บทที่ 2266 ถึงนางทิ้งผู้อื่นก็จะไม่ทิ้งมัน…
“ผลึกวิญญาณโดนขโมยไปแล้ว!”
“สวรรค์!”
“ผลึกวิญญาณระดับหนึ่งระดับสองหายไปหมดเลย!”
“รีบไปรายงานนายท่านเร็ว”
“แย่แล้ว ใครกันที่เข้ามาที่นี่ได้?!”
“รีบตรวจสอบ! รีบไปตรวจสอบ! ดูว่ายังมีอะไรหายไปอีกไหม…”
“โอ้สวรรค์! ชุดกันเพลิงอนธการกับคันฉ่องหยินหยางก็หายไปแล้ว!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งจวนเจ้าเมืองก็ตื่นตระหนกกันทั่วหน้า เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้น…
อวิ๋นเยียนหลียืนอยู่ในคลังเก็บสมบัตินั้น ใบหน้าด้านหลังหน้ากากเขียวคล้ำแล้ว!
เขาเคยตรวจสอบที่นี่อย่างละเอียดแล้ว ผลึกวิญญาณระดับหนึ่งระดับสองหายไปหมดเกลี้ยง ผลึกวิญญาณระดับสามก็หายไปเกือบสามพันก้อน!
สิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติก้นกรุที่เขาใช้ร้อยปีถึงสะสมมาได้ ยามนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกปล้นไปจนหมดเกลี้ยงเช่นนี้!
ผู้ใดเป็นคนทำ!
เขาปล่อยผีเสื้อโลหิตออกมา สูดดมกลิ่นอายของที่นี่ มีเพียงกลิ่นอายของตัวเขา ไม่มีกลิ่นของผู้อื่นเลย
หรือจะมีคนในยักยอกไป?
เขาหลุบตามองเจ้าเมืองซุ่ยเย่ที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นเทาอยู่บนพื้น น้ำเสียงเยียบเย็นปานจะกลั่นน้ำออกออกได้
“เจ้ามีอะไรจะพูดไหม?! เหล่านางบำเรอของเจ้าสื่อสารว่าเมื่อกี้เจ้าเข้ามาอีกครั้ง!”
เจ้าเมืองซุ่ยเย่โขกศีรษะซ้ำๆ ร้องว่าถูกปรักปรำ พยายามโต้แย้งอย่างสุดชีวิต บอกว่าตนจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร จะต้องมีคนคิดป้ายสีเขาแน่นอน…
อวิ๋นเยียนหลียิ้มหยัน
“แต่ว่าที่นี่มีเพียงมุกโลหิตของเหล่านางบำเรอเจ้าที่สามารถเปิดได้ หากว่าพวกนางไม่แน่ใจว่าใช่เจ้า จะยอมเปิดประตูให้คนนอกได้อย่างไร? เจ้าบอกมิใช่หรือว่าใช้สัญญาณลับเฉพาะกับนางบำเรอเหล่านั้น ต่อให้มีหัวขโมยที่แปลงโฉมให้เหมือนเจ้าได้ ก็จะถูกเหล่านางบำเรอมองออกอยู่ดี? แม้แต่ผู้ทรงศักดิ์อย่างข้าจะเข้ามาก็ยังต้องให้เจ้านำทาง คนอื่นจะปะปนเข้ามาได้อย่างไร?”
หยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดทั่วศีรษะเจ้าเมืองซุ่ยเย่
“นายท่าน ข้าน้อย…ข้าน้อยจะตรวจสอบให้ละเอียดขอรับ! บางที…บางทีอาจมีคนหัวแหลมบางคนเห็นสัญญาณลับของข้ากับพวกนางบำเรอ…”
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าสัญญาณลับที่เขาคิดขึ้นพิเศษยิ่งนัก ใช้วิธีแทะโลมเป็นสัญญาณลับ แล้วคนอื่นมองออกได้อย่างไร? ไปเรียนรู้จากไหน?
แววตาอวิ๋นเยียนหลีวูบไหวเล็กน้อย ปล่อยผีเสื้อโลหิตออกมาจากปลายนิ้ว ให้มันสัมผัสตำแหน่งที่อยู่ของกู้ซีจิ่ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ผีเสื้อโลหิตก็ตอบสนอง บอกเขาว่าเสือดาวเมฆาที่กู้ซีจิ่วโดยสารตัวนั้นอยู่ห่างออกไปแปดร้อยลี้ ทิศทางที่มุ่งหน้าไปคือเมืองลั่วฮวา…
กู้ซีจิ่วให้ความสำคัญกับราชาเสือดาวเมฆาตัวนั้นยิ่งนัก หนึ่งปีมานี้แทบจะไม่แยกจากกันเลย ต่อให้แยกจากกันก็ไม่เคยเกินหนึ่งชั่วยาม มักจะบอกเสมอว่าราชาเสือดาวเมฆาเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของนาง ถึงนางทิ้งผู้อื่นก็จะไม่ทิ้งมัน…
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางไม่มีทางปล่อยให้เสือดาวเมฆาไปเมืองลั่วฮวาเพียงลำพังแน่
แถมนางก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องกลับมา แล้วถ่อมาขโมยผลึกวิญญาณที่นี่…
หรือจะเป็นคนของเผ่ามาร!
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่ขโมยไป เจ้าเมืองซุ่ยเย่ผู้นี้ก็หนีไม่พ้นความผิดโทษฐานสะเพร่าหละหลวม!
ในที่สุดสายตาของอวิ๋นเยียนหลีก็ร่อนลงบนร่างของเจ้าเมืองผู้นี้…
“ใครก็ได้!”
เขาร้องเรียก น้ำเสียงอ่อนโยนบางเบาปานสายลม ทว่าวาจาที่เอ่ยออกมากลับคมกริบดุจใบมีด
“ลากเขาออกไปรับโทษโบยด้วยแส้วิญญาสลาตันสามร้อยแส้! เหลือชีวิตไว้นำผลึกวิญญาณเหล่านั้นกลับมาให้ผู้ทรงศักดิ์อย่างข้าด้วย!”
ทั้งเมืองซุ่ยเย่ล้วนสับสนอลหม่านขึ้นมาแล้ว ทหารมากมายออกปฏิบัติการ เสาะแสวงหาตัวผู้ที่ต้องสงสัยว่าจะขโมยสมบัติไป
โรงเตี๊ยมทั้งหมด ร้านอาหารทุกแห่ง บ้านเรือนทุกหลังล้วนถูกตรวจค้นทั้งสิ้น…
เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่เมืองซุ่ยเย่โกลาหลวุ่นวายกันไปทั่ว
ยามนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่พักผ่อนไปแล้ว เมื่อถูกเหล่าทหารเข้ามาก่อกวนจึงมีสีหน้าสับสนงุนงง…
กู้ซีจิ่วไม่ได้พำนักอยู่ที่โรงเตี๊ยมใดเลย เธอถึงขั้นที่ไม่ได้ออกจากจวนเจ้าเมืองด้วยซ้ำ
ตอนนี้เธอนั่งอยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เท้าแก้มมองทุกสิ่งที่อยู่ด้านล่าง
ด้านล่างมีทหารถูกส่งตัวออกไปทีละกลุ่มๆ
————————————————————————————-
บทที่ 2267 ท่านวางแผนจะชมเรื่องครื้นเครงอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?
ด้านล่างมีทหารถูกส่งตัวออกไปทีละกลุ่มๆ ทหารวิ่งวุ่นวายขวักไขว่ ทว่าไม่มีเลยสักคนที่จะชายตามองมายังต้นไม้ใหญ่ริมถนนต้นนี้เลย
แน่นอน ต่อให้มองมาก็ไม่เห็นอยู่ดี
กู้ซีจิ่วแปะยันต์เร้นกายไว้บนร่าง!
เว้นแต่จะมีคนระดับอวิ๋นเยียนหลีมาที่ใต้ต้นไม้ หาไม่แล้วจะไม่มีใครมองเห็นเธอเลย
แน่นอน ไม่มีใครนึกถึงเช่นกัน หัวขโมยที่อุกอาจผู้นั้นขโมยของแล้วไม่หลบหนี ซ้ำยังชมเรื่องครื้นเครงอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งด้วย
หยกนภามองกองทหารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าวิ่งผ่านใต้ต้นไม้ไป อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
‘ไม่น่าเชื่อว่าคนเหล่านี้จะไม่มองขึ้นมาบนต้นไม้สักแวบเลย’
กู้ซีจิ่วใช้มือหมุนตัวมัน
‘นี่เรียกว่าใต้คบเพลิงไร้แสง สถานที่ที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด เหตุผลเป็นเช่นนี้’
หยกนภาเลื่อมใสแล้ว
‘เจ้านาย เช่นนั้นท่านวางแผนจะชมเรื่องครื้นเครงอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?’
กู้ซีจิ่วเอนหลังพิงกิ่งไม้
‘อีกครู่หนึ่ง’
เธอดูเอื่อยเฉื่อยเฉยชา ถึงแม้วรยุทธ์จะไม่ฟื้นฟูกลับมาสักเท่าไหร่ แต่บุคลิกกลับคล้ายในอดีตขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…
เธอนั่งอยู่บนต้นไม้สักพัก จวบจนทหารทั้งหมดถูกส่งออกไปแล้ว จวนเจ้าเมืองอันใหญ่โตดูวังเวงขึ้นไม่น้อยเลย
จากนั้นเธอก็เห็นอวิ๋นเยียนหลีแวบออกจากจวนเจ้าเมืองไปดั่งกลุ่มควันสายหนึ่ง หายลับไปในพริบตา
ที่จากไปพร้อมกับเขายังมีคนชุดเขียวอีกสิบแปดคนด้วย วรยุทธ์ของคนเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าสูงล้ำยิ่ง อย่างน้อยก็เป็นผู้มีพลังวิญญาณขั้นเก้าขึ้นไป ยามที่ทะยานอยู่ในอากาศประหนึ่งสายลมกรรโชกก็มิปาน…
กู้ซีจิ่วถอนหายใจเบาๆ หยิบเศษผ้าสีเขียวชิ้นหนึ่งออกมาจากร่าง หรี่ตาลงนิดๆ
เศษผ้าสีเขียวชิ้นนี้ได้มาตอนที่ตี้ฝูอีหายตัวไป กู้ซีจิ่วตรวจสอบพบในละแวกนั้น ยามนั้นอวิ๋นเยียนหลีเห็นเพียงว่าเธอเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ ทว่าไม่ทราบเลยว่าหนึ่งปีมานี้เธอสืบหาที่มาของเศษผ้าสีเขียวชิ้นนี้มาโดยตลอด…
ลูกน้องของอวิ๋นเยียนหลีล้วนสวมอาภรณ์ชนิดพิเศษ ฤดูหนาวอบอุ่นฤดูร้อนเย็นสบาย ซ้ำยังปกป้องร่างกายกันไฟได้ด้วย กล่าวได้ว่าเป็นคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม มีเพียงลูกน้องระดับสูงของเขาถึงจะมีวาสนาได้รับมาสักชุด
เสื้อผ้าเช่นนี้ย่อมมิได้มีอยู่ทั่วไปในฝูงชน ทุกครั้งที่กู้ซีจิ่วไปถึงเมืองใดเมืองหนึ่ง ก็จะไปที่ร้านขายผ้า เอาให้เถ้าแก่ร้านผ้าดู ผลคือไม่มีใครรู้จักเลยสักคน
ตอนนี้ในที่สุดเธอก็ได้เห็นคนที่สวมใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกันแล้ว…
ฝ่ามือเธอมีเหงื่อซึมออกมา!
ดูเหมือนในปีนั้นก่อนที่ตี้ฝูอีจะหายตัวไป อวิ๋นเยียนหลีเคยย้อนกลับไป แถมยังสังหารลูกน้องของเขาเองที่นั่นด้วย…
ชัดเจนยิ่งนักว่าเขามุ่งร้ายต่อตี้ฝูอี!
สรุปแล้วตี้ฝูอีถูกสังหารไปหรือยัง? หรือว่าหนีรอดไปได้?
ถึงแม้เธอจะออกตามหามาเป็นปี และไม่มีเบาะแสของตี้ฝูอีเลย แต่สัญชาตญาณของกู้ซีจิ่วสัมผัสได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่ที่ไหน…
อวิ๋นเยียนหลีติดตามอยู่ข้างกายเธอตลอด ทุ่มเทกายใจเพื่อตามหาตี้ฝูอี
ที่แท้มิใช่แค่ช่วยเหลือเธอโดยเฉพาะเท่านั้น แต่เขาคิดจะยืมมือเธอตามหาเขา…
ตี้ฝูอีเป็นบุตรแห่งเทพมาร นับว่ามีความแค้นระหว่างตระกูลกับอวิ๋นเยียนหลี
หากว่าอวิ๋นเยียนหลีละวางความแค้น สงบใจแล้วใช้ชีวิตเป็นเซียนอย่างอิสระเสรียังว่าดีหน่อย
แต่ตอนนี้มองออกชัดเจนยิ่ง อวิ๋นเยียนหลีมีใจทะเยอะทะยานนัก อยู่ที่นี่ยังก่อมรสุมขึ้นใหญ่โตถึงเพียงนี้ ดูเหมือนคิดจะก่อกบฏต่อดินแดนเบื้องบน ทวงแผ่นดินสกุลอวิ๋นคืนมา
ส่วนตี้ฝูอีไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นหินขวางเท้าเขา จำเป็นต้องกำจัดทิ้งโดยเร็ว
ถึงแม้ตี้ฝูอีผู้นั้นจะอายุน้อย แต่ความคิดจิตใจละเอียดถี่ถ้วน กระทำการน้ำไม่รั่วสักหยดเดียว เชี่ยวชาญการคาดคะเนเรื่องราวเสมอมา วินาทีที่เขาได้พบอวิ๋นเยียนหลีก็เกรงว่าจะตระหนักได้แล้วว่าอวิ๋นเยียนมีปัญหายิ่งนัก…
และหลังจากตี้ฝูอีมาถึงโลกใบนี้ พลังวิญญาณก็เหลือเพียงขั้นเสี่ยวเซียนเท่านั้น