บทที่ 2479 ปรับแก้ผังดาว 4
ไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใด เริ่มถ่ายเทพลังวิญญาณที่ดูดซับมาจากร่างตี้ฝูอีเข้าสู่ร่างกู้ซีจิ่วเลย
พลังวิญญาณนั้นรุนแรงทรงพลัง ซ้ำหยกนภายังถ่ายเทให้อย่างเร่งร้อน กู้ซีจิ่วรู้สึกเพียงว่าพลังวิญญาณทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็วจนชีพจรแทบจะระเบิดแล้ว เจ็บปวดอย่างยิ่ง…
เธอดูดซับสิ่งนี้เพียงเล็กน้อยอย่างทรมานขนาดนี้ แล้วตี้ฝูอีล่ะ…
กู้ซีจิ่วอดใจไม่ไหวหันกลับไป พบว่าตี้ฝูอีเริ่มนั่งสมาธิแล้ว นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นราวกับพุทธองค์
เธอถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก หยกนภาถ่ายเทพลังวิญญาณเข้ามาไม่น้อยเลย เพียงครู่เดียวก็ทำให้เธอรู้สึกเปี่ยมล้นขึ้นมาอีกครั้ง ถึงขั้นที่มีสัญญาณว่าจะฝ่าทะลวงแล้วด้วย
เดิมทีพลังวิญญาณของเธอคือขั้นเก้าสองส่วน ตอนนี้พุ่งพรวดขึ้นมาเป็นขั้นเก้าแปดส่วนแล้ว เห็นว่ากำลังจะไปสู่ขั้นเก้ากับอีกเก้าส่วนแล้วด้วย…
ถ้าผ่านขั้นเก้ากับอีกเก้าส่วนไปได้ ก็จะบรรลุขั้นสิบอย่างรวดเร็วยิ่ง เมื่อบรรลุขั้นสิบก็ต้องฝ่าด่านอสุนิบาตสวรรค์
สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับทะลวงขั้นโบยบิน มิเช่นนั้นจะเป็นการเรียกอวิ๋นเยียนหลีมา กลายเป็นตัวล่อเป้า!
กู้ซีจิ่วฉวยโอกาสเคลื่อนย้ายผลึกวิญญาณทันที ใช้คลื่นพลังวิญญาณที่เพิ่งทะลักเข้ามาสู่ร่าง
เนื่องจากพลังวิญญาณรุดหน้าแล้ว ความเร็วในการเคลื่อนย้ายผลึกวิญญาณของเธอจึงเร็วกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย…
หยกนภาถ่ายเทพลังวิญญาณบนร่างเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าไม่จุกแล้ว ถึงขั้นที่หิวอยู่บ้างด้วย มันจึงลอยกลับไปดูดซับพลังวิญญาณบนข้อมือตี้ฝูอีอีกครั้ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ หยกนภาตัวน้อยจึงราวกับจับกังแบกหาม ดูดซับพลังวิญญาณจากตี้ฝูอีที่อยู่ตรงนั้นมาให้กู้ซีจิ่วที่ อยู่ตรงนี้…
หยกนภารู้สึกว่าเทียวไปเทียวมาเช่นนี้วุ่นวายเหลือเกิน ตนเหนื่อยจนหอบเหมือนสุนัขแล้ว!
กินเข้าไปจนจุก แล้วสำรอกออกมาอีก สำรอกเสร็จก็กลับมากินใหม่…
มันรู้สึกว่าร่างเล็กจ้อยของตนเหนื่อยจนจะหมดแรงแล้ว!
ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งชั่วยามแล้ว
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็นำผลึกวิญญาณสองก้อนนั้นไปส่งยังตำแหน่งที่ระบุได้
ทันทีที่ผลึกวิญญาณสองก้อนนั้นเข้าที่แล้ว สายลมยะเยือกที่ไหลวนอยู่ท่ามกลางผลึกวิญญาณก็เลือนหายไปทันที
ถูกแทนที่ด้วยสายลมแผ่วบางไม่ร้อนไม่เย็น ไหลเวียนกลับไปกลับมาท่ามกลางผลึกวิญญาณ โชยลงบนร่างวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นเบาๆ
วิญญาณอาฆาตเหล่านั้นเดิมทีทุกข์ทรมานยิ่งนัก ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่ตลอด ยามนี้กลับคล้ายได้รับการปลอบประโลม ค่อยๆ สงบลง
ในค่ายกลผลึกวิญญาณนี้เคยเป็นค่ายกลสังหารที่โหดร้ายอย่างยิ่ง ยามนี้อานุภาพของค่ายกลยังคงมหาศาลอยู่ แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมากลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว แปรเปลี่ยนเป็นสงบสุขเปี่ยมมงคล
กู้ซีจิ่วไม่จำเป็นต้องถามตี้ฝูอี ก็ทราบแล้วว่าตนทำสำเร็จ
ค่ายกลที่ต้องเป็นจินเซียนถึงจะเคลื่อนย้ายได้ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกคนที่ไม่ใช่แม้แต่เสี่ยวเซียนอย่างเธอทำสำเร็จได้!
กู้ซีจิ่วย่อมรู้สึกภาคภูมิอิ่มเอมนัก หันไปเอ่ย
“สำเร็จแล้ว ข้าเป็นยังไงบ้างหละ…”
ยังไม่ทันเอ่ยจนจบก็ชะงักไป
ตี้ฝูอียังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น แน่นิ่งดุจขุนเขา สองตาหลุบลง ราวกับรูปสลักหยก
กู้ซีจิ่วใจหายวาบทันที เธอถลาเข้าไป วางมือลงบนบ่าเขา
“ฝูอี…”
มือสัมผัสถึงความเย็นเยียบ แข็งทื่อ
ภายใต้อาภรณ์ไม่คล้ายว่าใช่ผิวมนุษย์แล้ว…
นิ้วมือเธอสั่นระริกขึ้นมา ปลายนิ้วเธอสัมผัสพวงแก้มเขาอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง ใบหน้าเขาก็เย็นเฉียบแข็งทื่อ ให้สัมผัสและอุณหภูมิแบบเดียวกับเนื้อหยก…
รูปหยก!
นี่เป็นรูปสลักหยกชิ้นหนึ่ง!
กู้ซีจิ่วลูบคลำทั้งร่างของมันอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในที่สุดก็แน่ใจแล้วว่าตั้งแต่หัวจรดเท้านี้ก็คือรูปสลักหยก!
เพียงแต่รูปสลักหยกนี้ดูสมจริงอย่างยิ่ง ราวกับมนุษย์จริงๆ แม้แต่ขนตาก็เรียงเป็นเส้นชัดเจน ลายเส้นบนเนื้อหยกก็เรียบเนียนดุจผิวพรรณของมนุษย์
คนเป็นๆ คนหนึ่งจะกลายเป็นรูปสลักหยกไปได้อย่างไรกัน?!
หรือว่าตี้ฝูอีไปแล้ว? โยนรูปสลักหยกชิ้นหนึ่งทิ้งไว้ตรงนี้เป็นสิ่งแทนตัว?
เป็นไปไม่ได้
ด้วยความรักที่ตี้ฝูอีมีต่อเธอ เป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งเธอแล้วหนีหายไปอย่างเงียบเชียบ!
หรือเขาจะกลายเป็นรูปสลักหยกชิ้นนี้จริงๆ?
….
————————————————————————————-
บทที่ 2480 จะไม่เลวทรามเกินไปหน่อยหรือ?
กู้ซีจิ่วมองดูข้อมือตนตามสัญชาตญาณ หยกนภาคล้องอยู่บนนั้น เจ้าสิ่งนี้คงจะเหนื่อยล้ายิ่ง หลังจากกลับมาที่ข้อมือเธอรอบสุดท้าย ก็ไม่ไปต่อแล้ว อยู่มาจนถึงตอนนี้ อยู่มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
เมื่อครู่เธอทุ่มสมาธิทั้งหมดไปกับการเคลื่อนย้ายผลึกวิญญาณ จึงไม่ได้สนใจมัน
“เสี่ยวชาง ฝูอีล่ะ?”
หยกนภาไม่ตอบสนอง
คงมิใช่ว่ามันก็กลายเป็นหยกไปแล้วกระมัง?!
กู้ซีจิ่วใช้นิ้วดีดมัน
“พูดสิ!”
หยกนภาไม่แม้แต่จะเปล่งแสงเลย ไม่รู้ว่าเหนื่อยจนสลบไปแล้ว หรือว่าปิดระบบไปแล้วกันแน่
เนื่องจากเจ้าสิ่งนี้มักจะปิดระบบแกล้งตายไปด้วยตัวเองเสมอ กู้ซีจิ่วก็รู้ว่าเรียกมันให้ตอบสนองไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงปล่อยไป
ความสนใจกลับมาอยู่ที่รูปสลักหยกนั้นอีกครั้ง จู่ๆ ก็พบอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
เดิมทีตี้ฝูอีสวมอาภรณ์สีม่วงพร่างพราว ทว่ายามนี้รูปสลักหยกนี้กลับสวมชุดสีขาวพิสุทธิ์ เสื้อคลุมหลวมกว้าง วัสดุมิใช่ไหมมิใช่หนัง สัมผัสแล้วเรียบลื่นดุจเส้นไหมจริงๆ แฝงไออุ่นไว้รางๆ ตรงสาบเสื้อใช้ไหมสีเข้มปักลวดลายที่อ่อนช้อยเอาไว้ ลายนั้นมิใช่หงส์มังกร และมิใช่บุปผาใดๆ แต่คล้ายตะวันจันทราดาราพร่างพราว ดวงดาวกระจายตัวไป เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเรียบง่ายยิ่ง ทว่าทำให้คนรู้สึกว่าสูงศักดิ์เหลือเกิน
สรุปแล้วนี่ใช่เขาหรือเปล่า?
ตอนนั้นเขาทุกข์ทรมานขนาดนั้น ไม่น่าจะมีเวลาเปลี่ยนชุดกระมัง?
แล้วที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้คืออะไรกัน?
หัวใจเธอกระสับกระส่าย เรื่องนี้ประหลาดเกินไป เธอคิดอย่างไรก็หาคำอธิบายไม่ได้
และเธอก็เกรงว่าตี้ฝูอีจะกำลังฝึกฝนวิชายุทธ์อันใดอยู่ ดังนั้นจึงไม่กล้ารบกวนนัก เพียงจับข้อมือวัดหาชีพจรของรูปสลักหยก ซบฟังเสียงหัวใจเขา…
แน่นอน เธอตรวจไม่พบอะไรเลย
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือรูปสลักหยก ไม่มีสัญญาณชีพ ย่อมวัดการเต้นของชีพจรไม่ได้
เธอเรียกเขาดู เขาก็ไม่ตอบสนอง
คงไม่ใช่ว่ายังมีบอสใหญ่ที่บงการอยู่เบื้องหลังอันใดฉวยโอกาสตอนที่สถานการณ์วุ่นวายลักพาตัวตี้ฝูอีไป จากนั้นก็ทิ้งรูปสลักหยกไว้หลอกเธอ?
เธอสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง พยายามสงบสติ นึกถึงเอกลักษณ์พิเศษเหล่านั้นบนร่างของตี้ฝูอี
เรือนร่างตี้ฝูอีดีพร้อมเสมอมา ตั้งแต่เล็กจนโตได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย ทว่าบนร่างเขากลับไม่มีรอยแผลเป็นหลงเหลืออยู่เลย สมบูรณ์แบบจนทำให้คนอยากกรีดเขาสักแผลสองแผล
ไม่มีไฝฝ้าตำหนิอันใดที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับยืนยันตัวตนได้เลย…
ไม่ถูกสิ บนร่างเขามีเครื่องหมายอยู่!
ตรงโคนขาซ้ายของเขามีปานที่ดูคล้ายดอกลำโพงดอกหนึ่งอยู่…
ตำแหน่งนั้นลับตาถึงเพียงนี้ หากมิใช่เพราะกู้ซีจิ่วเคยเล่นพลิกผ้าห่มกับเขา ก็คงไม่ทราบเช่นกัน
หากว่ามีคนสร้างรูปสลักหยกขึ้นมาใช้แอบอ้างเป็นเขา จะต้องไม่ทราบแน่ว่าเขามีปานนี้อยู่ ไม่ได้ทำรอยไว้ด้วยแน่นอน…
ถ้าจะดูปานที่อยู่ตรงนั้น ก็ต้องถอดเสื้อผ้าเขาออก…
กู้ซีจิ่วมองรูปสลักหยกที่นั่งสมาธิอยู่ตรงนั้นอย่างเคร่งขรึมจริงจัง ลมแทบจับแล้ว
ถ้าเธอต้องเปลื้องผ้ามันจริงๆ จะไม่เลวทรามเกินไปหน่อยหรือ?!
ไม่สนแล้ว เธอต้องพิสูจน์ดูถึงจะวางแผนต่อได้
ถึงยังไงก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว จะกลัวอะไร!
เธอตัดสินใจโดยพลัน เริ่มถอดชุดบนร่างมันแล้ว…
….
จันทราในเดือนสองของฤดูใบไม้ร่วงแจ่มชัดเป็นพิเศษ
และเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ประจำปีด้วย
จันทรากลมมนลอยขึ้นสูงแล้ว กระจ่างแจ่มแจ้ง ปุยเมฆาเบาบางโอบล้อมจันทร์เพ็ญ งดงามเกินพรรณนา
ริมทะเลสาบไท่หู[1]ที่มีไอน้ำลอยแผ่วพลิ้ว เงาจันทร์ทอดลงบนผิวทะเลสาบ ระลอกคลื่นไหวกระเพื่อมนิดๆ ทำให้แสงจันทราไหววิบวับราวกับแร่เงิน
แสงไฟจากสองฟากฝั่งสว่างไสว คลาคล่ำด้วยนักท่องเที่ยว
แม้ว่ายามราตรีจะสว่างไสวด้วยแสงไฟนีออนของยุคใหม่ แต่ก็ไม่อาจขวางความสนใจในการล่องทะเลสาบของผู้คนได้
กลางทะเลสาบไท่หูมีเขาอยู่ลูกหนึ่ง แม้ว่ายอดเขาจะไม่สูง ทว่าเป็นตำแหน่งที่เหมาะสำหรับชมจันทร์
บัดนี้ในศาลาหลังน้องของยอดเขา มีคนสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน
บนโต๊ะเบื้องหน้าคนทั้งสองวางขนมอบสองสามชนิด กับแกล้มสามสี่อย่าง สุราหนึ่งกา
————————————————————————————-
[1] ทะเลสาบไท่หู เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีใกล้เมืองเซี่ยงไฮ้ ตั้งอยู่ในเขตมณฑลเจียงซู มีขนาดประมาณ 2,250 ตารางกิโลเมตร นับได้ว่าเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดลำดับที่สามของประเทศจีน