บทที่ 2393 ปกป้อง
ในที่สุดองครักษ์จินก็หวั่นไหวแล้ว พยักหน้าตกลง
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปช่วยพวกเขา พระองค์ถนอมองค์ด้วย หากมีอะไรผิดปกติก็ตะโกนเรียกนะพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นชิงหลัว
“ได้”
ด้วยเหตุนี้ องครักษ์จินจึงเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย
เขาก็เคยศึกษาค่ายกลมา จำขั้นตอนบางส่วนได้ และเขาก็ฉลาดเฉลียวเช่นกัน ไม่ได้ตรงเข้าไปโจมตีจระเข้ทันที แต่หาวิธีก้าวตามจังหวะของหวาเฉียนจวิ้นก่อน ตามไปคอยเติมหินกับเขา และออกกระบวนท่าพร้อมเขา
แต่เดิมหวาเฉียนจวิ้นเป็นจุดอ่อนของค่ายกลนี้ หลังจากมีองครักษ์จินเข้ามาช่วย ความกดดันของเขาก็เบาบางลง
กู้ซีจิ่วเคลื่อนย้ายมาถึงที่นี่ มองเห็นองครักษ์จิน ก็ผงะไปเล็กน้อย ร่ายอาคมเสริมค่ายกลพลางเอ่ยถามประโยคหนึ่งว่า
“ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?”
แล้วมองไปยังตำแหน่งที่อวิ๋นชิงหลัวอยู่ตามสัญชาตญาณ มีโขดหินขวางอยู่ เธอจึงมองเห็นเพียงมุมชุดของอวิ๋นชิงหลัว
องครักษ์จินทราบจากปากหวาเฉียนจวิ้นแล้วว่ากู้ซีจิ่วเป็นผู้สร้างค่ายกลนี้ จึงเคารพเลื่อมใสนางยิ่งนัก
ยามนี้พอเห็นนางจึงเล่าเรื่องที่พูดคุยกับอวิ๋นชิงหลัวเมื่อครู่ออกมา และอาสาตัวติดตามอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วเพื่อช่วยเหลือเธอ…
ตอนนี้กู้ซีจิ่วพยายามเลี่ยงไม่ใช่พลังวิญญาณอยู่ ดังนั้นพอยุ่งง่วนเช่นนี้ก็ค่อนข้างเหนื่อยล้าจริงๆ หากว่ามีองครักษ์จินคอยช่วยเหลืออยู่ข้างกาย ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย
อย่างน้อยเธอก็พอจะหายใจหายคอได้บ้าง
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงตกลง คาดไม่ถึงว่าทั้งสองคนยังร่วมมือกันได้ไม่ถึงสองนาที ตี้ฝูอีก็พุ่งเฉียงเข้ามาหาแล้ว
เมื่อเขาเห็นองครักษ์จินอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่ว สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย เอ่ยด้วยความโกรธ
“องครักษ์จิน เจ้าแล่นออกมาทำอะไร? ไสหัวกลับไปคุ้มกันองค์หญิงย่วนย่วนเสีย! จะปล่อยให้นางเกิดเรื่องขึ้นอีกไม่ได้!”
องครักษ์จินถูกด่าจนหัวหดแล้ว ไม่กล้าโต้แย้งเลยสักครึ่งประโยค ตอบรับแล้วหันหลังวิ่งออกไป…
กู้ซีจิ่วชะงักไปแวบหนึ่ง เกือบสะดุดหินใหญ่ก้อนหนึ่งเข้าแล้ว
ร่างกายพลันซวนเซ
ตี้ฝูอีพยุงเธอจากด้านข้าง
“เจ้าเป็นอะไรไหม?”
กู้ซีจิ่วผลักเขาออก
“ไม่เป็นไร รีบไปสังหารจระเข้เร็ว!”
พลันไหวกาย เคลื่อนย้ายเข้าไปในค่ายกลแล้ว
ตี้ฝูอีขมวดคิ้ว ตอนที่เขาพยุงนางเมื่อครู่นี้รู้สึกว่ามือน้อยๆ ของนางเย็นผิดปกติ…
ขณะที่เขากำลังจะตามไปดู ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของอวิ๋นชิงหลัว
“ช…ช่วยด้วย!”
เขาหันไปตามเสียง มองเห็นจระเข้ที่ก่อนหน้านี้ยังถูกขังไว้อยู่เลยจู่ๆ ก็ทลายแนวป้องกันออกมาได้ พุ่งตรงเข้าไปหาอวิ๋นชิงหลัว!
ตอนนี้องครักษ์จินยังไปไม่ถึงตัวนาง ตี้ฝูอีก็อยู่ไกลจากนางมาก จะเข้าไปช่วยก็ไม่ทันกาลแล้ว!
กู้ซีจิ่วที่เป็นฝ่ายบัญชาการกลางกลับเคลื่อนย้ายไปหาแล้ว!
อวิ๋นชิงหลัวกรีดร้องยังไม่ทันขาดคำ กู้ซีจิ่วก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายนางแล้ว พานางเคลื่อนย้ายไปทันที…
และบังเอิญเหลือเกินที่ในยามนี้จระเข้ตัวนั้นตะปบกรงเล็บเข้ามาแล้ว! เฉียดผ่านแขนเสื้อของกู้ซีจิ่วไป
แขนเสื้อกู้ซีจิ่วถูกข่วนจนขาดเป็นรู โชคดีที่ไม่ได้ทำร้ายเนื้อหนังเธอ
เธอพาอวิ๋นชิงหลัวเคลื่อนย้ายหนีได้สำเร็จ ไปปรากฏตัวขึ้นในจุดปลอดภัยอีกแห่งหนึ่ง วางนางลงไป
เธอเพิ่งจะวางนางลง ตี้ฝูอีก็ตามมาถึงแล้ว ฉวยมือกู้ซีจิ่วไว้ทันที
“เจ้าบาดเจ็บไหม? ให้ข้าดูหน่อย!”
คิดจะตรวจสอบแขนข้างที่ถูกข่วนจนแขนเสื้อขาดของเธอ
กู้ซีจิ่วชักมือตนกลับมาทันที
“ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องดูหรอก”
แล้วหมุนตัวใช้วิชาเคลื่อนย้ายอีกครั้ง
ตี้ฝูอีเงียบงัน
เขามองอวิ๋นชิงหลัว อวิ๋นชิงหลัวกำลังมองเขาด้วยใบหน้าพริ้มเพราที่เผือดซีด กัดปากเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ ขะ..ข้าก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ไม่ต้องห่วง”
ถึงแม้เสียงนางจะไม่ดัง แต่ขอเพียงเป็นผู้ที่หูดีหน่อยก็จะได้ยิน
ตี้ฝูอีไม่สนใจนาง สั่งการองครักษ์จินที่เพิ่งตามมาถึงทันที
“เฝ้านางให้ดี! ถ้าแยกไปโดยพลการอีกเปิ่นจวินจะถลกหนังเจ้า!”
————————————————————————————-
บทที่ 2394 ข้ารู้อยู่แล้ว
องครักษ์จินรีบตอบรับ ไม่กล้าจากไปโดยพลการอีกเลยสักก้าว
อวิ๋นชิงหลัวเม้มปากนิดๆ แววตามีม่านน้ำวูบไหว
“พี่ใหญ่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านยังคงเป็นห่วงข้า…”
ตี้ฝูอีเหลือบมองนางแวบหนึ่ง น้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าคิดมากไปแล้ว! อวิ๋นชิงหลัว อย่าได้เล่นลูกไม้อีก! มิเช่นนั้นผลลัพธ์จะเป็นสิ่งที่เจ้าไม่อาจรับไหว!”
แล้วหันหลังจากไป
องครักษ์จินตะลึงไปเล็กน้อย
อวิ๋นชิงหลัว?
ที่แท้นามเต็มขององค์หญิงย่วนย่วนคืออวิ๋นชิงหลัวรึ?
อวิ๋นชิงหลัวใจเต้นแวบหนึ่ง สัมผัสได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายมองนางออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
นางหยักยิ้มมุมปากนิดๆ นางไม่เหลือทางถอยตั้งนานแล้ว! ยังมีผลลัพธ์ใดที่นางจะรับไม่ไหวอีกเล่า?
….
จระเข้ตัวนั้นคงจะสัมผัสได้แล้วว่าตนได้พบกับทางตันแล้ว จึงตกอยู่ในความร้อนรนมหาศาล คลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้ว
ความสามารถเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหนึ่งเท่าตัวเช่นกัน!
มันอาละวาดโต้กลับอยู่ในค่ายกลอย่างบ้าคลั่ง
พลังครึ่งหนึ่งของค่ายกลนี้อยู่ที่ภาพลวงตา
แต่ก่อนพอมันเห็นภูผาตั้งตระหง่านที่สูงใหญ่กว่ามันหลายร้อยเท่าส่งแรงกดดันเข้าหาตัวมัน มันจะหลบเลี่ยงโดยสัญชาตญาณ ไม่กล้าเข้าปะทะตรงๆ
ถึงขั้นที่มือเท้าเงอะงะงุ่มง่าม ถูกกดดันจนหมดสภาพอย่างยิ่ง
แต่หลังจากมันคลุ้มคลั่งขึ้นมา ยามที่มองเห็นภูผาลูกหนึ่งกดทับเข้ามา มันจะตะปบกรงเล็บใส่อย่างสู้ตาย!
ถึงอย่างไร ‘ภูผา’ เหล่านี้ก็เป็นเพียงภาพมายา ความจริงมันคือก้อนศิลาเท่านั้น
พอถูกซัดเข้าเต็มแรงก็แตกกระจาย! พังทลายอย่างสิ้นเชิง!
มันคล้ายจะนึกไม่ถึงเช่นกันว่าภูผานี้จะทนแรงซัดตะปบไม่ได้ขนาดนี้ หลังจากตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็ลิงโลดยิ่งนัก! ฮึกเหิมขึ้นมา!
ด้วยเหตุนี้มันจึงบ้าคลั่งขึ้นไปอีก ตวัดกรงเล็บ กัดงับ ฟาดหาง! พ่นพิษสีแดงออกมามากมาย…
ความสามารถทุกอย่างถูกใช้ออกมาหมดแล้ว!
ในช่วงเวลานี้ ศิลาใหญ่ภายในค่ายกลได้รับความเสียหายอย่างหนัก หวาเฉียนจวิ้นพยายามเติมหินอย่างสุดกำลัง แต่ถูกทำลายรวดเร็วเกินไป เขาไม่มีทางเติมได้ทัน
ในระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วยาม ศิลาภายในค่ายกลถูกทำลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว อานุภาพลดลงมหาศาล…
แทบทุกคนต่างกระวนกระวายขึ้นมา
องครักษ์จินลำบากยิ่งกว่าเดิม
เขารับหน้าที่คุ้มกันอยู่ข้างกายอวิ๋นชิงหลัว เดิมทีเป็นงานที่สบายที่สุดแล้ว แต่พอจระเข้ตัวนี้คลุ้มคลั่งขึ้นมา ก็ราวกับรู้แจ้งขึ้นมา บางครั้งก็คิดจะพุ่งเข้ามาโจมตีทางตำแหน่งนี้ของเขาด้วย!
ถ้ามิใช่เพราะคนอื่นสกัดเอาไว้ทันกาล เกรงว่าจระเข้ตัวนั้นคงโผเข้ามาฉีกทึ้งเขากับอวิ๋นชิงหลัวเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว!
ถึงกระนั้น ละอองพิษที่จระเข้พ่นออกมารวมถึงสายลมกรรโชกที่พัดมาก็ยังมีอานุภาพมหาศาล ทำให้เขารับมือได้ลำบากนัก
“หวาเฉียนจวิ้น เจ้ามาคุ้มกันตรงนี้ที”
ตี้ฝูอีเคลื่อนออกจากตำแหน่งที่ตนคุ้มกันอยู่
“พ่ะย่ะค่ะ!”
หวาเฉียนจวิ้นทะยานเข้าไป
“คุณชายไผ่ขจี เจ้ามาร่วมมือกับเปิ่นจวิน!”
ตี้ฝูอีพุ่งไปอยู่ข้างกายจู๋ตู๋ชิง ให้เขายื่นมือออกมา แล้ววางวาดอักขระอาคมลงบนฝ่ามืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เอ่ยสั่งการ
“เจ้าโคจรพลังวิญญาณแล้วประทับตรานี้ลงบนต้นไผ่…”
อธิบายวิธีการออกมาอย่างรวดเร็ว
จู๋ตู๋ชิงย่อมตอบรับแล้วปฏิบัติตาม
ซัดฝ่ามือที่มีอักขระอาคมทอแสงอยู่ลงบนต้นไผ่
จะว่าไปแล้วก็แปลก ต้นไผ่ทั้งหมดที่ถูกเขาปลุกเสกด้วยอาคม ล้วนมีเกราะป้องชั้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมาในชั่วพริบตา ยามที่ต้นไผ่นี้ถูกจระเข้ตะปบอีกครั้งก็ไม่หักโค่นลงง่ายๆ อีกแล้ว
ตี้ฝูอีก็ไปปลุกเสกศิลาเหล่านั้น บนก้อนศิลาก็มีม่านพลังวิญญาณบางๆ หุ้มอยู่อีกชั้นเช่นกัน ไม่ถูกซัดจนแตกกระจายอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในที่สุดต้นไผ่และก้อนศิลาในค่ายกลก็ไม่ลดน้อยลงอีก
เพียงแต่วิธีนี้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณอย่างยิ่ง หลังจากจู๋ตู๋ชิงปลุกเสกต้นไผ่ในค่ายกลไปรอบหนึ่ง ก็เวียนหัวตาลายขึ้นมาแล้ว
กำลังหลักทั้งสองในค่ายกลไปปลุกเสกค่ายกลแล้ว ภาระอันหนักอึ้งในการคุ้มกันค่ายกลจึงตกอยู่ที่ร่างกู้ซีจิ่วและหวาเฉียนจวิ้น…
แรงกดดันบนร่างของคนทั้งสองเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทันที
กู้ซีจิ่วยังดีหน่อย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นค่ายกลที่เธอสร้างขึ้น ใช้ศิลาในค่ายกลมาต้านรับได้อย่างคล่องแคล่ว
หวาเฉียนจวิ้นกลับแย่แล้ว! ตำแหน่งที่เขาคุ้มกันเดิมเป็นจุดที่ต้องรับแรงกดดันยิ่งนัก ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เหนื่อยจนหน้าซีดเขียวแล้ว มือสั่นขาอ่อนแรง โชคดีที่ตี้ฝูอีผ่านมาทางเขาบ้างเป็นครั้งคราว ต้านรับแรงกดดันส่วนหนึ่งแทนเขา
มิเช่นนั้นเขาคงเหนื่อยจนล้มฟุบไปแล้ว!
กู้ซีจิ่วประจำตำแหน่งบัญชาการกลางอย่างมั่นคงมาโดยตลอด แรงกดดันของเธอก็มากมายเช่นกัน แต่ยังอยู่ในขอบเขตที่เธอรับไหว
ตี้ฝูอีก็ผ่านทางมาหาเธออยู่บ่อยครั้งเช่นกัน ถือโอกาสรับการโจมตีแทนเธอไปด้วย หลังจากไปๆ มาๆ เช่นนี้อยู่สองรอบเธอก็ขมวดคิ้วแล้ว
“ข้ารับมือด้วยตัวเองได้ เจ้าไปช่วยองครักษ์หวาเถอะ”
เขามองนางแวบหนึ่ง
“ไม่ต้องการให้ข้าช่วยเจ้าหรือ?”
กู้ซีจิ่วเม้มปาก
“ข้าจัดการเองได้!”
ตี้ฝูอีนิ่งไปแวบหนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ
“ซีจิ่ว บางครั้งข้าก็หวังให้เจ้าอ่อนแอกว่านี้”
เขาปรารถนาให้นางอยากพึ่งพาเขายิ่งนัก จับแขนเสื้อเขาแล้วงอแงกับเขาเหมือนเด็กเล็กๆ บ้าง มิใช่ห้าวหาญทานรับภาระอันหนักอึ้งไว้ได้เสมือนบุรุษ…
เขาอยากเป็นที่พึ่งให้นาง อยากปกป้องนางไว้ใต้ปีกของตน ไม่ให้นางต้องรับคลื่นลมสายฝน เขารู้สึกได้ตามสัญชาตญาณว่านี่สิถึงจะเป็นรูปแบบในการอยู่ร่วมกันอย่างแท้จริงของเขากับนาง
ไม่เหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้ นางยืนหยัดด้วยตัวเองเสียจนน่ากลัว ต้องการจะเข้ามาขวางกั้นอยู่เบื้องหน้าเขา ป้องลมบังฝนให้เขาเสียเหลือเกิน…
หลังจากเขาพูดประโยคนี้จบก็จากไปอีกครั้ง ไปปลุกเสกศิลาที่เหลือ
กู้ซีจิ่วผงะไปเล็กน้อย ยิ้มอย่างขมขื่นอยู่เนิ่นนาน
นี่เขารังเกียจที่เธอไม่อ่อนแอหรือ?!
อันที่จริงเธอก็จะอยากจะอ่อนแอลงบ้างยิ่งนัก แต่พอนึกถึงว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่อายุยังไม่เต็มสิบขวบคนหนึ่ง ความปรารถนาจะปกป้องของเธอก็เอ่อท้นขึ้นมา
คิดแต่จะปกป้องเขา ถึงขั้นที่ทรยศต่อหลักการของตัวเองเพื่อปกป้องคนที่เขาห่วงใย ทำตัวเป็นแม่พระห้าจริยาสี่โสภาสามรักมั่น[1] ไหนเลยจะยังอ่อนแอได้อีก?
ตอนที่เธอความจำเสื่อม เห็นเขาเป็นคู่หมั้นที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ยังเคยอ่อนแอยิ่งนักอยู่สองสามครา กระเง้ากระงอดงอแงกับเขาและคล้อยตามไม่ต่อต้าน
แต่ตอนนี้ความทรงจำเธอกลับมาแล้ว ทราบฐานะของเขาแล้ว จะให้เธอไปงอแงกับเด็กน้อยสิบขวบคนหนึ่ง…
เธอรู้สึกว่าหนังหน้ายังไม่หนาพอ จะต้องขัดเกลาให้ดีเสียหน่อย
แต่วันหน้าเธอคงไม่มีโอกาสได้งอแงใส่เขาแล้วกระมัง?
อวิ๋นชิงหลัวที่อ่อนแอ พออยู่ต่อหน้าเขาแล้วเป็นวิหคน้อยที่ชอบอิงแอบคนยิ่งนัก หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่เขาชอบพออวิ๋นชิงหลัว?
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า ไม่อยากนึกถึงปัญหาที่ทำให้เธอปวดประสาทยิ่งนักพวกนี้แล้ว เลี่ยงไม่ให้จิตใจว้าวุ่น
ยามที่เธอจัดการเรื่องราว ไม่ชอบชักช้ายืดยาดเสมอมา แต่ปัญหาด้านอารมณ์เช่นนี้ทำให้เธอว้าวุ่นตัดไม่ตายขายไม่ขาด ทำให้เธอรู้สึกราวกับไม่ใช่ตัวเองเลย!
เธอใจลอยมากเกินไป ไม่ทันสังเกตว่าจระเข้ที่โจมตีใส่ทางหวาเฉียนจวิ้นอย่างบ้าคลั่งอยู่ตลอด จู่ๆ ก็เปลี่ยนทิศทางแล้ว ชูหัวขึ้นไปในอากาศ แล้วตวัดกรงเล็บเข้าใส่เธอ!
รอจนเธอสังเกตเห็นความผิดปกติ กรงเล็บที่คล้ายกับสมอเหล็กก็กำลังจะตะปบใส่กระหม่อมเธอแล้ว!
“ระวัง!”
มีเสียงตะโกนดังขึ้นข้างหู ไม่ทราบเช่นกันว่าหวาเฉียนจวิ้นโผล่ออกมาจากมุมไหนพุ่งตัวเข้ามา ขวางอยู่ด้านหน้ากู้ซีจิ่ว!
ปฏิกิริยาตอบสนองของกู้ซีจิ่วกลับคืนมาทันที ลากหวาเฉียนจวิ้นไว้แล้วใช้วิชาเคลื่อนย้ายในทันใด…
อย่างไรก็ตามเธอช้าไปจังหวะหนึ่ง จวบจนเธอพาหวาเฉียนจวิ้นไปยืนอยู่บนโขดหินก้อนหนึ่งอย่างมั่นคงแล้ว ถึงพบว่าตรงอกของหวาเฉียนจวิ้นถูกข่วนจนเป็นแผลใหญ่โชกเลือด
โลหิตสีเขียวคล้ำไหลทะลักออกมา สีหน้าเขาดำทะมึนไปในทันที ดำทะมึนยิ่งกว่าคนผิวสีเสียอีก!
ชัดเจนนัก เขาถูกพิษแล้ว
ยังโชคดีที่ว่าก่อนจะเข้าสู่บึงพิษกลุ่มของเขาได้กินยาถอนพิษบางอย่างล่วงหน้าแล้ว มิเช่นนั้นทันทีที่หวาเฉียนจวิ้นรับการโจมตีก็คงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว
————————————————————————————-
[1] ห้าจริยาสี่โสภาสามรักมั่น เป็นนโยบายของสาธารณรัฐประชาชนจีนบัญญัติขึ้นเมื่อ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1981 เพื่อเป็นแนวทางให้เยาวชนรุ่นใหม่นำไปปฏิบัติ ห้าจริยาคือ คุณธรรม จริยธรรม มารยาท วินัย สุขอนามัย สี่โสภาคือ จิตใจดี วาจาดี กริยาดี สังคมดี สามรักมั่นคือ รักมาตุภูมิ รักระบบสังคมนิยม รักคอมมิวนิสต์จีน