บทที่ 2391 ไม่นึกเลยว่าท่านจะช่วยนาง.
ตำแหน่งนี้เป็นจุดอับของทั้งถ้ำ ขอเพียงระมัดระวังสักหน่อย ก็ไม่มีทางถูกลูกหลงจากสนามรบ
หยกนภาส่งเสียงหากู้ซีจิ่ว
‘เจ้านาย ไม่นึกเลยว่าท่านจะช่วยนาง…ไม่เกลียดนางแล้วหรือ?’
กู้ซีจิ่วตอบอย่างเฉยเมย
‘เกลียด แต่ข้าไม่อยากทำให้ตี้ฝูอีลำบากใจ’
หยกนภาเงียบไปครู่หนึ่ง
‘…เจ้านาย ท่านหลงรักตี้ฝูอีจริงๆ แล้วกระมัง?’
กู้ซีจิ่วนิ่งไปเล็กน้อย ไม่พูดอะไร
‘เจ้านาย หากว่าเขามิใช่หวงถู ท่านจะรักเขาหรือไม่?’
หยกนภาช่างซอกแซกนัก
กู้ซีจิ่วสูดหายใจเบาๆ เธอตรงไปตรงมายิ่ง
‘รัก’
ใช่แล้ว เธอรักเขาแล้วจริงๆ…
มิใช่เพราะเขาคือผู้ใด แต่เป็นเพราะเขาก็คือเขา
ช่วงที่ในใจยังมีหวงถูอยู่ ช่วงที่รอคอยจะฟื้นคืนชีพให้หวงถู เธอไม่รู้ตัวเลยว่ารักตี้ฝูอีเข้าแล้ว รักชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเธอมากมายยิ่งนักคนนี้…
จากการอนุมานและคาดเดาว่าเขาคือหวงถูกลับชาติมาเกิด ก็เป็นเพียงการหาเหตุผลเพื่อให้ตนสามารถรักเขาได้เท่านั้น
หยกนภาไม่คิดเลยว่านางจะยอมรับอย่างผ่าเผยเช่นนี้ ตื่นเต้นยินดียิ่งนัก
‘เจ้านาย นี่ก็ถูกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสิถึงจะสำคัญที่สุด พวกท่านเป็นคู่สวรรค์สรรค์สร้าง’
ยามนี้ค่ายกลทำงานแล้ว กู้ซีจิ่วพลันเหินกาย ร่อนลงกลางค่าย พลางตักเตือนหยกนภา
‘เจ้าหุบปากให้ข้าด้วย ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำหรับพิฆาตจระเข้’
ด้วยเหตุนี้ หยกนภาจึงไม่ส่งเสียงในสมองของกู้ซีจิ่วอีก
มันคือหยกวิญญาณ ต้องดูดซับพลังวิญญาณอย่างต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนวงจรให้เป็นปกติ
กู้ซีจิ่วเก็บผลึกวิญญาณจำนวนหนึ่งไว้ในช่องมิติของมัน มันก็ปิดระบบเพื่อดูดซับพลังวิญญาณจากผลึกวิญญาณเลย
ครั้งนี้มันไม่ได้ปิดระบบอย่างสมบูรณ์ ยังคงแบ่งจิตสัมผัสไว้เล็กน้อยเพื่อรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้เป็นนาย ดังนั้นในช่วงเวลาที่กู้ซีจิ่วเกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น แม้ว่ามันจะไม่ทราบกระบวนการขั้นตอนทั้งหมด แต่ก็คาดเดาได้พอสมควร
มันมองไปที่ตี้ฝูอี รู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่งกว่าเดิม!
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสวมชุดแบบที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสวมใส่เป็นประจำเมื่อครั้งอดีต! หรือเขาจะฟื้นฟูความทรงจำชาติก่อนได้แล้ว?
เป็นไปไม่ได้กระมัง?!
ลิขิตสวรรค์คงไม่ยอมให้เขาฟื้นฟูความทรงจำชาติก่อนได้เร็วขนาดนี้หรอก ถึงอย่างไรก็เป็นตัวตนที่ถูกกฏเกณฑ์ลิขิตสวรรค์ลบทิ้งไป
การที่อวิ๋นชิงหลัวสามารถจดจำได้ก็อยู่เหนือความคาดหมายอย่างยิ่งแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะมีบุคคลเหนือความคาดหมายคนที่สองอีก
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้านายมันได้เริ่มก้าวเดินไปพร้อมกับตี้ฝูอีอีกครั้งแล้ว…
ทั้งสองคนล้วนไม่มีความทรงจำในชาติก่อน ทว่ายังอาศัยความสามารถตามหากันจนเจอได้ นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาคือรักแท้ คนอื่นล้วนเป็นเพียงแมฆาเลื่อนลอย…
หยกนภารื่นเริงยินดีนัก
แต่จระเข้ที่ถูกล่อมาตัวนั้นกลับขมขื่นยิ่งนัก
มันบำเพ็ญมาพันปีแล้ว ถึงแม้จะยังจำแลงกายไม่ได้ แต่ก็มีสติปัญญาเช่นมนุษย์แล้ว ซ้ำปัญญายังไม่ต่ำต้อยด้วย
อันที่จริงเดิมทีแล้วมันไม่คิดจะไล่ตามมาเลย ไม่กี่คนนี้ต่อให้เข้าปากมันไปทั้งหมดก็ยังไม่พอยัดซอกฟันเลย มันไม่ได้อยากทุ่มชีวิตถึงขนาดนี้ นี่คือเหตุผลที่มันไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่แรก
แต่หลังจากมันได้กลิ่นคาวโลหิตที่หอมหวนเป็นพิเศษนั้นแล้ว เลือดลมก็เดือดพล่านขึ้นมา!
โลหิตแล่นขึ้นสู่สมอง กระตุ้นสมองทั้งสองซีกของมันให้คึกคักขึ้นมา ราวกับคนติดฝิ่นที่ได้กลิ่นควัน สติสัมปชัญญะอันใด ความระมัดระวังอันใด ล้วนหลงลืมไปหมดแล้ว!
คิดเพียงจะติดตามเจ้าของกลิ่นโลหิตหอมหวนที่หนีไป…
ผลก็คือติดกับค่ายกลศิลานี้เข้า
ตอนที่มันไล่ตามมา ย่อมมองเห็นศิลาน้อยใหญ่ที่ตั้งเรียงรายเหล่านั้น เพียงแต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย
ศิลาเหล่านี้ก้อนที่ใหญ่สุดยังไม่พอจะให้มันตระครุบเลย มันจะเกรงกลัวได้อย่างไร?
ผลคือหลังจากเข้ามาแล้ว มันตกตะลึงยิ่งนัก!
เดิมทีเป็นเพียงศิลาไม่กี่ก้อนเท่านั้น ทว่ายามนี้กลับกลายเป็นภูผาตั้งมั่นสูงตระหง่านไปหมดแล้ว!
————————————————————————————-
บทที่ 2392 กริ่งเกรงขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
ต้นไผ่ที่ตอนอยู่ด้านนอกดูเหมือนจะบอบบางเหล่านั้นกลายเป็นพฤกษาใหญ่ที่หนาจนโอบไม่รอบ แถมพฤกษาใหญ่เหล่านี้ยังเรียงรายแน่นขนัด แต่ละต้นเชื่อมต่อกัน บดบังท้องนภา มองไม่เห็นยอดเลย
เดิมทีจระเข้ตัวนี้ร่างกายใหญ่โตมโหฬารจนเห็นทุกอย่างเล็กไปหมด ล้วนเหมือนมดปลวกทั้งสิ้น แต่ตอนนี้มันรู้สึกว่าตนก็คือมดปลวก สิ่งอื่นใดล้วนใหญ่โตทั้งสิ้น!
ถึงขั้นที่มนุษย์ที่โผล่ออกมากะทันหันเหล่านั้นก็ดูสูงใหญ่อย่างยิ่ง ต้องเงยหน้าขึ้นถึงจะมองเห็น…
มันตกอยู่ในภาพมายาแล้ว!
ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์เมื่อเห็นคู่ต่อสู้สูงใหญ่กว่าตัวเองมากมายนัก จะเกิดความรู้สึกกริ่งเกรงขึ้นมาตามสัญชาตญาณเสมอ…
จระเข้ตัวนี้ก็เหมือนกัน หลังจากมันพุ่งไปซ้ายทีขวาทีอยู่ด้านในพักหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ในใจก็เริ่มขยาดไปก่อนแล้ว…
มันมีอำนาจกดดันในการต่อสู้มาโดยตลอด อาศัยเพียงอำนาจก็สามารถข่มขวัญอีกฝ่ายให้หวาดผวาจนเตลิดไปได้แล้ว ซ้ำข้างกายยังมีเหล่า ‘สมุน’ รายล้อมอยู่ด้วย แทบจะเดินกร่างในบึงพิษแห่งนี้ได้เลย!
แต่ตอนนี้เหล่าสมุนไม่ได้ตามมาด้วย มีเพียงผู้บัญชาการอย่างมันตัวเดียว ซ้ำยามนี้ยังติดอยู่ในภาพมายาด้วย ทุกสิ่งที่เห็นล้วนทรงพลังกว่ามันทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้มันจึงตระหนกแล้ว…
จระเข้ตัวนี้เดิมทีมีพลังยุทธ์สูงยิ่งนัก หากว่ามันต่อสู้อย่างจริงจังขึ้นมา มันสามารถกำจัดผู้ที่อยู่ในขั้นจินเซียนได้ถึงสามคนในคราวเดียว!
แต่ตอนนี้รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นมนุษย์คนไหนที่โผล่มาล้วนเป็นซ่างเซียนที่ร้ายกาจยิ่งทั้งสิ้น!
โดยเฉพาะบุรุษชุดม่วงคนนั้น ทำให้มันปวดหัวเป็นที่สุด ทุกกระบวนท่าที่โจมตีใส่ร่างมันล้วนแต่เจ็บปวดรวดร้าวอย่างยิ่ง! ทำให้มันแทบแดดิ้นแล้ว…
ยังมีสตรีชุดเขียวคนนั้นมาเสริมอีก สตรีนางนั้นไปมาไร้ร่องรอยที่สุด เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามีพลังไม่มาก แต่องศาการโจมตีกลับสับปลับยิ่งนัก โจมตีที่จุดอ่อนของมันโดยเฉพาะ ทำให้มันป้องกันไม่ได้…
….
อวิ๋นชิงหลัวนั่งพิงศิลาใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ มองดูการต่อสู้ภายในค่ายกล
นางมองออกแล้วว่าจระเข้วงแหวนเงินตัวนั้นตกที่นั่งลำบากแล้ว จะถูกสังหารในไม่ช้าก็เร็ว
นิ้วมือของนางกำแน่นเล็กน้อย แววตาวูบไหวนิดๆ คล้ายจะอยู่เหนือความคาดหมายยิ่งนัก…
องครักษ์จินยืนคุ้มกันอยู่ด้านหน้านาง ย่อมมองไม่เห็นสีหน้าของนาง ความสนใจของเขาถูกการต่อสู้ฉากใหญ่ภายในค่ายกลดึงดูดไปหมดแล้ว!
เขามองเห็นองค์ราชันของพวกเขาเคลื่อนไหวว่องไวดุจกระแสไฟฟ้า ผลุบเข้าผลุบออกระหว่างศิลาแต่ละก้อนภายในค่ายกล และทุกครั้งที่ปรากฏตัวขึ้นล้วนสามารถโจมตีจระเข้ตัวนั้นได้อย่างคล่องแคล่ว เพิ่มรอยแผลสาหัสรอยหนึ่งไว้บนร่างของจระเข้ตัวนั้น…
ส่วนกู้ซีจิ่วก็รับตำแหน่งบัญชาการส่วนกลาง เมื่อเห็นว่าตรงไหนอ่อนแอก็จะเคลื่อนย้ายเข้าไปโจมตีตรงนั้น ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ได้ตลอด พลางอุดช่องโหว่ที่ถูกจระเข้ตัวนั้นทำลายไปด้วย
นางและตี้ฝูอีรุกเข้าถอยออกอยู่ในค่ายกล ท่าร่างดั่งเมฆาเคลื่อนคล้อยธาราไหลริน ทำให้สายตาคนพร่าเลือน
ฝ่ายคุณชายไผ่ขจีก็ดูสบายๆ ยิ่งนักเช่นกัน โบกพัดขนห่านปลูกต้นไผ่ขึ้นตรงจุดเดิมบ้าง ทำให้ใบไผ่นับไม่ถ้วนกลายเป็นอาวุธลับที่คมกริบบินว่อนไปบ้าง ถักทอเป็นร่างแห่ที่หนาแน่น โอบล้อมหมุนวนอยู่รอบจระเข้ตัวนั้น
ส่วนหวาเฉียนจวิ้นก็คอยเติมศิลาที่ถูกทำลายไปอยู่ตลอด…
บางครั้งถ้าสบจังหวะก็จะแทงกระบี่ใส่จระเข้เช่นกัน!
องครักษ์จินมองแล้วเลือดลมเดือดพล่าน ปรารถนาจะเข้าร่วมวงด้วยอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้จักค่ายกลนี้ แถมยังต้องคุ้มกันอวิ๋นชิงหลัวด้วย ทำได้เพียงมองอยู่ที่เดิมเท่านั้น
เขาเกาหูเกาหัวอย่างกระวนกระวาย ทว่าไม่กล้าจากไป
“องครักษ์จิน เจ้าไปช่วยพวกเขาก็ได้นะ”
อวิ๋นชิงหลัวที่อยู่ข้างหลังเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ทำเช่นนั้นมิได้ พระองค์ยังบาดเจ็บสาหัสอยู่ จำเป็นต้องมีคนคอยคุ้มกันข้างกาย”
“ไม่เป็นไรหรอก ตรงนี้ปลอดภัยมาก สัตว์ร้ายตัวนั้นโจมตีมาไม่ถึงที่นี่หรอก อีกอย่างข้าก็มีกำลังพอจะปกป้องตัวเองได้”
อวิ๋นชิงหลัวหยิบของวิเศษชิ้นหนึ่งออกมา นั่นคือเกราะกำบังอันหนึ่ง พอคนเข้าไปหลบอยู่ด้านในนี้ จะไม่ถูกโจมตีง่ายๆ
องครักษ์จินหวั่นไหวขึ้นมาบ้างแล้ว อวิ๋นชิงหลัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไปช่วยพวกเขาเถอะ แม้จะเป็นการช่วยพวกเขาย้ายหินสักก้อนก็ยังดี”