บทที่ 2499 สามารถแต่งภรรยาได้แล้ว
หากว่ามีวิธีดีๆ เช่นนั้นเธอก็จะพาตี้ฝูอีออกไปจากแดนอสุราแห่งนี้ก่อนเสียเลย รอจนตี้ฝูอีหายเป็นปกติแล้วค่อยกลับมาจัดการอวิ๋นเยียนหลี…
คุนเสวี่ยอี๋นิ่งไปแล้ว
เขากระแอมออกมาอีกครั้ง
“เรื่องนี้…ต่อให้เป็นการทัศนาจร ก็มีเวลาจำกัดเช่นกัน…ไม่ถึงเวลาไม่อาจจากไปได้”
ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็หลงเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน มิเช่นนั้นสัตว์วิเศษผู้สูงส่งเช่นเขาไหนจะมาดักดานอยู่ในสถานที่ผุพังไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเช่นนี้?
หลายปีมานี้เขาคิดหาหนทางออกไป มาโดยตลอด ต่อมาได้พบกับตี้ฝูอี ไม่ต่อตีไม่รู้จัก กลายเป็นสหายพ่วงตำแหน่งลูกน้องของเขา ตี้ฝูอีเคยให้คำมั่นไว้ จะพาเขาออกไปด้วย…
แน่นอน นี่เป็นข้อตกลงส่วนตัวระหว่างเขากับตี้ฝูอี เขาไม่คิดจะบอกกับคนอื่น
ดังนั้นเขาจึงพูดจาคลุมเครือเช่นนี้ออกมา
แต่กู้ซีจิ่วกลับเฉลียวฉลาดยิ่ง
“เจ้าพลัดหลงเข้ามาที่นี่ หาทางออกไปไม่ได้ชั่วคราวกระมัง?”
คุนเสวี่ยอี๋พูดไม่ออกเลย ทำไมต้องพูดความจริงออกมาด้วย!
เขาเบี่ยงหัวข้อสนทนาไปเสีย หรี่ตาลงเล็กน้อย
“แต่คุนเป็นสายพันธุ์ที่เจ้าคิดเจ้าแค้นยิ่งนัก แค้นเล็กน้อยก็ต้องเอาคืน และคุนก็เป็นสายพันธุ์ที่แน่นแฟ้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคุนตัวไหนที่ถูกเล่นงาน คุนตัวอื่นๆ ล้วนไล่ล่าสังหารล้างแค้นนับหมื่นลี้ได้! อวิ๋นเยียนหลีคิดร้ายต่อคุน ข้าจะทำให้เขาจ่ายค่าตอบแทน! ถลกหนังเลาะเส้นเอ็นของเขา ข้าจะแขวนเขาตากลมให้กลายเป็นเนื้อแดดเดียว…”
มัจฉาหน้าตาน่าเอ็นดูตัวหนึ่งใช้คำพูดคำจาน่าสะพรึงขนาดนี้ กู้ซีจิ่วรู้สึกขัดแย้งอยู่บ้าง
จู่ๆ ก็คล้ายว่าเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ดูเหมือนเธอจะมีชุดหนังคุนติดตัวอยู่ชุดหนึ่ง
ถึงแม้เธอจะจำไม่ได้ว่าอาภรณ์หนังคุนชุดนี้มาได้อย่างไร แต่ว่า ดูเหมือนเธอจะต้องเก็บซ่อนชุดนั้นไว้ให้ดี ห้ามให้คุนเสวี่ยอี๋เห็นเด็ดขาด…
เธออดไม่ได้ที่จะมองดูผิวหนังสีแดงทองบนร่างของคุนตัวนี้ นึกถึงอาภรณ์หนังคุนสีฟ้าครามชุดนั้นของตนขึ้นมาอีกครั้ง ลองถามดูประโยคหนึ่ง
“คุนอย่างพวกเจ้า…ผิวเป็นสีแดงทองหมดเลยหรือ?”
บางทีอาภรณ์ชุดนั้นของเธออาจไม่ใช่หนังคุนก็ได้…
มัจฉาตัวนั้นส่ายหัว
“นี่ก็ไม่จำเป็นเสมอไป แยกย่อยกันไปตามภูมิประเทศ ก็เหมือนการแบ่งแยกเชื้อชาติของพวกเจ้าเหล่ามนุษย์นั่นแหละ คุนก็มีการแบ่งแยกเช่นกัน แน่นอน หนังคุนที่งดงามที่สุดก็คือสีแดงทอง…”
คล้ายว่ามันจะยิ้มหยามหยันอีกครั้ง
“หนังคุนคือของวิเศษคุ้มกาย ซ้ำยังมีสีสันงดงาม มีสตรีบางส่วนที่บำเพ็ญถึงขั้นซ่างเสินแล้วก็คิดจะสังหารคุนเพื่อถลกหนังคุนมาทำชุด ผลคือถูกคุนสังหารแทน ถลกหนังมนุษย์อันงดงามของนางออกมา…”
กู้ซีจิ่วลอบหนาวสะท้าน ตัดสินใจแล้วว่าต่อไปนี้จะเก็บอาภรณ์หนังคุนชุดนั้นไว้ในส่วนลึกของมิติเก็บของ
เพียงแต่เธอยังคงฉงนอยู่เล็กน้อย
“พวกเจ้าเหล่าคุนร้ายกาจปานนี้เชียว? แม้แต่ซ่างเสินก็สังหารได้หรือ?”
“แน่นอน คุนเป็นเจ้าแห่งพลังวิญญาณมาตั้งแต่กำเนิด เมื่อบำเพ็ญตบะได้พันปีก็จะบรรลุเป็นซ่างเสิน”
คุนเสวี่ยอี๋ภาคภูมิ
กู้ซีจิ่วพินิจดูมันแวบหนึ่ง
“กล่าวเช่นนี้ เจ้ายังเป็นลูกคุนอยู่สินะ?”
มิน่าเล่ารูปลักษณ์จึงน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้
คุนเสวี่ยอี๋เงียบไปเล็กน้อย
“..ตอนข้าอยู่ที่โลกของข้าได้บำเพ็ญจนบรรลุเป็นซ่างเสินแล้วจริงๆ เพียงแต่แดนอสุราแห่งนี้ค่อนข้างประหลาด หลังจากข้าหลงเข้ามายังสถานที่ผุพังแห่งนี้ พลังวิญญาณก็ถดถอยลงมากมายอย่างยิ่ง”
ทำให้ตอนนี้ระดับบำเพ็ญของเขาคือจินเซียนเท่านั้น ถูกอวิ๋นเยียนหลีไล่ล่าไปทั่วสารทิศ แถมยังถูกทำร้ายด้วย!
“ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
คุนเสวี่ยอี๋เอ่ยสรุปความออกมาสี่คำ แล้วเอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่ง
“สามารถแต่งภรรยาได้แล้ว”
กู้ซีจิ่วมองปลาที่บรรลุนิติภาวะแล้วตัวนี้ เห็นใจยิ่งนัก
“ในแดนอสุราแห่งนี้มีเจ้าเพียงตัวเดียวกระมัง? เจ้าอยากแต่งภรรยาก็ต้องรอหลังจากออกไปจากแดนอสุราได้แล้วล่ะ”
คุนเสวี่ยอี๋โบกครีบ
“ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันเสมอไป ถึงอย่างไรหนึ่งสมุทรก็ไม่อาจมีสองพญาคุนได้ ถ้ามีเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์อยู่ในมหาสมุทรเดียวกันจะทำให้ทะเลาะต่อตีกันได้ง่ายๆ ทำให้มหาสมุทรเกิดคลื่นมรสุมขึ้นมาคงไม่ดี”
————————————————————————————-
บทที่ 2500 จะมอบแซ่ของข้าให้เจ้าด้วย…
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกแล้ว
คุนเสวี่ยอี๋คงจะรู้สึกว่าตนอยู่ในสภาพนี้ไม่สะดวกยิ่งนัก อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“แม่นางกู้ ข้ากลับร่างมนุษย์ได้หรือยัง?”
“อ่อ แน่นอน”
ด้วยเหตุนี้ มัจฉาน่ารักน่าเอ็นดูตัวนั้นจึงหายไป คุนเสวี่ยอี๋กลับมาอยู่ในสภาพของชายรูปงามแล้ว
เขามองออกไปด้านนอก
“อวิ๋นเยียนหลียังไม่ตามมาอีกหรือ…”
เขากับกู้ซีจิ่วพักเท้าอยู่ที่นี่มากว่าหนึ่งหนึ่งเค่อแล้ว
เขาคะเนจากความเร็วในการไล่ตามคนของอวิ๋นเยียนหลีดู ว่ากันตามเหตุผล ควรจะมาถึงได้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวสักนิด
กู้ซีจิ่วก็มองออกไปด้านนอกเช่นกัน น้ำเสียงสุขุม
“เขาตามมาถึงแล้ว แอบฟังอยู่ตรงมุม มาครู่หนึ่งแล้ว”
คุนเสวี่ยอี๋ตะลึงงัน
อวิ๋นเยียนหลีที่แอบฟังอยู่ด้านหลังศิลาใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านนอกค่ายกลก็ตะลึงเช่นกัน…
ค่ายกลนี้ของกู้ซีจิ่วไม่เก็บเสียง ขอเพียงตั้งใจฟัง ก็จะได้ยินเสียงด้านในทั้งหมด
อีกอย่างเธอก็เป็นคนก่อค่ายกลขึ้นมา เชื่อมต่อกับประสาทสัมผัสของเธอ ดังนั้นทันทีที่อวิ๋นเยียนหลีมาถึงเธอก็จับสัมผัสได้แล้ว
ตอนที่อวิ๋นเยียนหลีมาถึง เห็นได้ชัดว่าคิดจะฝ่าค่ายกลเข้าไป แต่หลังจากได้ยินกู้ซีจิ่วกำลังพูดคุยกับคุนเสวี่ยอี๋ เขาก็หยุดชะงัก
เร้นกายหมายจะฟังว่าสรุปแล้วพวกเขาคุยอะไรกันแน่ ดูว่าจะเก็บเกี่ยวข้อมูลได้บ้างหรือไม่…
ผลคือ เขาได้ยินเพียงว่าคุนตัวนั้นคิดจะถลกหนังเลาะเอ็นเขาอย่างเหี้ยมโหด…รวมถึงวาจาไร้สาระที่ว่าเขาเป็นคุนเต็มวัยแต่งภรรยาได้แล้วจำพวกนี้เป็นต้น!
เดิมทีเขาคิดจะฟังต่ออีกครู่หนึ่ง ผลคือถูกกู้ซีจิ่วเปิดโปงออกมา!
เขาลอบกำหมัด ไม่รู้ว่ากู้ซีจิ่วกำลังวางกับดักเขา หรือว่าพบตัวเขาแล้วจริงๆ ตัดสินใจไม่ได้ชั่วขณะว่าจะเอาอย่างไรดี
คุนเสวี่ยอี๋ยกมุมปากขึ้นแวบหนึ่ง
“เจ้าเมืองอวิ๋นผู้นี้ขี้โกงยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะแอบฟังอยู่ตรงมุมด้วย เกลียดตัวกินไข่ถึงเพียงนี้…หรือว่าได้ยินว่าข้าผู้เป็นคุณชายสามารถแต่งภรรยาได้ จึงขวยอายขึ้นมา? ไม่กล้าเผยตัวสินะ?”
อวิ๋นเยียนหลีหงุดหงิดแล้ว!
ในเมื่อถูกเปิดโปงแล้ว เขาจึงอ้อมโขดหินออกมาเสียเลย เสียงแว่วตรงเข้าสู่ใจกลางค่าย
“คุนอวิ๋นจ่าน เจ้ารอข้าก่อนเถอะ! ถ้าข้าไม่ได้ถลกหนังเจ้าก็จะไม่ใช้แซ่อวิ๋นแล้ว!”
คุนเสวี่ยอี๋หัวเราะหยัน
“เช่นนั้นเจ้าจะมาใช้แซ่ข้าก็ได้นะ ขอเพียงเจ้าออกเรือนกับข้า ข้าไม่เพียงแต่จะมอบหนังให้เจ้าเท่านั้น จะมอบแซ่ของข้าให้เจ้าด้วย…”
กู้ซีจิ่วหลุดขำเสียงดัง ‘พรืด’
อวิ๋นเยียนหลีเป็นชายแท้ตรงตามบรรทัดฐาน กู้ซีจิ่วแจ่มแจ้งยิ่งนัก
เพียงแต่เขาพบพานคุนที่ไม่สามารถอนุมานตามหลักสามัญสำนึกได้ตัวนี้ ไม่ยินดีจะถูกหยอกเย้าเกี้ยวพา…
เธออดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอวิ๋นเยียนหลีแวบหนึ่ง คุนตัวนี้เป็นเกย์หรือ?
อวิ๋นเยียนหลีหุบปากแล้ว ขืนพูดมากอีกเกรงว่าเขาคงโมโหตาย เขาต้องการใช้พละกำลังทรมานทารุณอีกฝ่าย ไม่อยากฟังอีกฝ่ายพูดพล่ามอีก!
อวิ๋นเยียนหลีที่อยู่นอกค่ายกลมองไม่เห็นคนที่อยู่ในค่ายกล ได้ยินเสียงเพียงบทสนทนาของสองคนนั้น
เริ่มแรกเขาเห็นว่าค่ายกลศิลานี้ธรรมดายิ่งนัก และเขาก็นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานของค่ายกล ดังนั้นจึงไม่เก็บมาใส่ใจเท่าไหร่ ยกเท้าก้าวเข้าสู่ด้านใน
ผลคือเมื่อย่างเท้าก้าวนี้เข้าไป เขาก็รู้สึกว่าจู่ๆ ฟ้าดินพลันถล่มลงมา ก้อนศิลาที่เรียงรายอยู่ด้านหน้าพลันเลือนหายไป รอบกายเขาล้วนเป็นพระราชวังสีทองอันวิจิตรงดงาม…
คลื่นเมฆา บุปผาเซียน เสาหยกสลัก…
นี่คือบ้านของเขาที่ดินแดนเบื้องบน!
ที่ห่างออกไปไม่ไกลคือท้องพระโรงเรืองเมฆา ชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ตรงประตูท้องพระโรง เป็นอดีตจักพรรดิเซียนและจักรพรรดินีเซียนบุพการีของเขา…
เขาประหนึ่งโดนอสุนิบาตผ่าลงกลางหัว หัวใจร้อนรุ่มขึ้นมา ก้าวเข้าไปหลายก้าว คุกเข่าลงเบื้องหน้าสองคนนั้น
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่! พวกท่าน…พวกท่านยังมีชีวิตอยู่…”
จักรพรรดิเซียนยื่นมือมาพยุงเขา “หลีเอ๋อร์ ลุกขึ้นเถอะ”