บทที่ 2491 คุนเผิง 4
ด้วยเหตุนี้จึงมีคนมากมายโห่ร้องให้สังหารมังกรเจียวตัวนี้เสีย เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง
เกิดเสียงดังระงมไปทั่วอยู่พักหนึ่ง
อวิ๋นเยียนหลีก็คิดจะใช้คุนเสวี่ยอี๋มาดึงดูดความสนใจของผู้คนพอดี พอใจกับปฏิกิริยาของฝูงชนยิ่ง และไม่ได้ขัดขวาง ปล่อยให้พวกชาวบ้านโจมตีคุนเสวี่ยอี๋ด้วยคำพูดขว้างหิน ปาไข่เน่าใส่…
แหนี้ของอวิ๋นเยียนหลีเป็นสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง ยืดได้หดได้ดั่งใจยิ่งนัก เมื่อถูกแหนี้ของเขากักไว้ นอกเสียจากเขาจะเป็นผู้ปล่อยคนออกมาเอง มิเช่นนั้นอย่าฝันว่าจะหลุดรอดไปได้
แถมแหนี้ยังสามารถดูดพลังวิญญาณบนร่างคนได้ด้วย ทำให้คนที่ถูกแหนี้กักไว้จะอ่อนเปลี้ยไร้กำลัง สุดท้ายต่อให้ถูกปล่อยออกมาก็ได้แต่ปล่อยให้ผู้อื่นจัดการไปตามใจ
อวิ๋นเยียนหลีย่อมชิงชังคุนเสวี่ยอี๋ผู้นี้เช่นกัน เดิมทีแหนี้มีแสงคุ้มกันสกัดกั้นการหลบหนีอยู่ชั้นหนึ่ง ตอนนี้เพื่อให้ชาวบ้านได้ระบายความเกลียดชัง จึงสะบัดแขนเสื้อสลายแสงคุ้มกัน
ด้วยเหตุนี้ก้อนหินและไข่เน่าเหล่านั้นจึงกระทบใส่ร่างของคุนเสวี่ยอี๋ กระแทกใส่อย่างรุนแรง
ไม่น่าเชื่อว่าคุนเสวี่ยอี๋จะไม่หงุดหงิดเลย ดูเหมือนเขาจะลุกไม่ขึ้นแล้ว จึงใช้แขนข้างหนึ่งป้องหัวป้องอกไว้เสียเลย รอจนคลื่นหินไข่เน่าผ่านพ้นไปแล้ว เขาถึงจับแขนเสื้อเบาๆ เช็ดไข่เน่าเขียวๆ เหลืองๆ ออกจากร่าง เอ่ยอย่างเฉื่อยชา
“โอ้ เดิมทีข้านึกว่าพวกเจ้าจะมีปัญญาอยู่บ้าง ยามนี้ดูทรงแล้ว…โง่งมยิ่งขึ้นไปอีก!”
ฝูงชนโมโหขึ้นมาอีกครั้ง!
อวิ๋นเยียนหลีเอ่ยอย่างเฉยชา
“คุนอวิ๋นจ่าน อย่าได้ว่ากล่าวราษฎรของข้าผู้เป็นเจ้าเมือง! ตอนนี้แผนร้ายของพวกเจ้าเผ่ามารเผยออกมาแล้ว เจ้ายังมีสิ่งใดจะพูดหรือไม่?”
คุนเสวี่ยอี๋ไม่สนใจเขา กวาดตามองฝูงชนแวบหนึ่ง
“อันที่จริงการตัดสินดีชั่วของค่ายกลนี้ง่ายดายยิ่ง รอดูว่าสิบวันให้หลังจะมีพิรุณโลหิตค้างคาวโลหิตมาอีกหรือไม่ก็พอแล้ว ยังมีอีก ในเมืองค่ายกลนี้เป็นแหล่งพลังของเขตแดนคุ้มเมือง เช่นนั้นที่เมืองอื่นๆ ก็น่าจะมีเหมือนกัน ถ้าทุกท่านว่างก็ลองไปดูผลึกวิญญาณของผังดาวเหล่านั้นสิว่ามีวิญญาณอาฆาตสิงอยู่หรือไม่ก็พอแล้ว”
ฝูงชนถูกเตือนสติขึ้นมา ใช่แล้ว!
ไปดูผังดาวของเมืองอื่นๆ เปรียบเทียบกันดูก็กระจ่างแล้วนี่!
มีบางคนเอ่ยข้อเรียกร้องขึ้นมา
“ท่านเจ้าเมือง มิสู้ท่านไปปรึกษาหารือกับเจ้าเมืองคนอื่นๆ ดูสักหน่อย ให้ทุกคนดูผังดาวที่นั่น จะได้คลี่คลายความสงสัยของผู้คน”
“ใช่ๆ ในเมื่อเป็นผังดาวพิทักษ์เมืองย่อมเป็นสิ่งมงคล เมื่อถึงเวลาทุกคนมองแวบเดียวก็รู้แล้ว”
“เมื่อคืนวุ่นวายกันถึงเพียงนั้น ทุกคนล้วนนึกสงสัยอย่างยิ่งจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเกิดความลือใดออกไปบ้าง หากว่าท่านเจ้าเมืองสามารถพิสูจน์ได้ว่าผังดาวของเมืองอื่นเป็นสิ่งมงคล ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อถือสิ่งที่เรียกว่าเทพเจ้าอันใดนั้นอีก…”
ฝูงชนพากันคล้อยตาม
อวิ๋นเยียนหลีกลับดูไม่ใส่ใจ
“จะเอาเช่นนี้ก็ได้ ข้าไม่คัดค้าน เพียงแต่เมืองอื่นอยู่ห่างไกลจากเมืองของเรา ย่อมไม่อาจไปกันมากมายเกินไปได้ พวกเจ้าคัดเลือกคนที่เชื่อถือได้มาสามถึงห้าคนเถอะ รอจนข้าผู้เป็นเจ้าเมืองจัดการงานราชการเสร็จแล้ว ก็สามารถพาไปดูได้”
ถ้อยคำของเขาดูดีมีมาด ไม่อนาทรเลยสักนิด ต่อให้ฝูงชนจะสงสัยเขาอยู่บ้าง ทว่ายามนี้ความสงสัยนั้นก็จางลงไปมากแล้ว
สายตาเฉียบคมของอวิ๋นเยียนหลีมองไปที่คุนเสวี่ยอี๋ เอ่ยอย่างเยือกเย็น
“สวะของเผ่ามาร ไม่น่าเชื่อว่ายังคิดจะยุแยงตะแคงรั่วอีก ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองจะไม่ให้เจ้าสมปรารถนาเด็ดขาด!”
คุนเสวี่ยอี๋ยกนิ้วให้เขา
“สุดยอด! ความสามารถในการกลับดำให้เป็นขาวของเจ้าเมืองอวิ๋นช่างสุดยอดจริงๆ! เจ้าให้ทุกคนคัดเลือกคนออกมาสามถึงห้าคน เจ้าต้องคิดจะซื้อตัวคนพวกนี้เอาไว้แน่นอนใช่ไหม? ต่อให้ซื้อตัวไม่ได้ เจ้าก็ยังฆ่าปิดปากพวกเขาได้ เหลือคนที่เข้าใจสถานการณ์เอาไว้กลับมารายงานข้อมูลปลอมไว้สักคนสองคนก็พอแล้ว หลอกให้ชาวบ้านโง่เง่าพวกนี้ขายชีวิตให้เจ้าต่อไป”
อวิ๋นเยียนหลีตะลึง
ไอสังหารวาบผ่านนัยน์ตาเขา ไอ้เจียวเหม็นเน่าตัวนี้ มักจะเปิดโปงแผนการในใจของเขาอยู่ตลอด!
————————————————————————————-
บทที่ 2492 คุนเผิง 5
ในใจชิงชังจนแทบกระอักเลือดแล้ว ทว่าสีหน้ายังคงเรียบเฉยอยู่ แถมยังยิ้มแวบหนึ่งด้วย
“มีเพียงสวะของลัทธิมารอย่างเจ้าที่ใช้ความคิดต่ำช้าประเมินค่าวิญญูชน ข้าจะปกป้องคนที่ถูกคัดเลือกให้ไปอย่างครบถ้วน กลับมาอย่างครบถ้วน เป็นอย่างไร?”
วาจานี้ทำให้ความสงสัยที่เพิ่งผุดขึ้นมาของคนส่วนใหญ่เลือนหายไปแล้ว
“มังกรเน่าอย่างเจ้าสิที่ชอบกลับดำเป็นขาว!”
“ใช่ๆ! ท่านเจ้าเมือง มังกรเจียวตัวนี้หุ้มหนังโฉมงามเอาไว้เช่นนี้ สมควรจะทำให้มันกลับร่างเดิมเสีย!”
ฝูงชนพากันโห่ร้องขึ้นมาอีกครั้ง
ในบรรดาลูกน้องเหล่านั้นของอวิ๋นเยียนหลีตะโกนด้วยความชอบใจเป็นที่สุด พวกเขาก็กระตือรือร้นที่จะเผยความอัปลักษณ์ของคุนเสวี่ยอี๋เช่นกัน เพื่อขับเน้นภาพลักษณ์ของท่านเจ้าเมืองขึ้นไปอีก
“ท่านเจ้าเมืองของพวกเราสิถึงจะเป็นเทพเซียนที่มาโปรดสัตว์ตัวจริง พวกเจ้าคงไม่รู้สินะ ท่านเจ้าเมืองก็มาจากดินแดนเบื้องบนเช่นกัน พลังยุทธ์บรรลุขั้นซ่างเซียนแล้ว เขาสืบหาต้นตอพิรุณโลหิตของแดนอสุรามาหลายปีแล้ว มุ่งมั่นจะกวาดล้างลัทธิมาร คืนโลกอันสงบสุขร่มเย็นให้แก่ทุกคน”
เจ้าวังน้อยถือโอกาส ‘ยกหาง’ อวิ๋นเยียนหลี
นัยน์ตาของทุกคนสาดแสงวาบ สายตาที่มองอวิ๋นเยียนหลีทีทั้งแตกตื่นยินดีและไม่เชื่อถือ…
“พวกเจ้าจงเชื่อเถอะ ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นของพวกเราขึ้นครองเมืองเล่อกั่วได้ไม่เท่าไหร่ ก็ทำเรื่องดีๆ ให้ทุกคนมากมายขนาดนี้แล้ว ขุดรากถอนโคนบึงพิษ ซ้ำยังจับไอ้เจียวชั่วตัวนี้เองกับมือด้วย! ทำให้มันไม่อาจทำชั่วได้อีก…”
เจ้าวังน้อยล้างสมองฝูงชนต่อไป
ฝูงชนฮือฮาเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงมีคนเสนอให้เจ้าเมืองอวิ๋นสำแดงฝีมือสักหน่อย ทำให้เจียวที่อยู่เบื้องหน้าตัวนี้คืนร่างเดิมเสีย
อวิ๋นเยียนหลีก็มีความคิดนี้อยู่เช่นกัน เหตุผลที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ทำให้คุนเสวี่ยอี๋คืนร่างเดิม นั่นเป็นเพราะรู้สึกว่ามังกรเจียวหนักเกินไป แถมร่างกายยังใหญ่โตมโหฬาร เขาพกพาไม่สะดวก ตอนนี้นำเจ้านี่กลับมาถึงเมืองแล้ว จะได้เอามันมาเรียกอำนาจต่อหน้าผู้คนด้วย!
นิ้วมือเขาจรดร่าย มองไปทางคุนเสวี่ยอี๋อย่างเยียบเย็น
“ข้าจะให้ผู้คนได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้า เป็นเพียงเจียวตัวหนึ่งก็ริอาจวางแผนพลิกโลกา กลับถูกเป็นผิด!”
ลำแสงขาวเจิดจ้าบาดตาสายหนึ่งพุ่งเข้าไป ตรงเข้าครอบคลุมร่างคุนเสวี่ยอี๋ไว้…
ลำแสงสีขาวเจิดจ้าพร่าตา เกิดเป็นโดมแสงชั้นหนึ่ง พลังวิญญาณผันผวนอยู่ด้านใน วูบไหวดุจสายฟ้า
ทุกคนกลั้นใจรอคอย รอให้มังกรเจียวเผยตัว…
ในที่สุดแสงสีขาวก็ค่อยๆ สลายไป สายตานับไม่ถ้วนมองเข้าไป จากนั้นล้วนทึ่มทื่อกันไปหมดอีกครั้ง!
ณ จุดเดิมไม่มีโฉมงามแล้ว มีเพียงแหพลังวิญญาณปากนั้น…
ฝูงชนตกตะลึง
อวิ๋นเยียนหลีก็ตกตะลึงเช่นกัน
สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย อาคมนี้ของเขายอดเยี่ยมยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์วิเศษที่ร้ายกาจมากสักแค่ไหนเมื่อถูกครอบคลุมไว้ในอาคมนี้ของเขา ล้วนเผยร่างเดิมในปัจจุบันออกมาทั้งสิ้น ยังไม่เคยผิดพลาดมาก่อนเลย แล้วครั้งนี้คือ?
ประเด็นคือ…ไอ้ตัวนั้นล่ะ?!
หนีไปแล้วหรือ?!
อวิ๋นเยียนหลีก้าวเข้าไป เก็บแหนั้นขึ้นมา มองดู ยังคงว่างเปล่าเช่นเดิม
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสะบัดแหปากนั้นอย่างไม่ยอมถอดใจ ไม่มีอะไรกระเด็นออกมาอยู่ดี
ฝูงชนมองหน้ากันเหลอหลา สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่อวิ๋นเยียนหลีรอคอยคำอธิบายจากเขา
เดิมทีคิดจะสำแดงเดช ผลคือเผยความขายหน้า สีหน้าอวิ๋นเยียนหลีไม่น่ามองสักเท่าใด ขณะที่เขากำลังทำมุทราหมายจะใช้วิชาสืบรอย พลันสัมผัสได้ว่าแสงตะวันเหนือศีรษะถูกบางสิ่งบดบังไว้ เขาเงยหน้ามองตามสัญชาตญาณ สีหน้าเปลี่ยนแปลงในทันใด!
ฝูงชนก็สัมผัสถึงความผิดปกติได้เช่นกัน พากันเงยหน้าขึ้น
“สวรรค์ นั่นคือสิ่งใด?!”
“พญามัจฉาตัวหนึ่ง!”
“เป็นมัจฉาที่ตัวใหญ่เหลือเกิน!”
บนนภาเหนือศีรษะ มีพญามัจฉาที่ใหญ่โตมโหฬารตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
กายดุจขุนเขา พาดผ่านนภา มองไม่เห็นหัวท้าย มองออกเพียงว่าส่วนนี้คล้ายปลา เป็นสีแดงทอง ครีบหางโบกสะบัด เกิดเสียงลมกรรโชก เมฆาปลิวว่อน สายฝนสาดเทลงมาปานฟ้ารั่ว…
ในขณะที่สายฝนสาดเทก็มีเสียงหัวเราะของมันด้วย
“คนที่แม้แต่ร่างจริงของข้าก็ยังมองไม่ออกก็เรียกว่าเทพแล้วหรือ? เจ้าหลอกได้เพียงตาเนื้อพวกนี้เท่านั้น!”
เสียงนี้คือเสียงของคุนเสวี่ยอี๋
“คุน! มันคือคุน!”
บางคนในฝูงชนตะโกนออกมา!
“สวรรค์ คุนคือสัตว์วิเศษ! มิใช่มาร…”
….