บทที่ 2248 คนผู้นี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยยิ่ง!
ถึงแม้ฐานประชากรจะไม่นับว่ามากนัก แต่การค้นหาคนหนึ่งจากประชากรสิบล้าน นั่นเป็นการงมเข็มในมหาสมุทรอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“ซีจิ่ว ข้าสงสัยว่าคุณชายฝูอีจะกลับดินแดนเบื้องบนไปนานแล้ว”
ยามที่อวิ๋นเยียนหลีเอ่ยประโยคนี้ออกมา เขากับซีจิ่วกำลังอยู่ในเมืองซุ่ยเย่
ตี้ฝูอีหายตัวไปกว่าหนึ่งปีแล้ว
หนึ่งปีมานี้กู้ซีจิ่วตระเวนไปยังเก้าเมืองในทวีปนี้ แทบจะฝากรอยเท้าไปไว้ทั่วแดนอสุราแล้ว
หากว่าตี้ฝูอียังรั้งอยู่ในแดนอสุรา เนื่องด้วยเหตุผลเรื่องพิรุณโลหิต เขาจะต้องเข้าเมืองแน่นอน
ด้วยนิสัยของเขาหากมิใช่ที่พักชั้นดีจะไม่พำนัก ดังนั้นทุกครั้งที่กู้ซีจิ่วเข้าไปยังแต่ละเมือง ล้วนจะไปตรวจสอบตามโรงเตี๊ยมน้อยใหญ่ที่พอดูได้ในตัวเมือง ทุกห้องล้วนผ่านตามาหมดแล้ว…
แต่ไม่มีเลย!
นอกจากโรงเตี๊ยมในเมืองลั่วฮวาที่เขาเคยพำนักแห่งนั้น เธอก็ไม่เคยพบกลิ่นอายของเขาที่ไหนอีกเลย และไม่มีผู้ใดที่ทราบถึงข่าวคราวของเขาเลย
คนผู้นี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยยิ่ง!
ราวกับไม่เคยปรากฏตัวขึ้นที่แดนอสุราแห่งนี้มาก่อน…
‘ตี้ฝูอี นับจากวันนี้ไปเจ้ากับข้าทางใครทางมัน ข้าไม่อยากพบเห็นเจ้าอีกต่อไป!’
นี่คือถ้อยคำที่เธอเคยกล่าวกับเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงหายตัวไปอย่างสิ้นเชิงจริงๆ ไม่ให้เธอได้เห็นเขาอีกเลย…
เมืองซุ่ยเย่เป็นเมืองสุดท้ายแล้วสำหรับการตามหาของกู้ซีจิ่ว
ในเมืองผู้คนคับคั่งจอแจ ทว่าไม่มีคนไหนที่ใช่เขาเลย
ความจริงแล้วหนึ่งปีมานี้เกิดเรื่องราวขึ้นไม่น้อยเลย
เจ้าเมืองเย่หลิงแห่งเมืองลั่วฮวาคงจะเป็นเพราะถูกกู้ซีจิ่วใช้โอสถควบคุมซ้ำยังได้รับผลึกวิญญาณระดับหนึ่งไปแล้ว จึงดีต่อชาวเผ่าของเธอขึ้นมา
จัดแจงงานดีๆ ให้ จัดสรรเรือนดีๆให้ และให้กินอาหารดีๆ ในที่สุดชาวเผ่ากว่าร้อยคนนนั้นก็สามารถใช้ชีวิตในเมืองลั่วฮวาอย่างปลอดภัยผาสุกได้แล้ว
กู้ซีจิ่วไม่ต้องกังวลถึงอนาคตแล้ว หนึ่งปีมานี้จึงใช้เวลาไปกับการขึ้นเหนือล่องใต้ตระเวนตามหาคน
ครึ่งปีก่อนกู้ซีจิ่วเคยกลับไปที่เมืองลั่วฮวารอบหนึ่ง ได้ยินข่าวหนึ่งมา บอกว่าฮูหยินของเย่หลิงเจ้าเมืองลั่วฮวาสิ้นชีพด้วยอาการป่วยไปนานแล้ว
เนื่องจากอวิ๋นฮูหยินเป็นแขนขาของเจ้าเมือง ร่ำลือกันว่านางคือผู้อยู่เบื้องความสามารถอันแกร่งกล้าของเย่หลิง เนื่องจากเกรงว่าประชาชนจะแตกตื่น เย่หลิงจึงปิดข่าวการตายของฮูหยินไว้ จวบจนฮูหยินสิ้นชีพไปห้าเดือนแล้วข่าวนี้ถึงได้แพร่ออกมา
เนื่องจากในระยะเวลาห้าเดือนนี้ชาวเมืองลั่วฮวายังคงใช้ชีวิตผาสุกดี ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน เหล่าประชาชนจึงไม่เป็นกังวลอีก การตายของอวิ๋นฮูหยินเสมือนคลื่นน้อยๆ ระลอกหนึ่ง ยังไม่ได้ทันได้ซัดถาโถมอันใดก็สลายหายไปแล้ว
กู้ซีจิ่วก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเช่นกัน ถึงอย่างไรอวิ๋นฮูหยินผู้นี้ก็เก็บตัวเงียบเสมอมา เธอจึงไม่รู้จักมักจี่กับอีกฝ่าย
เพียงแต่เมื่อคำนวณระยะเวลาจากข่าวการสิ้นชีพของอวิ๋นฮูหยินผู้นี้แล้วเป็นช่วงเวลาหลังจากตี้ฝูอีหายตัวไปครึ่งเดือน…
แน่นอน หนึ่งปีมานี้เธอเก็บเกี่ยวผลึกวิญญาณได้ไม่น้อยเลย ด้วยการหล่อเลี้ยงจากผลึกวิญญาณเหล่านี้ พลังวิญญาณของเธอจึงฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็วยิ่ง ตอนนี้พลังวิญญาณฝึกฝนไปถึงขั้นแปดแล้ว
ที่แดนอสุราแห่งนี้ คนทั่วไปย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของเธอ
เธอสามารถสังหารสัตว์ร้ายที่มีผลึกวิญญาณระดับสองได้ง่ายดายยิ่งนัก ผนวกกับเธอมีวิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาไปมาอย่างไร้ร่องรอยได้ จึงไม่มีใครสามารถสร้างความลำบากใจให้เธอได้
กว่าครึ่งปีมานี้อวิ๋นเยียนหลีติดตามอยู่ข้างเธอตลอด เป็นเพื่อนเธอตามหาคนผู้นั้น
แน่นอน บางครั้งเขาก็มีธุระส่วนตัวของตนเช่นกัน หลังจากจัดการธุระเสร็จสิ้นก็จะมาหาเธออีก ออกตามหาเป็นเพื่อนเธอ
ระยะเวลาในการค้นหาผันผ่านไปเรื่อยๆ ผ่านพ้นไปเรื่อยๆ
เมื่อไปถึงแต่ละเมือง กู้ซีจิ่วล้วนโอบอุ้มความหวังเอาไว้
แต่ในไม่ช้า ความหวังนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวัง…
เมื่อตามหามาถึงโรงเตี๊ยมสุดท้ายในเมืองนี้ ทั้งสองคนก็ออกมา
ใกล้จะเที่ยงแล้ว จึงหาร้านอาหารสักแห่งเพื่อนั่งกินข้าวกัน
ยามนี้สกุลเงินหมุนเวียนของแดนอสุรามิใช่เงินทอง แต่เป็นตั๋วเงินของแต่ละเมืองที่ใช้ผลึกวิญญาณแลกมา
กู้ซีจิ่วเก็บเกี่ยวผลึกวิญญาณได้มากพอดู ย่อมแลกเป็นตั๋วเงินได้ไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะไปที่ใดล้วนกินดื่มได้อย่างไร้กังวล
————————————————————————————-
บทที่ 2249 ต่างคนต่างอยู่อย่างสันติ
เมืองซุ่ยเย่แห่งนี้อยู่ใกล้กับทะเลทรายนิลกาฬ และทะเลทรายนิลกาฬเป็นพื้นที่ของอาณาจักรมารอสุรา
กู้ซีจิ่วได้ทราบในระหว่างที่เดินทาง อาณาจักรมารอสุราแห่งนี้คือเผ่ามารที่ถือกำเนิดเติบโตในแดนอสุรา เผ่ามารทรงพลัง มักจะข่มเหงเผ่ามนุษย์อยู่เสมอ เคยยึดครองพื้นที่สองในสามของทั้งแดนอสุรา
ต่อมาปรากฏเซียนลึกลับผู้หนึ่งขึ้นในแดนอสุรา เซียนผู้นี้นำชาวมนุษย์เข้าทำสงครามต่อสู้กับเผ่ามารอยู่สิบปีเต็ม ในที่สุดเผ่ามารก็ยอมถอย ถอยร่อนไปอยู่ในอาณาจักรมารอสุราท่ามกลางทะเลทรายนิลกาฬ
ในที่สุดเผ่ามนุษย์รุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้น เนื่องจากเผ่ามนุษย์และเผ่ามารมักจะต่อสู้แย่งชิงดินแดนกันอยู่เสมอ ดังนั้นเผ่ามนุษย์จึงมีผู้บำเพ็ญอยู่มากมาย
เดิมทีเผ่ามนุษย์ต่างมีแนวทางบำเพ็ญฝึกฝนเป็นของตัวเอง แต่เนื่องจากสงครามครั้งนั้น ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่ได้ฝึกฝนวรยุทธ์จากเซียนลึกลับผู้นั้น โดยเฉพาะการศึกแนวทางการบำเพ็ญฝึกฝนพลังวิญญาณ ส่วนใหญ่ล้วนมีที่มาจากเซียนลึกลับผู้นั้น
เซียนผู้นี้ลึกลับยิ่ง ไม่เคยเผยโฉมต่อหน้าผู้คนเลย บางครั้งที่ปรากฏตัวขึ้นมาก็จะสวมชุดดำ มีหน้ากากภูตผีบดบังใบหน้า ดังนั้นจึงไม่มีใครเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเซียนผู้นี้ ทุกคนเพียงเรียกขานเขาอย่างยกย่องว่า “ท่านเซียนอสุรา” เห็นเขาเป็นเทพผู้พิทักษ์แดนอสุรา
เผ่ามนุษย์ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ยี่สิบกว่าปี ต่อมาก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดไอวิญญาณหดหายไปในชั่วข้ามคืน สัตว์ร้ายอาละวาด พิรุณโลหิตที่โปรยปรายลงมาทุกสิบวัน ทำให้ชาวมนุษย์ในแดนอสุราแทบจะสูญพันธ์ไปหมด โชคดีที่ในช่วงเวลาคับขันท่านเซียนอสุราที่เงียบหายไปกว่ายี่สิบปีก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ใช้พลังเซียนปลุกเสกเก้าเมืองใหญ่ รับผู้บำเพ็ญชาวมนุษย์ที่รอดชีวิตไว้ แล้วแสวงหาผู้ที่มีชะตาพิเศษเก้าคนมาจากเหล่าผู้บำเพ็ญชาวมนุษย์มารับตำแหน่งเจ้าเมือง ตามที่กล่าวคือผู้บำเพ็ญเหล่านี้มีดวงชะตาพิเศษสามารถสร้างเขตแดนกำบังเหนือเมืองนั้นๆ ได้ หากขาดพวกเขาไป เมืองจะถูกพิรุณโลหิตทำลายล้าง…
มนุษย์คิดว่าภัยพิบัติใหญ่นี้เป็นฝีมือของเผ่ามาร แต่หลายปีมานี้เผ่ามารไม่ได้ฉวยโอกาสโจมตีเก้าเมืองใหญ่เลย กลับเร้นกายเงียบหายยิ่งกว่าเดิม เพียงแต่เผ่ามนุษย์มิได้ลดความระแวดระวังที่มีต่อพวกเขาลงเลย กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเผ่ามนุษย์คิดว่าที่เผ่ามารเป็นเช่นนี้เพราะเตรียมการใหญ่ไว้เบื้องหลัง…
ผู้บำเพ็ญบางส่วนคิดจะเข้าโจมตีเผ่ามารก่อน จึงส่งยอดฝีมือไปสอดแนมที่อาณาจักรมารอสุรา ผลคือคนที่ถูกส่งเข้าไปล้วนมิได้หวนกลับมา
ภายหลังมียอดฝีมือคนหนึ่งหนีรอดออกมาได้อย่างยากลำบากยิ่ง เหล่ามนุษย์ถึงได้ทราบว่าสถานที่แห่งนั้นมิใช่สถานที่ที่มนุษย์จะอยู่อาศัยได้ เพลิงอนธการแผ่ไปทั่วปฐพี สัมผัสเพียงนิดก็เผาผลาญมนุษย์ให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ แต่คนของเผ่ามารกลับอยู่ที่นั่นได้โดยไม่ทุกข์ไม่ร้อน…
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่มีใครกล้าคิดจะไปรุกรานเผ่ามารอีก
สองเผ่าเป็นดั่งน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง ต่างคนต่างอยู่อย่างสันติ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในเผ่ามนุษย์มีการพูดกันไปต่างๆ นาๆ ยิ่งนักว่าเหตุใดเผ่ามารถึงไม่ได้ฉวยโอกาสเข่นฆ่าสังหารเผ่ามนุษย์
คำพูดที่พอจะเข้าเค้าที่สุดก็คือ หลายปีมานี้ภายในเผ่ามารก็มีข้อพิพาทรุนแรงเกิดขึ้นเช่นกัน จึงไม่มีเวลามาใส่ใจโลกภายนอก
“ซีจิ่ว เจ้าว่าเหตุใดเผ่ามารถึงไม่ฉวยโอกาสเข้ารุกรานโต้กลับ?”
ภายในห้องรับรองส่วนตัว อวิ๋นเยียนหลีได้โพล่งถามกู้ซีจิ่วขึ้นมา
กู้ซีจิ่วตอบอย่างเฉยเมย
“ข้าไม่เคยไปที่อาณาจักรมาร จึงไม่มีความเห็น”
อวิ๋นเยียนหลีเงียบไปเลย
ช่างเถิด ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว
หนึ่งปีมานี้ที่เขาติดตามอยู่ข้างกายนาง ถึงแม้วรยุทธ์ของนางจะไม่ได้ฟื้นฟูกลับมา แต่อุปนิสัยกลับคล้ายกับยามที่อยู่ดินแดนเบื้องบนขึ้นเรื่อยๆ และไม่เก็บสิ่งใดมาใส่ใจ ไม่ชอบพูดคุย ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเย็นชาเสมอ
เขามองไปที่นาง นางกำลังจิบสุราในจอกอยู่
หนึ่งปีมานี้ผิวพรรณของนางฟื้นฟูสู่สภาพเดิมแล้ว ผิวพรรณเนียนละเอียดราวเครื่องเครือบหยก ไม่เป็นสีน้ำตาลอ่อนเช่นนั้นอีกแล้ว
ขนตาของนางทั้งยาวทั้งหนาซ้ำยังโค้งงอน ยามที่หลุบตาอยู่เช่นนี้ ราวกับปีกผีเสื้อ ทิ้งเงารางๆ ไว้ที่ใต้ตานาง