บทที่ 2473 เขารู้มากเสียจริง
เจ้าคนผู้นั้นลื่นเหมือนปลาไหล กระทำการดุจน้ำกลิ้งบนใบบอน เขามองออกว่ากู้ซีจิ่วคือคนรักของตี้ฝูอี ย่อมต้องสำรวมเป็นธรรมดา ทำตัวเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ภักดีทั่วไป ลดความมีตัวตนลง เลี่ยงไม่ให้เผลอไปแตะเกล็ดย้อนของตี้ฝูอีเข้า…
กริยาที่ตี้ฝูอีลูบหัวเธอแฝงการปกป้องและพะเน้าพะนอเอาไว้ หัวใจกู้ซีจิ่วอุ่นวาบ ทั้งยังขันอยู่บ้าง
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าตนโตกว่าเขามากนัก แต่เขากลับชอบโอ๋เธอเหมือนโอ๋เด็กเล็กๆ
ถ้าหากไม่รู้อายุของทั้งสองฝ่าย เกรงว่าคงหลงนึกว่าเขาโตกว่าเธอมากนักเสียแล้ว…
เธอฉวยมือของเขาลงมา ใช้มืออีกข้างตบเบาๆ
“ฝ่าบาทเนี่ยนโม่ เป็นเด็กดีหน่อย อย่าขยับมือไม้วุ่นวาย”
นางตบเขาเบาๆ เหมือนตบลูกหมา ตี้ฝูอีไม่พูดไม่จารั้งตัวนางเข้าสู่อ้อมแขนเสียเลย จุมพิตนางหนักๆ ทีหนึ่ง จวบจนลมหายใจของทั้งสองหอบกระชั้นถึงได้ยอมปล่อย
“ข้าไม่ได้ขยับมือแล้ว ข้าขยับปาก”
กู้ซีจิ่วผลักเขาไปทีหนึ่ง
“เจ้าทำเป็นเล่นอีกแล้วนะ”
ระหว่างที่คุยกัน ทั้งสองได้เข้าสู่ส่วนลึกของอุโมงค์แล้ว เข้ามาในอาคารกว้างหลังหนึ่ง
กู้ซีจิ่วใจเต้นนิดๆ การตกแต่งของที่นี่แหมือนตำหนักลับใต้ดินที่เมืองซุ่ยเย่ทุกประการ และมีชั้นวางติดผนัง บนชั้นวางคือผลึกวิญญาณหลากสีสันอวดโฉมอยู่ มากมายดุจดวงดาว…
กู้ซีจิ่วมองอย่างสุขใจ อยากเก็บผลึกวิญญาณเหล่านี้ไปให้หมดยิ่งนัก!
เพียงแต่ในมิติของเธอบรรจุสิ่งนี้เอาไว้มากมาย ถึงยัดอีกก็คงยัดได้ไม่เท่าไหร่แล้ว
เธอจึงสะกิดตี้ฝูอีเสียเลย
“มิติเก็บของเจ้าใหญ่ไพศาล เก็บผลึกวิญญาณพวกนี้ไปสิ! ผลึกวิญญาณพวกนี้น่าจะใช้ขับเคลื่อนค่ายกลชั่วร้าย บางทีถ้าพังของเขาเสีย แดนอสุราอาจกลับเป็นปกติได้”
ตี้ฝูอีวนสำรวจภายในห้องโถงรอบหนึ่ง ขมวดคิ้วนิดๆ
“ผิดปกติ!”
จับมือน้อยของกู้ซีจิ่วที่กำลังจะหยิบผลึกวิญญาณก้อนใหญ่ที่สุด
“ชะงักมือก่อน ผลึกวิญญาณเหล่านี้แปลกประหลาด”
กู้ซีจิ่วผงะไป ชักมือกลับมา มองผลึกวิญญาณเหล่านั้นอย่างละเอียด สำหรับเธอแล้วดูไม่ต่างกับผลึกวิญญาณทั่วไปเลย
“แปลกยังไง?”
ตี้ฝูอีพาเธอถอยหลังไปสองสามก้าว
“รัศมีของพวกมันผิดปกติ!”
พลันสะบัดแขนเสื้อไปทางผลึกวิญญาณก้อนใหญ่ที่สุดก้อนนั้น ลำแสงสีรุ้งวาบออกมา จู่ๆ ก็มีไอดำสายหนึ่งผุดออกมาจากผลึกวิญญาณก้อนนั้น…
รูปทรงของไอดำกลุ่มนั้นดุจผีร้าย พอปรากฏขึ้นก็อ้าปาก เมื่อเห็นมันกำลังจะกรีดร้องแหลมเสียดหู กู้ซีจิ่วตอบสนองว่องไว ดีดปลายนิ้วทันที กระแสดัชนีสายหนึ่งพุ่งเข้าสู่ปากของผีร้าย อุดเสียงกรีดร้องของผีร้ายกลับเข้าไปในปาก!
ตี้ฝูอีก็ลงมือด้วยเช่นกัน แสงสีรุ้งห่อหุ้มผีร้ายตัวนั้นทันที…
เกิดเสียงดังฉึบ ผีร้ายตัวนั้นคอตกชิดอก เหมือนจะสลบไปแล้ว
“ทำไมไม่ฆ่ามันล่ะ?”
กู้ซีจิ่วมองออกว่าผีร้ายดุร้ายยิ่ง อย่างน้อยก็น่าจะเอาชีวิตคนมากว่าสิบคนแล้ว
“ฆ่าตอนนี้ไม่ได้”
ตี้ฝูอีอธิบาย
“มันถูกใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยอย่างหนึ่ง ไม่ว่ามันจะกรีดร้อง หรือว่าถูกฆ่า ล้วนจะกระตุ้นสัญญาณเตือนภัยขึ้นมา คนด้านนอกจะทราบเรื่อง ดังนั้นทำให้มันสลบไปจะดีที่สุด”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้
กู้ซีจิ่วไม่คิดเลยว่าผีร้ายตัวเดียวจะมีลู่ทางใช้งานมากขนาดนี้ มองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง
เขารู้มากเสียจริง!
ตี้ฝูอีอดยิ้มไม่ได้
“เด็กโง่ เจ้านึกว่าตำแหน่งราชันมารของข้าเป็นของเก๊หรือไง?”
สำหรับไสยเวทย์ชั่วร้ายพวกนั้นเขารู้มากกว่านางนัก!
เขาดีดนิ้วออกไปอย่างต่อเนื่อง พุ่งกระจายออกไปยังผลึกวิญญาณที่แตกต่างกัน จุดที่ลำแสงสีรุ้งพุ่งไปถึง ล้วนมีผีร้ายปรากฏตัวขึ้น ถูกเขาทำให้สลบแล้วผนึกไว้บนผลึกวิญญาณอีกครั้ง
หลังจากดำเนินการเสร็จสิ้น เขาได้ผนึกผีร้ายไปมากว่ายี่สิบตัวเลย
ผีร้ายเหล่านี้สิงอยู่ในผลึกวิญญาณที่แตกต่างกันไป ทำให้คนยากจะรับมือได้
หากไม่ผนึกผีร้ายเหล่านี้ไว้ ขอเพียงมนุษย์แตะถูกมัน ก็จะถูกพวกมันทำร้ายได้
————————————————————————————-
บทที่ 2474 ที่แท้เขาก็มีช่วงเวลาเขินอายเช่นกัน…
ต่อให้มีพลังยุทธ์สูง ทำร้ายพวกเขาไม่ได้ แต่พวกมันก็จะส่งสัญญาณเตือนภัย พอถึงเวลาลูกน้องเหล่านั้นของอวิ๋นเยียนหลีก็จะแห่กันมา พวกเขาซ่อนเร้นไม่ได้แล้ว
เมื่อจัดการผีร้ายที่อยู่ในผลึกวิญญาณได้แล้ว ตี้ฝูอีก็กวาดผลึกวิญญาณอื่นๆ เข้าช่องมิติของตนอย่างไม่เกรงใจแล้ว ทิ้งผลึกวิญญาณที่ผนึกผีร้ายเอาไว้ตรงนั้น จากนั้นก็กลบเกลื่อนกลิ่นอายของโถงนี้ เลี่ยงไม่ให้ถูกคนสังเกตเห็น
กู้ซีจิ่วก็หาประตูลับสำหรับไปต่อบานนั้นพบแล้ว เนื่องจากการเปิดประตูบานนี้ต้องใช้พลังวิญญาณขั้นเก้าขึ้นไป ครั้งก่อนกู้ซีจิ่วไม่เข้าขั้น จึงพลาดไปเสีย
ตอนนี้พลังยุทธ์บรรลุขั้นเก้าแล้วกำลังจะทะยานเข้าสู่ขั้นสิบอย่างรวดเร็ว เมื่อต้องเปิดประตูบานนี้อีกครั้งจึงไม่ลำบากแล้ว
กู้ซีจิ่วเปิดประตูลับได้อย่างง่ายดายว่องไว พบว่าหลังบานประตูคืออุโมงค์ศิลาหยก
ศิลาหยกเป็นหินออบซีเดียน[1] สามารถดูดซับแสงทุกอย่างได้ ทันทีที่เปิดประตูบานนั้น คล้ายเปิดประตูสู่นรกอันมืดมิด
มีสายลมยะเยือกโชยออกมา ลมไม่แรง ทว่าเหน็บหนาวเข้ากระดูก กู้ซีจิ่วหนาวสะท้าน เส้นขนบนหลังมือลุกชันขึ้นมา
ตี้ฝูอีดึงนางไปอยู่ด้านหลังตน
“อย่าพุ่งไปข้างหลัง ตามข้าไว้”
พลันวาดมือสร้างเขตแดนเล็กๆ ครอบคลุมรอบกายเธอไว้ เมื่อสายลมนั้นโชยมาอีกครั้งกู้ซีจิ่วก็ไม่รู้สึกแล้ว
เขาช่างประคบประหงมเธอประหนึ่งตุ๊กตากระเบื้องเคลือบโดยแท้ กู้ซีจิ่วมองแผ่นหลังสูงใหญ่ทรงภูมิที่อยู่ด้านหน้าของเธอ ในใจทั้งอบอุ่นทั้งขบขัน
แค่ลมเย็นหอบหนึ่งเท่านั้น เขาไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อยหรือ เห็นเธอเป็นแม่นางหลินที่ลมพัดก็ทรุดแล้วจริงๆ หรือไง?
เพียงแต่ ความรู้สึกที่ถูกคนรักปกป้องเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!
กู้ซีจิ่วเอียงหน้าซบหลังเขา สองแขนโอบเอวเขา
“ฝูอี ข้ารักเจ้าจังเลย!”
ฝีเท้าตี้ฝูอีชะงักไป ตอบอืมคำหนึ่ง พาเธอเดินหน้าต่อไป
เขาไม่ได้หยอกเย้าเธออย่างที่พบเห็นได้ยากนัก กู้ซีจิ่วนึกว่าด้วยระดับความหนาของหนังหน้าเขา จะต้องเอ่ยถ้อยคำหวานเลี่ยนอย่าง
‘ข้าก็รักเจ้า’
เช่นนี้ออกมา กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบเธอแค่คำว่า
‘อืม’
แผ่วหวิวคำเดียว
เขาไม่ชอบที่เธอเปิดเผยเช่นนี้หรือ?
กู้ซีจิ่วสงวนท่าทีมาโดยตลอด ที่เอ่ยประโยคนั้นออกมาก็เป็นเพราะความอบอุ่นในใจเปี่ยมล้นเกินไป เกิดอารมณ์ชั่ววูบขึ้นมาจึงกล่าวออกไป
หลังจากพูดออกมาก็รู้สึกว่าค่อนข้างเลี่ยน เพียงแต่เธอยังคงคาดหวังให้เขาตอบสนองเธออยู่
ยามนี้ปฏิกิริยาของเขาเฉยเมยนัก ในใจกู้ซีจิ่วจึงผิดหวังนิดๆ คิดจะคลายอ้อมแขนออก ทว่าเขาที่อยู่ด้านหน้ากลับจับข้อมือเธอไว้ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้เธอปล่อยมือ
กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้น ถึงแม้อุโมงค์เส้นนี้จะมืดจนมองไม่เห็นมือ แต่ผู้ฝึกยุทธ์อย่างเธอ การมองเห็นในสถานที่เช่นนี้ก็แจ่มแจ้งดุจตอนกลางวัน
เธอมองเห็นชัดเจนว่าใบหูตี้ฝูอีแดงก่ำแล้ว ติ่งหูราวกับมุกปะการังแดงก็มิปาน…
มือที่จับสองมือของเธอไว้ก็ร้อนผ่าว อุณหภูมินั้นคล้ายจะพุ่งทะลุเข้าไปสู่หัวใจ
เขาเขินแล้ว!
ที่แท้เขาก็มีช่วงเวลาเขินอายเช่นกัน…
มุมปากของกู้ซีจิ่วยกโค้งขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้
ตัวเธอไม่ชอบยิ้มแย้ม แต่เวลาอยู่กับเขา เธอมักจะรื่นเริงเบิกบานน่าประหลาด
หากมิใช่เพราะกังวลถึงฤทธิ์ยาในร่างเขายังไม่ปะทุออกมา เธอคงมีความสุขกว่านี้
“เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง?”
กู้ซีจิ่วถามเสียงเบา
“ยอดเยี่ยม อบอุ่นมาก”
ตี้ฝูอีกระซิบตอบนาง
“คนโง่ ข้าถามว่าสุขภาพเจ้าเป็นยังไงบ้าง ถามถึงอารมณ์ของเจ้าเสียที่ไหน? รู้สึกอึดอัดไม่สบายบ้างหรือเปล่า?”
“ยังไม่มี”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก
“บางทีฤทธิ์ยานั้นอาจถูกเจ้าย่อยไปแล้ว ไม่ปะทุขึ้นมาอีก อย่างไรก็ตามถ้าไม่เหนือไปจากที่คาดไว้ เห็ดมรรคาม่วงนั้นก็แปรสภาพมาจากพลังวิญญาณในอดีตของเจ้าอยู่แล้ว”
“อาจจะใช่กระมัง”
————————————————————————————-
[1] หินออบซิเดียน ถูกเรียกว่าแกรนิตเนื้อแก้ว ลักษณะหินมักมีสีดำเนื้อหินละเอียด มีความแข็งและขอบคม ในยุคโบราณมีการนำหินออบซิเดียนมาทำเป็นอาวุธ