บทที่ 2353 ยังแจ้นออกมาจับตามองข้าอีก!
แยกเขี้ยวยิงฟันใส่สารถีอย่างข่มขวัญ ราวกับจะขู่เข็ญ
ดังนั้นสารถีผู้นั้นจึงไม่กล้าหาเรื่องมันอีก ปล่อยให้มันวิ่งไปเอง
โชคดีที่ถึงแม้ลาตัวนี้จะเจ้าอารมณ์ แต่ฝีเท้ายังคงไม่เลวเลย รวดเร็วจนเทียบชั้นกับม้าพันธุ์ดีได้เลย ยามที่วิ่งอย่างจริงจังขึ้นมาจะเร็วดุจลมสลาตัน ดั่งควันสายหนึ่ง ดึงดูดสายตาของผู้คนบนท้องถนนได้ไม่น้อย
ลักษณะภายนอกของรถคันนี้ดูธรรมดา แต่ด้านในตัวรถกลับไม่เธรรมดา
เบาะรองที่อ่อนนุ่มงดงาม ในช่องลับบรรจุข้าวของจิปาถะเอาไว้ มีฟูกเครื่องนอน ถึงขั้นที่ยังมีโต๊ะตัวเล็กๆ ด้วย บนโต๊ะมีกระดานหมากมีจานผลไม้ มีของว่าง…
เรียกได้ว่าสิ่งของทุกอย่างที่เหมาะสำหรับดำรงชีวิตในบ้านล้วนมีครบครัน อยู่ด้านในไม่ว่าจะนั่งหรือนอน ล้วนสะดวกสบายยิ่งนัก
รถม้าคันนี้ยอดเยี่ยมยิ่ง มีอย่างเดียวที่ไม่ดีคือข้าวของทั้งหมดที่อยู่ด้านในล้วนเป็นสีเขียวมรกต แม้แต่ตัวรถด้านในก็วาดภาพไผ่มรกตไว้สามสี่ต้น ซ้ำฝีมือการวาดยังดูสดใสมีชีวิตชีวา ยามที่รถม้าโยกโคลงเล็กน้อย ต้นไผ่ที่วาดอยู่บนผนังรถม้าก็ดูคล้ายจะโยกไหวส่ายโอนเอนไปด้วย เหมือนตอนที่สายลมพัดต้องไม่มีผิด
กู้ซีจิ่วนั่งเอกเขนกอยู่ในรถม้าคันนี้ รู้สึกเหมือนซุกอยู่ในดงไผ่ อากาศรอบตัวบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ปลายจมูกมีกลิ่นไผ่อวลอยู่จางๆ ด้วย
บาดแผลบนร่างเธอดีขึ้นพอสมควรแล้ว พลังวิญญาณก็ฟื้นฟูกลับมาส่วนหนึ่งแล้ว แต่ถึงอย่างไรในร่างก็มีพิษตกค้างอยู่ ไม่สามารถใช้พลังวิญญาณส่งเดชได้ มิเช่นนั้นถ้ากระตุ้นให้พิษออกฤทธิ์ขึ้นมาอีกก็คงไม่ดี
ดังนั้นหลังจากจู๋ตู๋ชิง พาเธอออกมาจากทะเลทรายแล้ว จึงจัดการให้เธอโดยสารอยู่ในรถม้าของตนทันที ออกจากอาณาจักรมาร สู่โลกภายนอก
ประตูไปไหนก็ได้ของจู๋ตู๋ชิง ใช้เดินทางภายในอาณาจักรมารได้ตามใจนึก อยากไปที่ไหนก็ไปที่นั่นได้ แค่เปิดประตูก็พอแล้ว
แต่พอออกมาจากอาณาจักรมารแล้ว ประสิทธิภาพของประตูไปไหนก็ได้บานนี้ของเขาก็ลดทอนลงมาก
การเปิดประตูก็ต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณของเขาด้วย ทุกครั้งที่เปิดใช้เขาจะสูญเสียพลังวิญญาณและเรี่ยวแรงอย่างมาก
และซี่โครงเขาก็เพิ่งจะดีขึ้น ยังต้องพักฟื้นอยู่ ไม่เหมาะจะเปิดใช้งานประตูไปไหนก็ได้บ่อยๆ ดังนั้นหลังจากหารือกับกู้ซีจิ่วดูแล้ว ก็นำรถม้าของตนออกมาใช้งาน
เดิมทีลักษณะภายนอกของรถม้าเขาก็โดดเด่นสะดุดตายิ่งนักเช่นกัน แต่กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าคนเจ็บคนป่วยสองคนจะเดินทางไปยังบึงพิษ ต้องดูติดดินหน่อยถึงจะดี ดังนั้นจึงปรับเปลี่ยนลักษณะภายนอกของรถม้าเล็กน้อย ทำให้มันดูธรรมดาลงหน่อย
ส่วนลาตัวนั้นไม่จำเป็นต้องแต่งเสริมเป็นพิเศษแล้ว
ถึงอย่างไรประชาชนด้านนอกก็มีลาเป็นสัตว์พาหนะอยู่ไม่น้อย ให้ลาตัวนี้ลากรถก็ไม่ได้เผยพิรุธอันใด
สิ่งที่กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงก็คือคนที่โดดเด่นสง่างามอย่างจู๋ตู๋ชิง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสัตว์พาหนะเป็นลาที่ดูไม่สะดุดตาตัวหนึ่ง แต่หลังจากนั่งบนรถที่ลาตัวนี้ลาก เธอก็เข้าใจแล้ว ลาตัวนี้เป็นลาวิเศษ!
ยามที่แล่นโผนอย่างจริงจังขึ้นมา ยังเร็วกว่าราชาเสือดาวเมฆาตัวนั้นของเธอเสียอีก!
ลาตัวนี้ยังมีความสามารถพิเศษอีกอย่างด้วย มันฟังภาษาคนรู้เรื่อง!
หลังจากจู๋ตู๋ชิง บอกเส้นทางกับมัน มันก็จะค้นหาเส้นทางแล้วมุ่งหน้าไปด้วยตัวเอง ไม่จำต้องมีคนคอยบังคับอยู่ด้านนอก
เดิมทีจู๋ตู๋ชิง คิดจะอยู่ในรถม้าร่วมกับกู้ซีจิ่ว เดินหมากด้วยกัน พูดคุยกัน บ่มเพาะความรู้สึก
แต่กู้ซีจิ่วกลับบอกว่าการเดินทางนี้จะต้องเรียบง่ายสามัญ หากด้านนอกไม่มีสารถีอยู่เลย จะดูน่าตกใจเกินไป ดังนั้นยังต้องให้เขาได้รับความอยุติธรรมอยู่ด้านนอกรับบทเป็นสารถีถึงจะดี
ไม่มีวิธีแล้ว จู๋ตู๋ชิง จึงออกมาอยู่ด้านนอก
เพื่อให้สมบทบาทสักหน่อย เขาจึงลงแส้นิดๆ หน่อยๆ เพื่อให้เหมือนสารถีจริงๆ อยู่บ่อยครั้ง ผลคือไปยั่วให้เจ้าลาตัวนี้ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
มารดามันเถอะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะไม่เชื่อใจข้า! ยังแจ้นออกมาจับตามองข้าอีก!
เจ้าทึ่ม!
ดังนั้นเจ้าลาตัวนี้จึงฉุนเฉียวอยู่บ่อยๆ พอหงุดหงิดขึ้นมาก็จะสะบัดหางฟาดจมูกของจู๋ตู๋ชิง…
จู๋ตู๋ชิง ที่มักจะโบกพัดขนห่านอยู่เสมอโบกแส้ในมือไปมา รู้สึกขมขื่นอย่างยิ่ง เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าในรถของตนมีคนงาม แต่กลับไม่มีแม้แต่โอกาสให้เกี้ยวพา
————————————————————————————-
บทที่ 2354 ราชันย์มารออกโรง
โลกภายนอกยังคงเป็นเช่นเดิม พิรุณโลหิตจะตกทุกๆ สิบวัน รอบด้านยังคงเป็นป่าดงดิบที่เติบโตขึ้นอย่างบ้าคลั่ง สัตว์ภายในป่าที่อยู่ในสภาพกึ่งคลุ้มคลั่ง
การโดยสารรถม้าออกมาในครั้งนี้ ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้เห็นความอัศจรรย์เลิศล้ำของรถม้าและเจ้าลาอย่างแท้จริงแล้ว
ยามที่สัญจรไปบนทางหลวงตามปกติ รถม้าคันนี้ก็จะเป็นรถม้าธรรมดา แต่พอเข้าสู่สถานที่ไร้ผู้คน เต็มไปด้วยป่าดงดิบ ไม่มีถนนหนทางอยู่บนพื้น รถม้าคันนี้ก็จะมีปีกโผล่ออกมาจากสองข้าง เจ้าลาวิเศษที่วิ่งกุบกับลากรถอยู่ก็จะเหินลอยขึ้นมา เคลื่อนรถผ่านยอดไม้ไป ลาวิเศษตัวนั้นก็คล้ายจะเป็นวิชาตัวเบาเช่นกัน สี่เท้าปัดป่ายอยู่บนยอดไม้ ห้อทะยานไปด้านหน้าหลายจั้ง…
เนื่องจากพิษของกู้ซีจิ่วไม่นับว่าเร่งด่วนนัก ดังนั้นคนทั้งสองจึงเดินทางอย่างไม่เร่งร้อนเช่นกัน กลางวันเดินทาง กลางคืนพักผ่อน
ในแผ่นดินนี้มีเมืองอยู่น้อยนิดยิ่ง การพักผ่อนระหว่างทางก็ไม่แน่ว่าจะได้เข้าไปพักในเมืองเสมอไป บางครั้งก็ต้องพักอยู่ในหุบเขา
เพื่อป้องกันการจู่โจมจากสัตว์ร้าย กู้ซีจิ่วจะใช้ก้อนหินและต้นไม้รอบข้างก่อเป็นค่ายกล จากนั้นก็นำกระโจมสองหลังออกมาให้คนทั้งสองได้พักผ่อน
ยามนี้คือเดือนหก เป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด ภายในกระโจมจึงอบอ้าวอย่างยิ่ง
และที่นี่ก็ทำให้ความสามารถด้านนวัตกรรมของจู๋ตู๋ชิง ได้เป็นที่ประจักษ์ เขาติดตั้งเครื่องทำความเย็นที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเองไว้ในยอดกระโจมแต่ละหลัง เครื่องทำความเย็นนี้คล้ายพัดลมไฟฟ้าของยุคสมัยใหม่ หลังจากติดตั้งแล้วจะหมุนพัดด้วยตัวเอง ซ้ำอากาศที่พัดออกมาก็เป็นสายลมเย็นฉ่ำด้วย ระบายความร้อนได้ยอดเยี่ยมนัก
ยามที่ทั้งสองพักผ่อนในกระโจมจึงผลัดกันนอนหลับอย่างเป็นสุขได้
ความจริงแล้วการที่จู๋ตู๋ชิง ติดตามกู้ซีจิ่วก็ยังคงได้ประโยชน์อยู่บ้าง อย่างเช่นตอนที่กู้ซีจิ่วก่อค่ายกลก็จะอธิบายเคล็ดลับวิธีการของค่ายกลนี้ให้เขาฟังด้วย ระหว่างที่เดินทางอยู่ ถ้าเธอเห็นว่าจู๋ตู๋ชิง เหนื่อยล้าแล้ว ก็จะเรียกให้เขาเข้ามาพักผ่อนในรถม้าสักหน่อย เดินหมากเป็นเพื่อนสักตา นำผลไม้ของดินแดนเบื้องบนที่ใส่ไว้ในถุงเก็บของ ของเธอออกมากำนัลให้เขา แน่นอนว่าตอนที่เขาอยู่ในรถม้า กู้ซีจิ่วจะออกมากำกับดูแลเจ้าลาตัวนั้นอยู่นอกรถ…
เจ้าลาตัวนี้ก็พิลึก ไม่สบอารมณ์จู๋ตู๋ชิงเลย แต่กลับอ่อนโยนกับกู้ซีจิ่วยิ่งนัก ตอนที่กู้ซีจิ่วออกมา มันไม่เพียงแต่จะวิ่งอย่างว่องไวและมั่นคงเท่านั้น หางยังโบกสะบัดไปมาเพื่อไล่ยุงให้กู้ซีจิ่วด้วย…
เวลาที่กู้ซีจิ่วชมเชยมัน มันจะเชิดหน้าขึ้นสูง ใช้ดวงตาโตที่เปลือกตาหนาสองชั้นคู่นั้นของมันเหลียวกลับมามองเธออยู่หลายครั้งเป็นระยะๆ ผงกหัวเล็กน้อย
ช่างเป็นเด็กสาวที่งดงามเหลือเกิน!
ท่านลาอย่างข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง!
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าพิกลนัก อดไม่ได้ที่จะขบขัน
พอเข้าไปในรถม้า ก็พูดให้จู๋ตู๋ชิงฟัง จู๋ตู๋ชิงพยายามนวดหว่างคิ้ว ยิ้มขมขื่น
“เจ้าลาตัวนี้นิสัยดีกับเพศเมีย และอารมณ์ดีนัก บางครั้งเมื่อพบลาตัวเมียบนถนนก็จะหลีกทางให้…”
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นลาสุภาพชนตัวหนึ่ง!
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าได้เปิดโลกแล้ว
เธอหยิบน้ำเต้าสุราลูกหนึ่งออกมาจากมิติเก็บของ ก้าวออกจากรถม้า นั่งลงบนตำแหน่งสารถี โบกน้ำเต้าไปมา เอ่ยถามลาตัวนั้น
“พี่ลา อยากดื่มสุราหรือไม่?”
เจ้าลากู่ร้องเสียงยาว ดุจเสียงมังกรขับขาน สะเทือนไปถึงเก้าชั้นฟ้า ทำเอากู้ซีจิ่วสะดุ้งโหยง
เสียงกู่ร้องของเจ้าลาตีความได้ว่า ‘เอา! เอา! เอา! เอา!’
ปกติแล้วเสียงร้องของลาจะคล้ายเสียงแตร แหลมกังวานเสียดหู
แต่เสียงร้องของลาตัวนี้เหมือนเสียงโทนสูงของบุรุษ ในความกังวานได้เสน่ห์ดึงดูดอันเสนาะหูเอาไว้ ไม่คล้ายว่าเป็นเสียงลาเลย
จู๋ตู๋ชิง ก้าวออกมาแล้ว
“อย่าให้มันดื่มสุราเลย ถ้ามันดื่มสุรามากไป เดี๋ยวก็จะเมาจนวิ่งไม่ไหว ทำให้การเดินทางของพวกเราล่าช้าได้”
แบบนี้เอง กู้ซีจิ่วเสียดายนักคิดจะเก็บน้ำเต้าสุรากลับมา
ไม่ทันได้ระวังก็มีหางหนึ่งตวัดเข้ามา ม้วนน้ำเต้าสุราลูกนั้นให้ลอยขึ้นสู่ฟ้าทันที