก็แต่งไปสิ
‘แคว่ก!’
เกิดเสียงฉีกผ้าดังขึ้น แพรโปร่งในมือของสตรีชุดขาวนางนั้นถูกฉีกออกเป็นสองส่วน
“สตรีนางนั้น…ชื่อว่าอะไร?”
น้ำเสียงเจือแววเฉียบคมไว้รางๆ
เย่หลิงนิ่งไปเล็กน้อย
“สหายร่วมกลุ่มของนางเรียกนางว่าสือโทว”
“สือโทว?”
สตรีชุดขาวผงะไป มือที่ขยุ้มแพรโปร่งเอาไว้คลายออกแล้ว เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ชื่อบ้านนอกปานนี้เชียว?”
เย่หลิงยิ้มแล้ว
“พวกเขาเหล่านี้ล้วนมาจากถิ่นกันดาร นามย่อมพื้นๆ สามัญยิ่งนัก ชื่อเถี่ยตั้นเอย เถี่ยหนิวเอย ชุนเฉาเอย สือโทวผู้นี้เป็นบุตรีของหัวหน้าเผ่า…”
สตรีชุดขาวมุ่นคิ้วนิดๆ
“รูปโฉมนางเป็นเช่นใด?”
“อายุราวสิบแปดสิบเก้า รูปร่างบอบบางอ้อนแอ้น ผิวสีน้ำตาลอ่อน ท่าทางแข็งแรง ทำไมหรือ? อาหลัว เจ้ารู้จักนางหรือ? ไม่ถูกสิ กลุ่มคนที่เพิ่งเข้ามาวันนี้นอกจากหัวหน้าเผ่าคนนั้นแล้ว ที่เหลือล้วนกำเนิดในหุบเขาที่ถูกผนึกไว้แห่งนั้น เพิ่งจะหนีรอดออกมาในครั้งนี้…”
สตรีชุดขาวนางนั้นขมวดคิ้ว ประกายแสงพาดผ่านนัยน์ตา
หรือว่าจะบังเอิญ?
“ได้ยินว่าหัวเผ่าผู้นั้นบอกว่าตนคือฮวาจื่อชุนบุตรชายอดีตเจ้าเมืองหรือ?”
เย่หลิงยกยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง
“หลายปีมานี้ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นเขามีน้อยเสียที่ไหน? เพียงแต่คนในครานี้ดูเหมือนจะอายุมากที่สุดแล้ว เป็นตาเฒ่าวัยใกล้ลงโลงแล้ว ผมหงอกไปทั้งหัว ใบหน้ายับย่นปานเปลือกไม้…”
สตรีชุดขาวเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่แน่ว่าหนนี้อาจจะเป็นตัวจริงก็ได้ หากว่าฮวาจือชุนยังมีชีวิตอยู่ น่าจะอายุร้อยสี่สิบกว่าปีแล้ว หากเขาไม่มีพลังวิญญาณคุ้มกาย ก็คงอยู่ในวัยแง้มฝาโลงแล้วจริงๆ เจ้าระวังไว้บ้างเถอะ ถึงอย่างไรการตายของบิดาเขาก็เป็นฝีมือเจ้า!”
เย่หลิงไม่ใส่ใจ
“อย่าว่าแต่ไอ้เฒ่าคนนั้นไม่ใช่เขาเลย ต่อให้ใช่เขาแล้วอย่างไรเล่า? ก็แค่ไอ้เฒ่าใกล้ลงโลงคนหนึ่งเท่านั้น”
“เฮอะ เจ้าระวังตัวไว้หน่อยเถอะ อย่าได้ถูกผู้อื่นเล่นงานเข้า เมื่อถึงเวลานั้นระวังจะตายโดยไม่รู้ตัว!”
“อาหลัว นี่เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ?”
“เหอะๆ อย่าหลงตัวเองให้มันมากนัก! เปิ่นกงแค่ไม่อยากให้เจ้าทำให้งานใหญ่ล่าช้าเท่านั้น”
“อืม อาหลัววางใจเถิด ข้าจะใช้ชีวิตให้ดี ควบคุมเมืองนี้เอาไว้ ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นเลยสักนิด”
“เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว! เจ้าออกไปได้แล้ว!”
สตรีชุดขาวไล่แขกอย่างไม่เกรงใจ
เย่หลิงก็ไม่ทำตัววอแวนัก เดินออกไป ยามที่จะก้าวออกประตูไปคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง
“ครั้งนี้มีคนเข้ามาสองกลุ่ม ในกลุ่มหนึ่งมีบุรุษที่ร้ายกาจเป็นพิเศษด้วย ผลึกวิญญาณเหล่านั้นก็เป็นเขาที่ล่ามาได้ บุรุษผู้นี้ค่อนข้างประหลาด วรยุทธ์สูงส่งจนน่าเหลือเชื่อ…รุ่งสางวันพรุ่งเขาจะบุกเดี่ยวไปล่าผลึกวิญญาณระดับหนึ่ง”
สตรีชุดขาวนางนั้นดูไม่หือไม่อือเท่าไหร่
“เช่นนี้ก็ดี มียอดฝีมือมา ผลึกวิญญาณของพวกเราจะได้เพิ่มพูนขึ้น เจ้าดึงตัวเขามาเป็นพวกให้ดี คนมีความสามารถเช่นนี้อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้”
“เข้าใจแล้ว”
เย่หลิงหันหลังหมายจะจากไป
“บุรุษผู้นั้นมีรูปลักษณ์อย่างไร? มีจุดเด่นอันใด?”
“เขาสวมหน้ากากไว้ มองไม่เห็นใบหน้า เพียงแต่ยามที่เขามาได้สวมชุดสีม่วงที่คล้ายกับของข้า…”
สตรีชุดขาวทึ่มทื่อไปทันที
“เขาชื่อเสียงเรียงใด?”
น้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย
“ยังไม่ทราบนามของเขา เพียงแต่สหายร่วมกลุ่มของเขาเรียกเขาว่าคุณชายตี้”
สตรีชุดขาวนิ่งงันไปแล้ว
เย่หลิงรออยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่เห็นนางว่าอะไรอีก จึงนิ่งไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
“อาหลัว ข้าคิดจะแต่งสตรีนามว่าสือโทวผู้นั้นมาเป็นอนุ เจ้าเห็นว่าอย่าง…”
“เจ้าอยากแต่งกับผู้ใดก็แต่งไปสิ เปิ่นกงไม่สนใจ! อย่าให้การงานของพวกเราล่าช้าก็พอ”
“…ได้”
….
กู้ซีจิ่วคงจะเหนื่อยเกินไป หลับใหลไปจนถึงยามฟ้าสาง
———————————-