บทที่ 2518 เจ้าช่างปักใจรักใคร่เขาเสียจริงนะ!
กู้ซีจิ่วยิ้มหยันแล้วเอ่ย
“ทำไมเจ้าไม่คิดดูล่ะ หากว่าตี้ฝูอีอยู่ที่นี่ ด้วยความรักที่เขามีต่อข้า ยามข้าฝ่าด่านเคราะห์เขาจะต้องมาคุ้มครองอยู่ข้างกายข้าแน่นอนมิใช่หรือ? เหตุใดถึงไม่ปรากฏตัวเล่า?”
อวิ๋นเยียนหลีร้องเฮอะคราหนึ่ง
“เขาอาจจะขยับตัวไม่ได้ ก็ได้กระมัง?”
กู้ซีจิ่วยิ้มแล้ว เป็นรอยยิ้มหมิ่นแคลน
“หากว่าคำอธิบายเช่นนี้จะทำให้เจ้าสบายใจขึ้น เจ้าจะปลอบใจตัวเองเช่นนี้ก็ได้”
อันที่จริงเขาก็รู้สึกเช่นกันว่าเหตุผลของตนค่อนข้างฝืนทนยิ่งนัก
ครั้งสุดท้ายที่เขาพบหน้าตี้ฝูอี คนผู้นั้นยังอยู่ดีชัดๆ เพียงบาดเจ็บเล็กน้อย พลังยุทธ์ไม่เลิศล้ำเหมือนเมื่อก่อนเท่านั้น ไม่ถึงขั้นขยับเขยื้อนไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาก็ได้พักฟื้นมาเจ็ดแปดวันแล้ว อาการบาดเจ็บนั้นน่าจะดีขึ้นเจ็ดแปดส่วนแล้ว ต่อให้ไม่หายดี ก็คงไม่สาหัสย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขยับเขยื้อนไม่ได้เลย…
“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรือ?!”
ในที่สุดอวิ๋นเยียนหลีก็เข้าใจแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ก็มีเพียงเหตุผลข้อนี้ที่สามารถรองรับได้
กู้ซีจิ่วหัวเราะเบาๆ ไม่กล่าวอะไรอีก
“เขาอยู่ที่ไหน?”
กู้ซีจิ่วถามกลับ
“เจ้านึกว่าข้าจะบอกเจ้าหรือไง?!”
“เจ้าไม่เห็นชาวเผ่าเหล่านั้นของเจ้าอยู่ในสายตาจริงๆ หรือ? กู้ซีจิ่ว ความอดทนที่ข้ามีต่อเจ้ามีขีดจำกัดนะ!”
อวิ๋นเยียนหลีจรดนิ้วคราหนึ่ง สิ่งที่ดูคล้ายวิทยุสื่อสารอันหนึ่งโผล่ออกมา
“ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าเจ้ายังไม่บอกที่อยู่ของเขาอีก ข้าจะสั่งการให้พวกที่อยู่บนฝั่งลงมือทันที สังหารชาวเผ่าของเจ้าและสหายของเจ้าให้สิ้นชีพ!”
กู้ซีจิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง ผ่านไปสักครู่ในที่สุดกล่าวอย่างเยือกเย็น
“อันที่จริงบอกเจ้าไปก็ไม่เป็นไรหรอก เขากลับอาณาจักรมารไปแล้ว”
“เหลวไหล คนของข้าคอยเฝ้าอยู่ที่ปากทางเข้าอาณาจักรมารตลอดหลายวันที่ผ่านมา ไม่มีใครเข้าไปได้เลย!”
“โง่ เขาย่อมทราบดีว่าพวกเจ้าเฝ้าปากทางเข้าออกไว้ แล้วจะพาตัวเองไปติดกับดัก ที่พวกเจ้าหว่านเอาไว้ได้อย่างไร? ย่อมรอคอยอยู่ในที่ลับก่อน สบโอกาสแล้วค่อยเคลื่อนไหว หลายวันมานี้พวกข้าไม่เคลื่อนไหวเลย เจ้าย่อมสะกดโทสะเอาไว้ไม่อยู่ คิดจะนำตัวชาวเผ่าของข้า มาใช้ข่มขู่ข้าเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้น ในไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว ทันทีที่เจ้ารู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่พวกข้าจะมากบดานอยู่ที่นี่ จะต้องพายอดฝีมือทั้งหมดมาหาแน่ ตอนนี้คนของเจ้าที่คอยเฝ้าปากทางเข้าอาณาจักรมาร คงเหลืออยู่ไม่กี่คนแล้วกระมัง? เจ้าคิดว่าพวกปลายแถวที่เจ้าเหลือไว้จะสามารถขัดขวางเขาได้หรือ?”
อวิ๋นเยียนหลีกำหมัด ยอดฝีมือทั้งหมดล้วนถูกเขาพามาด้วยแล้วจริงๆ ปากทางเข้าอาณาจักรมารคงจะเหลือไม่ถึงแปดคนแล้ว
แปดคนนั้นต่อกรกับคนทั่วไปยังพอไหว แต่ถ้าต่อกรกับตี้ฝูอี…
เกรงว่าคงไม่มีแม้แต่โอกาสส่งสัญญาณเตือนภัยด้วยซ้ำ!
“ที่แท้เจ้าก็นึกถึงจุดนี้ไว้แล้ว! จงใจล่อคนของข้ามาที่นี่ เพื่อให้เขากลับอาณาจักรมารได้สะดวกสินะ?”
กู้ซีจิ่วหยักมุมปาก
“ตอบถูกแล้วนี่!”
“เจ้าช่างปักใจรักใคร่เขาเสียจริงนะ!”
“แน่นอน เขาคือสามีของข้า ไม่ให้ปักใจต่อเขาแล้วจะให้ปักใจต่อผู้ใดเล่า?”
อวิ๋นเยียนหลีหัวเราะเยาะ
“กู้ซีจิ่ว ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีรสนิยมจัดจ้านเช่นนี้ หวั่นไหวกับเด็กน้อยคนหนึ่งเข้าจริงๆ เจ้าไม่เกรงว่าพอกลับดินแดนเบื้องบนแล้ว จะถูกคนติฉินนินทาบ้างหรือ?”
กู้ซีจิ่วหลับตาลง ตอบอย่างเฉยชา
“ข้าเพียงทำตามใจปรารถนา แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยเก็บถ้อยคำนินทากาเลอันใดมาใส่ใจ”
จู่ๆ อวิ๋นเยียนหลีก็แย้มยิ้ม
“ใช่รึ? เช่นนี้ก็ดี!”
พาเธอขึ้นจากน้ำทันที กลับขึ้นฝั่ง
พวกเจ้าวังน้อยยังคงรออยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นเขากลับมามือเปล่า ก็รู้แล้วว่าหาตี้ฝูอีไม่พบ จึงไม่กล้าถามอีก
กู้ซีจิ่วลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เธอกระทำการอย่างเคร่งครัดรัดกุมเสมอมา ชอบเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเอง หลายวันมานี้เธอกับคุนเสวี่ยอี๋ได้ติดตั้งค่ายกลหนึ่งไว้ใต้ทะเลสาบของที่นี่ อยู่ด้านนอกไม่มีทางมองอะไรออก แน่นอนว่ามองไม่เห็นคนหรือสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในเขตแดนด้วย
————————————————————————————-
บทที่ 2519 เจ้ามัดเขาเอาไว้เช่นนี้ทำไม?
เดิมทีนี่เป็นหนทางถอยที่กู้ซีจิ่วเตรียมไว้เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน หากอวิ๋นเยียนหลีบุกเข้ามาได้ เธอก็จะพาตี้ฝูอีไปหาสถานที่ซ่อนตัว
กลับคาดไม่ถึงว่าอวิ๋นเยียนหลีจะบุกเข้ามา ในช่วงที่เธอฝ่าด่านเคราะห์พอดี เธอที่ต้องฝ่าด่านเคราะห์เปรียบเสมือนตัวล่อเป้า ไม่มีทางหลบเร้นไปจากหูตาของผู้คนได้ ดังนั้นเธอจึงฉวยโอกาส ก่อนที่จะเกิดด่านเคราะห์พารูปสลักหยกตี้ฝูอีไปซ่อนไว้ในเขตแดนนั้น…
เมื่อครู่นี้คุนเสวี่ยอี๋อาศัยเหตุที่โกลาหลวุ่นวาย พาองครักษ์จินลงน้ำไป ความจริงก็คือเข้าไปซ่อนอยู่ในเขตแดนนั้นแล้ว
อวิ๋นเยียนหลีกลับนึกว่าสองคนนั้นหนีไปแล้ว จึงไม่ไล่ตามไปชั่วคราว
ขอเพียงตี้ฝูอีไม่ได้ตกอยู่ในกำมือของอวิ๋นเยียนหลี ทุกอย่างล้วนจัดการได้ ทุกอย่างล้วนยังมีความหวังอยู่
เพียงแต่ไม่รู้ว่าพลังวิญญาณในร่างของตี้ฝูอียังพลุ่งพล่านเช่นนั้นอยู่หรือไม่…
หัวใจเธอเป็นกังวล ทว่าสีหน้ากลับเรียบเฉย หลับตาอยู่ตลอด ไม่มองใครทั้งนั้น ปรับลมปราณอยู่เงียบๆ รักษาอาการบาดเจ็บบนร่างตน…
เสียงลาอันเป็นเอกลักษณ์ดังขึ้นทำให้เธอลืมตาขึ้นมาทันที
เสียงแว่วออกมาจากท่ามกลางฝูงชน คลื่นมนุษย์มหาศาล เธอยังมองไม่เห็นลาตัวนั้น ทว่าจดจำเสียงร้องนั้นได้
ลาของจู๋ตู๋ชิง!
หรือว่าจู๋ตู๋ชิงก็ถูกจับตัวมาด้วย?
อวิ๋นเยียนหลีสัมผัสเฉียบไวจับสังเกตอารมณ์ของนางได้ พลันโบกมือ ให้กองกำลังแหวกทาง เผยให้เห็นจู๋ตู๋ชิงที่ถูกรัดพันอยู่ในแหกับเจ้าลาที่ถูกมัดอย่างแน่นหนา
ลาตัวนั้นเคยอยู่ร่วมกับกู้ซีจิ่วหลายวัน เห็นเธอเป็นสหายไปโดยปริยายแล้ว พอสบตากับเธอ ก็กู่ร้องขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงร้องนั้นโหยหวนคับข้องหมองใจ คล้ายว่ากำลังร้องทุกข์กับเธอ
จู๋ตู๋ชิงค่อนข้างน่าเวทนายิ่งนัก เขาตะคอกลาตัวนั้นไปทีหนึ่ง
“อย่าร้องซี้ซั้ว!”
แล้วมองกู้ซีจิ่วอย่างรู้สึกผิด
“อาจารย์ซีจิ่ว ข้าผิดต่อท่าน…”
กู้ซีจิ่วละอายใจต่อจู๋ตู๋ชิงยิ่งนัก หากมิใช่เพราะเธอ คุณชายไผ่ขจีท่านนี้จะยังคงลอยชายอยู่ในอาณาจักรมาร เป็นเธอที่ลากเขาลงสู่ ‘หล่มโคลน’
วันนั้นเธอพาตี้ฝูอีหนีไป ทิ้งจู๋ตู๋ชิงไว้ด้วยความอับจนหนทาง…
เธอคิดว่าต่อให้อวิ๋นเยียนหลีจับตัวจู๋ตู๋ชิงไว้ก็คงจะปฏิบัติด้วยอย่างดี กลับคาดไม่ถึงว่าจะขังเขาไว้ในแหเช่นนี้ แม้แต่เจ้าลาตัวนั้นก็ถูกมัดเอาไว้อย่างไร้คุณธรรม
กู้ซีจิ่วหันไปมองอวิ๋นเยียนหลีแวบหนึ่ง
“เจ้ามัดเขาเอาไว้เช่นนี้ทำไม?”
อวิ๋นเยียนหลีหัวเราะเบาๆ
“ถ้าเจ้าตกลงแต่งกับข้า ข้าก็จะปล่อยตัวเขาดีไหม?”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง!
บ้าไปแล้ว!
ความโศกหมองพาดผ่านนัยน์ตาของอวิ๋นเยียนหลีแวบหนึ่ง แต่ก็กลับมาเป็นปกติในทันที ยิ้มอีกแวบหนึ่ง
“เขาเป็นลูกศิษย์ที่รักของเจ้า บุกน้ำลุยไฟเพื่อเจ้า หนีไปได้แล้วชัดๆ แต่ก็ยังไม่วายเป็นห่วงจนต้องแจ้นกลับมาแอบดู ถูกข้าจับตัวได้พอดี…เขาซื่อสัตย์ภักดีกับเจ้าขนาดนี้ เจ้าจะทนเห็นเขาถูกทรมานจนตายได้หรือ?”
กู้ซีจิ่วไม่เอ่ยวาจาแล้ว
อวิ๋นเยียนหลีมองไปที่จู๋ตู๋ชิงอีกครั้ง
“คุณชายไผ่ขจี เจ้าดูสิ นางไม่ยินดี เห็นทีว่าในใจของนาง เจ้าไม่ได้สำคัญสักเท่าไหร่นะ”
อวิ๋นเยียนหลีเป็นมือดีในการยุให้รำตำให้รั่ว เอ่ยเลื่อนลอยเพียงไม่กี่ประโยคแต่แทงใจยิ่งนัก
แต่จู๋ตู๋ชิงไม่หลงกลเขา ร้องเฮอะใส่เขา
“เจ้าอย่าฝันว่าจะยุให้แตกคอได้! ท่านปู่อย่างข้าไม่หลงกลไม้นี้ของเจ้าหรอก!”
สีหน้าอวิ๋นเยียนหลีขรึมลง สั่งการเจ้าวังน้อยที่อยู่ด้านข้าง
“ถลกหนังลาตัวนั้นซะ!”
เจ้าลาสะดุ้งโหยง!
มันไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะตัวเองจะโดนลูกหลงไปด้วย เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นปัญหาระหว่างสองคนนั้น แล้วเกี่ยวอะไรกับมันด้วยเล่า?!
เจ้าลาโกรธจนร้องลั่นขึ้นมา!
เสียงคำรามนั้นกึกก้องปานมังกร สั่นสะเทือนจนเรือนหินกระท่อมมุงจาก ที่อยู่ห่างออกไปพังถล่มลงมา และสะเทือนจนทะเลสาบปั่นป่วนขึ้นมาปานหม้อน้ำเดือด…
สะเทือนเลื่อนลั่นจนทุกคนล้วนอุดหูแน่น พากันถอยออกห่าง
“อย่าร้อง! สารเลว! หยุดร้องนะ! เจ้าจะโวยวายจนผู้อื่นตายหรือไง?!”
จู๋ตู๋ชิงตะโกนด่า!