บทที่ 2522 อย่างมากก็แค่เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง!
ฝ่ามือที่เขาซัดออกไปเมื่อครู่เป็นเพียงฝ่ามือธรรมดา ไม่ได้ใช้พลังวิญญาณทว่าตอนนี้เขากลับนึกอยากเอาชนะขึ้นมาแล้ว เขาไม่เชื่อว่าจะต่อกรกับรูปสลักหยกชิ้นหนึ่งไม่ได้!
จึงโคจรพลังไปที่แขนทันที ใช้พลังยุทธ์สามส่วน ซัดเข้าใส่รูปสลักหยกอีกครั้ง!
“อย่านะ!”
กู้ซีจิ่วพยายามโผเข้าไปอย่างสุดชีวิต โผเข้าใส่รูปสลักหยก ใช้ตัวบังไว้!
อวิ๋นเยียนหลีพลันเปลี่ยนเป็นท่าจับคว้า คว้าตัวนางกลับมา โยนให้เจ้าวังน้อยที่อยู่ด้านข้าง
“ดูนางไว้!”
แล้วโคจรพลังซัดลงไปอีกครั้ง!
ผลคือ มือเขาถูกแสงเจ็ดสีดีดสะท้อนกลับมาอีกครั้ง!
แถมแรงสะท้อนกลับในครั้งนี้ของแสงเจ็ดสีก็ทรงพลังกว่าก่อนหน้านี้มาก ทำให้มือของเขาไม่เพียงแต่ชาเท่านั้นยังรู้สึกเจ็บปวดด้วย…
หรือแสงเจ็ดสีนี้จะเป็นปฏิกิริยาแบบแรงมาแรงกลับ?
อวิ๋นเยียนหลีหรี่ตาลงอย่างน่าอันตราย ถ่ายเทพลังทั้งหมดไปที่มือโดยตรง มีพลังวิญญาณก่อตัวขึ้นในฝ่ามือของเขาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่คลื่นพลังวิญญาณมหาศาลก่อขึ้นในมือเขา รอบข้างก็เกิดลมพัดกรรโชก…
ถึงแม้ตอนนี้กู้ซีจิ่วจะเป็นเสี่ยวเซียนแล้ว แต่ถึงอย่างไรเธอก็เคยเป็นซ่างเสินมาก่อน มองคลื่นพลังวิญญาณนี้แวบเดียว ก็รู้แล้วว่าเขาใช้พลังของระดับซ่างเสิน…
พลังระดับนี้ต่อให้เป็นโคตรเพชรก็ยังถูกซัดจนกลายเป็นธุลีได้ นับปะสาอะไรกับรูปสลักหยกเล่า?
เกรงว่าคงจะแหลกเป็นผุยผงไปทันที แม้แต่เศษตะกอนก็ไม่หลงเหลือแล้ว!
แต่ว่าตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้เลย…
เธอไม่ได้เสียอาการจนร้องตะโกนขอความเมตตา เนื่องจากเธอรู้ว่าทำเช่นนั้นไม่มีประโยชน์เลย
ในเมื่ออวิ๋นเยียนหลีเผยโฉมหน้ากับตนแล้ว จะต้องไม่ไว้หน้าอันใดเธออีกแน่ ถ้าเธอเสียอาการร้องโวยวายมีแต่จะกลายเป็นที่น่าขบขันของเขา!
เธอจึงหลับตาลงเสียเลย ในใจบังเกิดความคิดเหี้ยมโหด หากว่าร่างจริงของตี้ฝูอีถูกทำลาย ถ้าเธอขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนได้ก็จะล้างแค้นให้เขา จะผ่าอวิ๋นเยียนหลีออกเป็นแปดเสี่ยง! จะทำลายดวงวิญญาณของเขาให้ป่นปี้เป็นผุยผง!
จากนั้นค่อยตามหาตี้ฝูอีที่กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง…
อย่างมากก็แค่เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง! ถึงอย่างไรเขาก็กลับชาติมาเกิดได้มากกว่าหนึ่งครั้งอยู่แล้ว
ฝ่ามือที่อวิ๋นเยียนหลีซัดออกไปสะท้านสะเทือนโดยแท้!
กระแสฝ่ามือที่เฉียบคมส่งเสียงหวีดหวิด จนสะเทือนฟ้าดินเขย่าวิญญาณได้ ทุกคนล้วนรับไม่ไหวพากันถอยห่าง ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานฝ่ามือนี้อย่างซึ่งหน้าได้
เกิดเสียง ‘ปัง!’ ดังกึกก้องสะท้านสะเทือนฟ้าดิน สะเทือนพสุธาใต้ฝ่าเท้าให้โยกไหวถึงสามครา!
ทุกคนใช้พลังวิญญาณปิดกั้นใบหูเอาไว้แล้วชัดๆ ทว่ายังคงถูกเสียงนี้สั่นสะเทือนจนสมองมึนงง ในหูเกิดเสียงดังหึ่งๆ
ส่วนชาวบ้านที่ไม่มีพลังวิญญาณสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะใช้มืออุดหูไว้แล้ว ทว่ายังคงได้รับแรงสะเทือนจนกระอักเลือดออกมา ล้มลงเกลื่อนพื้น
โลหิตอุ่นร้อนก็ซัดตลบอยู่ในทรวงอกของกู้ซีจิ่วเช่นกัน เบื้องหน้าเธอมืดมัวไปชั่วขณะ หัวใจทั้งดวงแทบจะจมดิ่งลึกลงไป
เธอหลับตาอยู่ ไม่กล้าลืมตาขึ้นโดยสัญชาตญาณ…
พลันได้ยินเสียงสูดหายใจจากรอบข้างแว่วขึ้นไม่ขาดสาย เธอใจเต้นแวบหนึ่ง ขนตาสั่นไหว ลืมตาขึ้นมา
จากนั้นก็ได้เห็นฉากอันน่าเหลือเชื่อ
รูปสลักหยกยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสมบูรณ์ดี ไม่บุบสลายเลยสักนิด ถึงขั้นที่อาภรณ์ก็ไม่ยับเลยด้วย
กลับเป็นอวิ๋นเยียนหลีเอง เขาถูกแรงดีดสะท้อนจนกระเด็นออกไปเลย!
ชนเข้ากับเสาศิลาต้นหนึ่ง เสาศิลาถูกกระแทกจนแตกกระจาย เศษหินปกคลุมไปทั่วร่างเขา…
อวิ๋นเยียนหลีก็หนังเหนียวจริงๆ ถูกกระแทกจนกลายเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังลุกขึ้นมายืนอย่างมั่นคงได้ทันที ไม่ได้ล้มหัวทิ่มดุจสุนัขกินอาจม เพียงดูมอมแมมไปบ้างเท่านั้น ใบหน้าค่อนข้างขะมุกขะมอม ดวงหน้าหล่อเหล่าเขียวคล้ำอยู่บ้าง…
“อุ้บ! ฮ่าๆๆ!”
จู๋ตู๋ชิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น
“เจ้าเมืองอวิ๋นช่างมีฝีมือนัก! ซัดฝ่ามือคราหนึ่งก็ทำให้ตนกระเด็นออกไปได้! ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมจริงๆ! ท่วงท่าการกระเด็นนี้ เป็นการล้มก้นโก่งดุจห่านป่ากระมัง? ผู้แซ่จู๋ได้เปิดโลกแล้ว”
อวิ๋นเยียนหลีขายหน้าต่อหน้าพลทหารมากมาย สีหน้าย่อมไม่น่ามองแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าเคร่งขมึง
พอถูกจู๋ตู๋ชิงเยาะเย้ยอีกเช่นนี้ เขายิ่งโมโห ซัดฝ่ามือใส่จู๋ตู๋ชิงคราหนึ่ง!
————————————————————————————-
บทที่ 2523 เขาจะต้องฟื้นคืนมาแน่!
ซัดจู๋ตู๋ชิงจนล้มกลิ้งหลุนๆ
จู๋ตู๋ชิงกลับไม่ยินยอมสยบพ่าย เขาถ่มเสลดที่เจือด้วยโลหิตออกมา เชิดหน้าหัวเราะคราหนึ่ง
“ฮ่าๆ ฝีมือยอดเยี่ยม! นี่ต้องการจะแสดงความมีตัวตนกับร่างของผู้แซ่จู๋สินะ?”
สีหน้าอวิ๋นเยียนหลีเขียวคล้ำ ซัดฝามือซ้ำจนเขาล้มกลิ้งอีกครั้ง
ถึงแม้ครั้งนี้อวิ๋นเยียนหลีจะได้กำไรมหาศาล แต่ก็ขายหน้าไปพอดู สายตานับไม่ถ้วนของเหล่าลูกน้องต่างร่อนลงบนรูปสลักหยกนั้น ล้วนคาดเดากันไปว่า สรุปแล้วรูปสลักหยกนี้ทำมาจากวัสดุใด ไม่น่าเชื่อว่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำให้ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นผู้มีวรยุทธ์สูงส่งลึกล้ำถึงเพียงนี้เสียเปรียบขนานใหญ่ได้…
นี่คือราชันมารที่ทำให้ทั่วทั้งแดนอสุราปั่นป่วนจริงๆ น่ะหรือ?
รูปสลักชิ้นเดียวร้ายกาจได้ขนาดนี้เชียว?
หากว่าราชันมารร้ายกาจขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นเหตุใดเขาไม่บุกยึดเก้าเมืองใหญ่แต่แรกล่ะ? จะงำประกายซ่อนอยู่ในอาณาจักรมารมาโดยตลอดทำไม?
ซ้ำยังมีคนที่ให้ข้อมูลว่ารู้จักวรยุทธ์ของราชันมารแห่งอาณาจักรมารดี น่าจะไม่เหนือไปกว่าชั้นซ่างเซียน ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ต่อให้ราชันมารเผชิญหน้ากับอวิ๋นเยียนหลีโดยตรงก็ต้องพ่ายแพ้ มิใช่คู่ต่อสู้สิ แล้วเหตุใดรูปสลักหยกเพียงชิ้นเดียวถึงทำให้อวิ๋นเยียนหลีเสียเปรียบมหันต์ได้เล่า?
หรือว่ารูปสลักนี้จะมิใช่ราชันมาร แต่เป็นเทพ…
แน่นอน ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาย่อมมิกล้าเอ่ยสิ่งที่คาดเดาออกมา ได้แต่สบตากัน แววตาตื่นตะลึงระคนคลางแคลง
อวิ๋นเยียนหลีย่อมทราบดีว่าลูกน้องตนนึกคลางแคลงแล้ว…
เขาหลุบตาลงนิดๆ หยักมุมปากบางๆ สั่งการอย่างเฉยชา
“เผาที่นี่ซะ กลับเมือง!”
เพลิงกองใหญ่ลุกโหมขึ้นมา แผดเผาทุกสิ่ง ส่องสะท้อนนัยน์ตาชาวบ้านจนแดงฉาน…
วันคืนอันสงบสุขของพวกเขา เพิ่งผ่านไปเพียงเจ็ดแปดวันเท่านั้น ตอนนี้กลับบ้านแตกสาแหรกขาดอย่างสมบูรณ์แล้ว!
หมู่บ้านพังพินาศสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ แต่เขตแดนที่อยู่ด้านนอกก็พังไปแล้ว ที่นี่ไม่ใช่แดนสุขาวดีที่สามารถหลบเร้นจากพิรุณโลหิตได้อีกต่อไปแล้ว ครั้งนี้ต่อให้พวกเขาสามารถหนีรอดพ้นเคราะห์กรรมได้ วันหน้าก็ทำได้เพียงใช้ชีวิตอยู่ในเมือง เชิดหน้าภาคภูมิไม่ได้ เป็นเสมือนบ่าวไพร่…
พวกเขามองไปที่กู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วก็กำลังมองเพลิงที่ลุกโหมเรืองรองนั้นเช่นกัน
ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังถึงเพียงนี้ ใบหน้าเฉิดฉันของนางกลับไม่มีความโศกสลดเลย แสงเพลิงส่องกระทบนัยน์ตานาง ดูเด็ดเดี่ยวเยือกเย็นนัก!
ราวกับเสาหลักที่ทำให้คนรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด…
ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีความหวัง!
มีความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง!
ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่น่าเชื่อเลยว่ารูปสลักหยกตี้ฝูอีจะมีอานุภาพมากขนาดนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ถึงขั้นที่ยังคงแข็งแกรงยิ่งนักด้วย!
ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่เธอก็ยิ่งมีความหวังมากขึ้น…
เขาจะฟื้นคืนมาแน่!
….
มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่าเลี้ยงดูยอดพธูในตำหนักทอง
ในอดีตยามที่องค์จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ยังเยาว์วัยได้ชอบพอเฉินอาเจียวญาติผู้พี่ที่เป็นหญิงของตน กล่าวเอาไว้ว่า
‘หากได้อาเจียวเป็นภรรยา จะเก็บรักษาไว้ในตำหนักทอง’
แสดงถึงความรักใคร่หวงแหนของตน
หลังจากเขาแต่งเฉินอาเจียวเป็นภรรยาแล้ว ก็ได้สร้างตำหนักที่ใหญ่โตหรูหราอลังการให้นางหลังหนึ่งจริงๆ ให้นางพำนักอยู่ รักใคร่เอื้อเอ็นดูยิ่ง
ต่อมาเขามีรักใหม่กับหญิงอื่น จึงปลดเฉินอาเจียวออกจากตำแหน่งฮองเฮา นำนางไปคุมขังไว้ในตำหนัก ฉางเหมินชั่วชีวิต
กู้ซีจิ่วทราบประวัติความเป็นมาของประโยคนี้ แต่ที่เธอคาดไม่ถึงคือ จะมีวันที่ตนได้พำนักอยู่ในตำหนักทองจริงๆ ถ้าพูดกันตามจริงคือ ถูกคุมขังไว้ในตำหนักทอง
หลังคาทอง ผนังทองหรูหราตระการตา เครื่องเรือนภายในห้องก็สร้างขึ้นจากไม้จันทน์แดงเลี่ยมขอบทองเช่นกัน
เตียงหลังใหญ่ที่อยู่ใจกลางห้องก็สร้างขึ้นจากทองคำเหลืองอร่าม เครื่องนอนที่ปูอยู่บนเตียงก็ถักทอขึ้นจากไหมทอง
ถึงขั้นที่แม้แต่กระโถนขับถ่ายที่อยู่ตรงมุมห้องก็ยังเป็นทองคำ
ไม่ว่าจะมองไปตรงไหน ล้วนเหลืองอร่ามไปทั่ว สามารถส่องสะท้อนนัยน์ตาคนให้วาวโรจน์ดุจนัยน์ตาสุนัขได้
กู้ซีจิ่วถูกขังไว้ที่นี่มาสามวันแล้ว บนร่างเธอถูกสกัดชีพจรไว้ถึงเจ็ดแปดตำแหน่ง ร่างกายมีเรี่ยวแรงเพียงลุกขึ้นยืนได้อย่างมั่นคง เดินวนภายในห้องรอบหนึ่งเหงื่อก็จะชุ่มไปทั้งร่างแล้ว