บทที่ 2504 ใครหลอกใคร 3
เขาจงใจโผเข้าใส่ใจกลางค่ายกล แต่ยามที่ไปถึงชายขอบของค่ายกลก็ชะงักฝีเท้าทันที หัวเราะฮ่าๆ
“กู้ซีจิ่ว ถ้ามีฝีมือเจ้าก็ตามออกมาสิ!”
พลันหันหลัง พุ่งทะยานออกไปทันที เงาร่างหายลับไปในชั่วพริบตา
ถึงแม้เขาจะจัดกำลังคนไล่ตามและสกัดกั้นไว้ตลอดเส้นทางแล้ว แต่ถึงอย่างไรกลุ่มของตี้ฝูอีก็เป็นเลิศด้านการปลอมตัว
ซ้ำยังเชี่ยวชาญการปรับเปลี่ยนกลิ่นอายบนร่างด้วย แม้แต่สุนัขล่าเนื้อที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็ไม่อาจดมกลิ่นอายของพวกเขาได้ ดังนั้นหากว่าเขาไม่ไป คนเหล่านั้นอาจจะหาร่องรอยของพวกตี้ฝูอีไม่พบก็ได้…
เขาจำเป็นต้องไปถึงจะได้เรื่อง
เดิมทีเขาคิดชิงมุกคุนมาจากคุนอวิ๋นจ่านก่อน แต่เขากับกู้ซีจิ่วรั้งอยู่ในค่ายกลนี้ ตนไม่อาจทำลายค่ายลได้ในชั่วขณะ ถอยย่อมเป็นการดีกว่า ต่อให้เขาทำลายค่ายกลได้ภายในหนึ่งวัน กู้ซีจิ่วก็ต้องใช้วิชาเคลื่อนย้ายพาคุนอวิ๋นจ่านหลบหนีไปก่อนค่ายกลพังทลายอยู่ดี…
ไม่แน่ว่านางอาจก่อค่ายกลรอเขาอยู่ที่อื่นด้วย…
เช่นนั้นก็คือปลาไหลตัวหนึ่ง ไม่มีเวลาสามวันห้าวันก็อย่าหมายว่าเขาจะปลีกตัวไปได้
ตอนนี้ในเมื่อรู้ที่อยู่ของตี้ฝูอีแล้ว เขาไปจับคนผู้นั้นให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า!
ถ้าจับตี้ฝูอีได้ ยังต้องกังวลว่ากู้ซีจิ่วกับคุนอวิ๋นจ่านจะไม่เป็นฝ่ายมาหาเขาด้วยตัวเองอีกหรือ?
อวิ๋นเยียนหลีใคร่ครวญดูแวบเดียว ก็รู้แล้วว่าตนควรทำอะไร ดังนั้นเขาจึงพุ่งจากไปดุจดาวหาง
แน่นอน ระหว่างที่เดินทางก็ไม่ลืมหยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมาสั่งการให้ลูกน้องปิดล้อมไล่ล่าสกัดกั้นด้วย…
….
อวิ๋นเยียนหลีจากไปอย่างสมบูรณ์แล้ว กู้ซีจิ่วจึงนั่งลงบนโขดหินก้อนหนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ
คุนเสวี่ยอี๋ออกมามองดูนาง กังวลใจอย่างยิ่ง
“คงมิใช่ว่าบทสนทนาของพวกเราถูกไอ้คนผู้นั้นได้ยินไปแล้วกระมัง?!”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า
สีหน้าคุนเสวี่ยอี๋แปรเปลี่ยนนิดๆ
“เช่นนั้นเขาต้องจะไล่ตามองค์ราชันไปอย่างแน่นอน!”
กู้ซีจิ่วพยักหน้าอีกครั้ง
“แน่นอน”
สีหน้าคุนเสวี่ยอี๋ย่ำแย่กว่าเดิม หันหลังหมายจะออกเดินทาง
“เช่นนั้นพวกเรารีบไปรับมือเถิด!”
เดินไปได้สองก้าว ก็ส่ายโงนเงน กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง
เขาบาดเจ็บสาหัสเกินไป ยังไม่ทันได้พักฟื้นเลย…
แต่เขาไม่สนใจแล้ว
กู้ซีจิ่วเปิดปากเอ่ยรั้งเขาไว้
“วางใจเถิด พวกเขาไม่ได้อยู่ที่เมืองเฟิ่งผิง”
คุนเสวี่ยอี๋ตะลึงงัน
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว
“ที่แท้บทสนทนาที่เจ้าส่งกระแสเสียงคุยกับข้า ก็จงใจพูดให้เขาได้ยิน! เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเขาจะได้ยิน?”
กู้ซีจิ่วยิ้มนิดๆ
“ข้าก็เดิมพันเอาเช่นกัน!”
ตอนนั้นยามที่เธอเป็นซ่างเสิน สามารถได้ยินบทสนทนาผ่านกระแสเสียงของผู้อื่นได้ทั้งหมด ดังนั้นเธอจึงสงสัยว่าอวิ๋นเยียนหลีก็น่าจะได้ยินด้วย ถึงจงใจเอ่ยอุบายเช่นนั้นออกมา…
ความจริงได้รับการพิสูจน์แล้ว การเดิมพันของเธอถูกต้อง!
หลังจากคุนเสวี่ยอี๋ผงะไปครู่หนึ่ง ก็เลื่อมใสนางอย่างหมดใจแล้ว ยกนิ้วโป้งให้นาง
“แม่นางกู้ เจ้าช่างสับขาหลอกโดยแท้ ใช้กลยุทธ์สับขาหลอกได้เลิศล้ำนัก!”
เขามองค่ายกลศิลาที่อยู่รอบข้าง ถอนหายใจ
“เพียงแต่ค่ายกลนี้ ที่ท่านก่อขึ้นมาเสียเปล่าแล้ว หากว่าสามารถรั้งเขาไว้ที่นี่ได้ทั้งวันจริงๆ ก็คงยอดเยี่ยมนัก”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า
“อันที่จริงค่ายกลนี้ยื้อเขาไว้ได้มากสุดสองชั่วยามเท่านั้น ซ้ำยังต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นใจด้วย หากว่าเขาใช้กำลังทำลายค่ายกลนี้อย่างรุนแรง ก็ไม่อาจถ่วงรั้งไว้ได้แม้แต่ชั่วยามเดียว”
คุนเสวี่ยอี๋ตกตะลึง…
เขามองไปที่กู้ซีจิ่วเอ่ยวาจาไม่ออกแล้ว ทอดถอนใจอยู่พักหนึ่ง
“แม่นางกู้ช่างสมกับที่เป็นคู่ครองขององค์ราชันแห่งพวกเรา!”
กู้ซีจิ่วยิ้มนิดๆ
“พูดได้ดี พูดได้ดี! เดิมทีข้ากับเขาก็เป็นคู่สวรรค์สรรสร้างอยู่แล้ว”
คุนเสวี่ยอี๋พูดไม่ออกอีกครั้งแล้ว…
เขารู้สึกว่าหนังหน้าตนหนาเพียงพอแล้ว แต่หนังหน้าของแม่นางกู้ผู้นี้กลับเหนือกว่า ใกล้จะเทียบชั้นกับตี้ฝูอีได้แล้ว…
สองคนนี้ล้วนเป็นพวกเลิศล้ำหัวแหลม วางแผนสังหารคนโดยไม่ชดใช้
————————————————————————————-
บทที่ 2505 ใครหลอกใคร 4
อวิ๋นเยียนหลีเผชิญหน้ากับคู่นี้ ถูกหลอกจนหัวหมุนก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้
จู่ๆ คุนเสวี่ยอี๋ก็รู้สึกเห็นใจอวิ๋นเยียนหลีขึ้นมาเล็กน้อย แน่นอน ความเห็นอกเห็นใจนั้นเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว…
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นก็มองไปที่คุนเสวี่ยอี๋อย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง
“ค่ายกลนี้ขังเจ้าไม่ได้หรือ? เจ้ารู้จักค่ายกลนี้ของข้าหรือ?”
คุนเสวี่ยอี๋ส่ายหน้า เขาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
“คุนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำลายค่ายกลโดยกำเนิด ไม่มีค่ายกลใดสามารถคุมขังคุนได้…”
ดังนั้นเขาจึงวิ่งออกมาจากตาค่ายกลได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก
คุนมีความสามารถพิเศษแบบนี้ด้วยหรือ?
กู้ซีจิ่วทอดถอนใจ โชคดีที่คุนตัวนี้เป็นคนฝ่ายของตน หากว่าเป็นลูกน้องของอวิ๋นเยียนหลี ตนคงไม่มีทางหนีรอดจริงๆ…
เธอมองคุนเสวี่ยอี๋ตาวาว
“แผลเจ้าเป็นยังไงบ้าง? ยังบินได้ไหม?”
“ยังไหว พอจะฝืนบินได้อยู่ นี่พวกเราจะไปสมทบกับพวกองค์ราชันใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่วจับชีพจรให้เขาเล็กน้อย สัมผัสได้ว่าอาการหลักของเขาคือบาดเจ็บภายใน จึงหยิบยาลูกกลอนหลายเม็ดส่งให้เขา
“กินยาลูกกลอนนี้เข้าไป เจ้านั่งสมาธิต่ออีกครึ่งชั่วยาม อาการบาดเจ็บภายในจะฟื้นฟูคืนมาส่วนหนึ่ง รอจนเจ้าฟื้นฟูแล้วข้าจะคุยกับเจ้าอีกที”
คุนเสวี่ยอี๋ไม่พูดอะไรอีก กินยาแล้วนั่งสมาธิเลย
กู้ซีจิ่วก็นั่งสมาธิอยู่ในค่ายกลเช่นกัน ฟื้นฟูกำลังกายแข่งกับเวลา
ผ่านพ้นไปครึ่งชั่วยาม คุนเสวี่ยอี๋ลืมตาขึ้นมา เป็นอย่างที่กู้ซีจิ่วคาดการณ์ไว้ อาการบาดเจ็บบนร่างเขาดีขึ้นส่วนหนึ่งแล้ว บินไกลๆ ได้ไม่มีปัญหา
คุนเสวี่ยอี๋นึกว่ากู้ซีจิ่วจะพาเขาไปรวมตัวกับพวกตี้ฝูอี กลับคาดไม่ถึงว่านางต้องการให้เขาพานางเดินทางไปยังละแวกเมืองเฟิ่งผิงเที่ยวหนึ่ง
ทำเอาคุนเสวี่ยอี๋แทบนึกสงสัยแล้วว่าพวกตี้ฝูอีจะอยู่ที่เมืองเฟิ่งผิงจริงๆ…
กู้ซีจิ่วสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “อวิ๋นยียนหลีผู้นี้ความคิดละเอียดลออรอบคอบ ในเมื่อพวกเราจะเล่นละครก็ต้องเล่นให้ครบองค์ เลี่ยงไม่ให้เขานึกสงสัย และข้าก็มีธุระในละแวกเมืองเฟิ่งผิงที่ต้องไปจัดการจริงๆ”
คุนเสวี่ยอี๋จึงไม่ถามต่อแล้ว แปลงกายเป็นเผิง พากู้ซีจิ่วพุ่งผ่านเมฆาไป…
เมืองเฟิ่งผิงอยู่ห่างจากที่นี่กว่าห้าพันลี้ ต่อให้เป็นคุนเสวี่ยอี๋ที่โบยบินด้วยร่างเดิมแล้ว ก็ยังต้องบินอยู่กว่าสองชั่วยาม…
พวกเขาเพิ่งจะจากไป ในพงหญ้าที่อยู่ไม่ไกลก็มีคนผู้หนึ่งมุดออกมา
คนผู้นี้เอามือป้องตามองทิศทางที่พญาวิหคเผิงบินจากไป จากนั้นก็หยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมารายงาน
“นายท่าน สองคนนั้นไปแล้วขอรับ ทิศทางที่จากไปคือทิศของเมืองเฟิ่งผิง”
และที่อีกด้านหนึ่งของยันต์ถ่ายทอดเสียง อวิ๋นเยียนหลีที่กำลังเหาะทะยานอยู่ เก็บยันต์ถ่ายทอดเสียงแล้ว วางใจอย่างสมบูรณ์ ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นความเร็วสูงสุด!
เขาไม่ได้ย้อนกลับไปสกัดกั้นพวกกู้ซีจิ่วทั้งสอง สองคนนั้นคนหนึ่งบินได้ คนหนึ่งใช้วิชาเคลื่อนย้ายได้ ต่อให้เผชิญหน้ากันขึ้นมา เขาก็จับพวกเขาไว้ไม่ได้ชั่วขณะ มิสู้ไปหาพวกตี้ฝูอีก่อนดีกว่า…
อวิ๋นเยียนหลีคิดว่าขอเพียงระบุได้ว่าพวกตี้ฝูอีอยู่ที่ใด ด้วยวิชาสืบรอยของเขา ถ้าต้องการตามหานั่นคือจะได้ตัวมาแน่นอน ไม่เสียแรงจนเกินไป
ไม่นึกว่าหลังจากเขามาถึงเมืองเฟิ่งผิง ร่ายวิชาสืบรอยแล้ว ผลลัพธ์คือสัมผัสถึงตัวตนของตี้ฝูอีไม่ได้เลย…
เขายังคงตามหาต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ เพียงแต่ในยามที่เขานึกว่าคงถูกกู้ซีจิ่วหลอกอีกครั้งแล้ว ในที่สุดเขาก็รับรู้กลิ่นของตี้ฝูอีได้เล็กน้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไล่ตามไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเลย ผลคือพบลาตัวหนึ่ง…
ไม่ต้องถามเลย ตี้ฝูอีใช้ศาสตร์การพรางตัวที่คล้ายกับวิชาแยกร่างไว้ในบริเวณนี้อีกแล้ว
เพลิงโทสะของอวิ๋นเยียนหลีพวยพุ่งสูงสามจั้ง เพียงแต่ในใจก็มีภาพรวมคร่าวๆ แล้ว ตี้ฝูอีใช้วิชาพรางตาไว้ที่นี่ แสดงให้เห็นว่าเขาเคยปรากฏตัวละแวกนี้จริงๆ น่าจะไปจากที่นี่ได้ไม่นาน…
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหาต่อไป…
อวิ๋นเยียนหลีตามหาอยู่ทั้งวัน ทั้งหมดที่พบคือเสือหนึ่งตัว หมาป่าหนึ่งตัว เหยี่ยวหนึ่งตัว เสือดาวหนึ่งตัว…