บทที่ 2487 เชือดไก่ให้ลิงดู
เหล่าชาวบ้านก็ห้อมล้อมอยู่รอบผังดาว คุมเชิงกับพวกเจ้าวังน้อยอยู่…
เขาเร้นกายอยู่บนฟ้าลอบฟังครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ฟังจนเข้าใจคร่าวๆ แล้ว
พวกชาวบ้านคิดว่าค่ายกลวิญญาณนี้ได้รับการปลุกเสกโดยเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์ เป็นค่ายกลมงคลปกปักษ์โลกา เป็นมันที่ทำให้พิรุณโลหิตหยุดเร็วขึ้น จะต้องเฝ้าดูแลไว้ให้ดี ผู้ใดก็ไม่อาจแตะต้องได้!
ส่วนพวกเจ้าวังน้อยก็บอกว่าค่ายกลนี้เป็นค่ายกลชั่วร้าย ต้องการส่งคนลงไปตรวจสอบดู
พวกชาวบ้านย่อมไม่ยอมปล่อยให้ลงไป ถึงขั้นที่ไม่ยอมให้คนของเจ้าวังหน่อยได้แตะต้องเลยสักนิด
ในกลุ่มของของชาวบ้านที่คุมเชิงอยู่เหล่านี้ มียอดฝีมือผู้เลิศล้ำอยู่ด้วย…
เจ้าวังน้อยอาศัยว่าที่นี่คือจวนเจ้าเมือง อ้างว่าประชาชนไม่สามารถรั้งอยู่ที่นี่นานๆ ได้ คิดจะไล่ทุกคนออกไป
แต่ชาวบ้านไหนเลยจะยอมจากไป?
เจ้าวังน้อยคงคิดจะเชือดไก่ให้ลิงดู ขู่ให้คนเหล่านี้เตลิดไป จึงลงมือซัดยอดฝีมือที่ขัดขวางอย่างหนักตายไปแล้วคนหนึ่ง ผลคือไม่เพียงแต่ไม่อาจทำให้คนเตลิดหนีไปได้ กลับทำให้ฝูงชนโกลาหลมากขึ้น!
คนที่ออกมาต่อต้านคุมเชิงกับพวกเจ้าวังน้อยยิ่งมากขึ้นไปอีก!
เรื่องราวเกี่ยวพันถึงการฟื้นฟูแดนอสุรา ไม่มีผู้ใดยอมถอย ประชาชนแทบทั้งเมืองล้วนมากันหมดแล้ว…
กฎหมายไม่อาจควบคุมฝูงชนได้ ต่อให้เจ้าวังน้อยขวัญกล้าเทียมฟ้า ก็ไม่กล้าล่วงเกินยอดฝีมือทั้งหมด แต่นางก็ไม่กล้าจากไปเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ทั้งสองฝ่ายจึงคุมเชิงกันอยู่ที่นี่
ระหว่างที่ฟังคนเหล่านี้เอะอะโวยวาย อวิ๋นเยียนหลีก็เพ่งพินิจผังดาวนี้ให้ละเอียดไปด้วย หัวใจแทบจะจมดิ่งลงไปถึงพื้น
เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลย!
รูปแบบของผังดาวนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว!
เปลี่ยนไปเป็นแบบที่เขาก็ไม่รู้จักแล้ว…
อวิ๋นเยียนหลีนิ่งเงียบอยู่ในกลุ่มเมฆาบนฟากฟ้าพักหนึ่ง กำมือแน่น กำจนแน่นแล้วแน่นอีก สูดหายใจเบาๆ คราหนึ่ง สงบอารมณ์เล็กน้อย ร่อนลงจากท้องฟ้า
ถึงอย่างไรอวิ๋นเยียนหลีก็เคยเป็นองค์ชายของดินแดนเบื้องบนมาก่อน มีศักดิ์มีฐานะ ดังนั้นทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเหล่าชาวบ้านล้วนลึกลับยิ่ง สง่างามนัก
อย่างเช่นในครั้งนี้ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขาเหน็ดเหนื่อยกับการไล่ล่าสังหาร แต่ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชนก็ได้จัดการทั้งร่างให้หมดจดแล้ว สง่างามเรียบง่าย อาภรณ์พลิ้วไหว ราวกับคุณชายสูงศักดิ์ที่กระโจนลงสู่โลกาอันวุ่นวาย รอบกายที่อำนาจกดดันคนอยู่รางๆ อำนาจอันกล้าแกร่งนั้นทำให้ทุกคนเงียบเสียงลง
เมื่อเห็นอวิ๋นเยียนหลีมาถึง พวกเจ้าวังน้อยดั่งพบดาวช่วยชีวิต ในที่สุดก็มีแกนนำแล้ว รีบเข้ามาต้อนรับ
เหล่าชาวบ้านสบตากันแวบหนึ่ง เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้คุกเข่าทำความเคารพเขา…
สายตาเคลือบแคลงสงสัยนับไม่ถ้วนร่อนลงบนร่างเขา ทำให้อวิ๋นเยียนหลีได้สัมผัสความรู้สึกกระสับกระส่ายราวกับมีไฟลนหลังอยู่เป็นครั้งแรก…
เขาเงียบงันนิ่งเฉย แสร้งทำเป็นไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวเอ่ยถามเสียงขรึม
“เกิดอะไรขึ้น?”
ด้วยเหตุนี้เจ้าวังน้อยจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกมารอบหนึ่ง บอกว่าพวกเขากำลังค้นหาตัวพวกสวะลัทธิมารอยู่ ผลคือจวนถูกระเบิด เผยผังดาวนี้ออกมา…
เป็นการเล่าจากพวกเจ้าวังน้อย ย่อมบอกว่าค่ายกลนี้มีไอมาร ตามหลักสมควรต้องผนึกไว้อย่างรวดเร็ว
แต่พวกชาวบ้านกลับบอกว่าค่ายกลนี้มีไอมงคล และเป็นเพราะค่ายกลนี้ปรากฏขึ้น ถึงทำให้พิรุณโลหิตกับค้างคาวโลหิตสลายไปก่อนกำหนด ต่อให้พวกเขาต้องตายก็จะปกป้องค่ายกลนี้ไว้ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดแตะต้อง
ทั้งสองฝ่ายถกเถียงโต้แย้ง เกือบทะเลาะเบาะแว้งกันอีกครั้ง
อวิ๋นเยียนหลีฟังอยู่เงียบๆ จนจบ ยกมือขึ้น ยับยั้งเสียงถกเถียงโวยวายของฝูงชน ค่อยๆ เอ่ยขึ้น
“ทุกท่าน เจ้าเมืองอย่างข้าไม่เห็น ‘ท่านเทพ’ ที่ทุกท่านเอ่ยถึงเลย ดังนั้นจึงลงความเห็นไม่ได้ชั่วคราว แต่ค่ายกลนี้…หาได้รับการปลุกเสกจากท่านเทพไม่ แต่เป็นสิ่งที่ท่านเซียนบรรพกาลทิ้งไว้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน มันคือแหล่งพลังที่ไหลเวียนขับเคลื่อนเขตแดนเหนือเมือง ถ้าไม่มีมัน เขตแดนนั้นก็จะไม่คงอยู่ เจ้าเมืองอย่างข้ารับช่วงต่อค่ายกลนี้มาจากเจ้าเมืองคนเก่า ไม่กล้าละเลยไปแม้เพียงนิด ต้องคอยเปลี่ยนผลึกวิญญาณด้านในเป็นระยะๆ เพียงเพื่อรักษาให้มันโคจรได้เป็นปกติ ผลึกวิญญาณเหล่านั้นที่เคยได้รับมาจากทุกท่านก็เพื่อใช้ขับเคลื่อนสิ่งนี้”
เอ่ยเลื่อนลอยเพียงไม่กี่ประโยค ดึงความน่าเชื่อถือในอดีตออกมา
….
————————————————————————————-
บทที่ 2488 คุนเผิง
แน่นอน ชาวบ้านที่นี่ล้วนเป็นผู้มีปัญญาทั้งสิ้น มิใช่จะหลอกได้ง่ายๆ บางคนย้อมถามขึ้นมาทันที
“เจ้าเมืองอวิ๋นบอกว่าค่ายกลวิญญาณนี้คงอยู่มานานแล้ว ข้อนี้พวกเราเชื่อ แต่ประโยชน์ใช้สอยของมันต้องมิได้เป็นเช่นปัจจุบันแน่! มิเช่นนั้นเหตุใดมันถึงไม่ยับยั้งพิรุณโลหิตได้โดยเร็วเล่า? ไม่สลายเมฆทึบทะมึนออกไปโดยเร็วเล่า? แต่หลังจากท่านเทพผู้นั้นปรับแก้กลไกแล้ว พิรุณโลหิตนี้ถึงได้ยุติก่อนกำหนด…”
เมื่อมีหนึ่งคนร้อง ก็มีอีกหลายสิบคนคล้อยตามทันที ฝูงชนส่งเสียงเกรียวกราว
ทุกคนชิงชังพิรุณโลหิตและค้างคาวโลหิตอย่างยิ่ง ยามนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เห็นแสงแห่งความหวังอันน้อยนิด ไหนเลยจะถูกอวิ๋นเยียนหลีหลอกลวงด้วยคำพูดไม่กี่ประโยคได้เล่า?
มีบางคนพูดจาไม่เกรงใจอวิ๋นเยียนหลีแล้ว
เจ้าวังน้อยมีโทสะขึ้นมาแล้ว นางเคารพบูชาอวิ๋นเยียนหลีอย่างแท้จริง ยิ่งกว่าแฟนคลับที่บูชาดาราเสียอีก ไม่อาจทนให้ผู้อื่นมาหยามหมิ่นเขาได้ หากผู้อื่นหมิ่นแคลนนางนางยังพอทนได้ แต่ถ้าดูหมิ่นอวิ๋นเยียนหลี…
นางพลันกำมือ มีแสงสีเขียวรวมตัวในฝ่ามือ…
เพียงแต่นางยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็ถูกอวิ๋นเยียนหลีจับมือไว้ นางใจเต้นแวบหนึ่ง มองไปที่เขา
อวิ๋นเยียนหลีส่ายหน้านิดๆ ส่งกระแสเสียงหา
‘คนพวกนี้ยังมีประโยชน์อยู่ จดจำแกนนำทั้งหลายเอาไว้ ไว้ค่อยจัดการทีหลัง ตอนนี้จะผลีผลามไม่ได้!‘
ด้วยเหตุนี้เจ้าวังน้อยจึงไม่พูดแล้ว
อวิ๋นเยียนหลียืนเฉยๆ อยู่ตรงนั้นตลอด ฟังถ้อยคำโต้แย้งประโยคแล้วประโยคเล่าของคนเหล่านี้อย่างอดทน ถูกคนชี้หน้าด่าทอ เขาก็ยังคงสงบนิ่งยิ่งนัก ไม่มีทีท่าหงุดหงิดเลยสักนิด
ท่าทางนี้ของเขาทำให้คนลังเลขึ้นมาแล้ว เสียงด่าทอค่อยๆ เบาลงไป
จวบจนผู้คนติเตียนกันจบแล้ว อวิ๋นเยียนหลีถึงได้เอ่ยขึ้นอย่างสุขุม
“ทุกท่าน ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองเคยตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้ว ผังดารานี้ถูกคนแตะต้องแล้วจริงๆ เพียงแต่มิใช่ปรับให้ดีขึ้น แต่เป็นปรับให้เลวร้าย! เดิมทีในผลึกวิญญาณไม่ได้มีวิญญาณร้ายอยู่แล้ว ทว่ายามนี้กลับมีพัวพันอยู่มากมายนัก เป็นเพียงอุบายชั่วร้ายของสิ่งที่เรียกว่าเทพเจ้าผู้นั้น เขาอยากยุแยงให้พวกท่านแตกคอกับข้า หาผลประโยชน์จากจุดนี้ ส่วนแสงมงคลนั้น…เป็นเพียงมนต์พรางตาของเขาเท่านั้น!”
เขายกแขนเสื้อขึ้น ร่ายอาคม หลังจากมีคลื่นแสงสีขาวส่องวาบ วิญญาณอาฆาตที่พัวพันอยู่ในหินผลึกก็ปรากฏออกมา…
ถึงแม้วิญญาณอาฆาตเหล่านั้นจะดูสะลึมสะลือง่วงงุน แต่เป็นวิญญาณอาฆาตของแท้แน่นอน
ชาวบ้านไม่เคยเห็นวิญญาณอาฆาตเหล่านี้มาก่อน ยามนี้จู่ๆ ก็ได้เห็นจึงสะดุ้งโหยง ถอยหลังไปหลายก้าว
ยามที่พวกเขาล่าผลึกวิญญาณมาได้ บนผลึกไม่มีวิญญาณอาฆาตอยู่ ทว่ายามนี้…
เกิดความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในคำพูดของอวิ๋นเยียนหลีขึ้นมาแล้ว
อวิ๋นเยียนหลีถือโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน
“ระยะนี้อาณาจักรมารมีความเคลื่อนไหวแล้ว คิดจะยึดครองเมืองของพวกเราชาวมนุษย์ พิรุณโลหิตและค้างคาวโลหิตนี้ก็คือกลยุทธ์อันต่ำทรามของพวกเขา แต่ถ้าพวกเราชาวเมืองเหล่านี้รวมใจเป็นหนึ่ง ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ร่วมกันสกัดต้านไอมาร ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าโจมตีได้มาหลายร้อยปี ดังนั้นพวกเขาจึงคิดอุบายเช่นนี้ออกมาคิดจะยุแยงให้พวกเราแตกคอ ให้พวกเราปั่นป่วนวุ่นกันภายใน ทุกคนอย่าได้หลงกลเผ่ามาร! เมื่อวานที่บึงพิษเกิดปัญหาใหญ่ขึ้น ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองไปตรวจสอบแล้ว พบคนของอาณาจักรมารกำลังก่อเรื่องอยู่ ซ้ำยังได้รับการรายงานจากสายข่าว บอกว่าเมื่อวานมีคนของเผ่ามารแทรกซึมเข้ามาในเมืองเล่อกั่วของพวกเรา คิดจะฉวยโอกาสทำลายเมือง ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองถึงได้ให้พวกหมิงเตี๋ยออกสืบค้นทั่วเมือง ไม่นึกเลยว่านี่จะเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำของพวกเขา ทำให้คนของข้าออกไปทั้งหมด ฉวยโอกาสทำลายผังดารา ซ้ำยังป้ายสีข้าผู้เป็นเจ้าเมืองด้วย…”
อวิ๋นเยียนหลีเป็นผู้มีวาทศิลป์คนหนึ่ง ตรรกะความคิดก็ละเอียดลออมากพอ วาจานี้จริงครึ่งเท็จครึ่ง มีเหตุมีผล ทำให้คนเชื่อถือได้