บทที่ 2560 มรสุมงานวิวาห์
ถึงอย่างไรคนของเขาก็ไปจัดการที่จวนนั้นแล้ว รอจนพิธีที่นี่ดำเนินจนจบ ผังดารานั้นก็จะถูกกลบฝังไปแล้ว ไม่เผยสู่สายตาของปวงชนอีก
เขาส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่พิธีการ เจ้าหน้าที่พิธีการรีบร้องเสียงดัง
“ได้ฤกษ์แล้ว บ่าวสาวเริ่มพิธีได้!”
อวิ๋นเยียนหลีบังคับคุนเสวี่ยอี๋ให้หันหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง
เจ้าหน้าที่พิธีการก็เกรงว่าจะเกิดปัญหาเช่นกัน ดังนั้นจึงรีบประกาศขั้นตอนเข้าพิธีอย่างรวดเร็วยิ่ง
“หนึ่งคำนับเทวาผู้สร้างโลก!”
“สองคำนับเจ้าแห่งฟ้าดิน…”
“สามบ่าวสาวคำนับกันและกัน…”
“เสร็จพิธี!”
ตอนที่เจ้าหน้าที่พิธีการประกาศลำดับแรก ฝูงชนก็ตะลึงงันไปแวบหนึ่ง
มิใช่หนึ่งคำนับฟ้าดินหรอกหรือ?
เทวาผู้สร้างโลกคืออะไร?
หวา สองคำนับผู้อาวุโสก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคำนับเจ้าแห่งฟ้าดินไปเสียแล้ว
เทวาผู้สร้างโลก เจ้าแห่งฟ้าดิน ฟังดูสูงส่งน่าครั่นคร้ามนัก…
แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย…
คุนเสวี่ยอี๋ก็ผงะไปเล็กน้อย เพียงแต่อวิ๋นเยียนหลีไม่ให้โอกาสเขาได้ตะลึงเลย แทบจะโอบกอดเขาคำนับฟ้าดินแล้ว
ช่วงเวลาที่เขาละล้าละลังอยู่ พิธีกราบไหว้ฟ้าดินนี้ก็จบลงแล้ว
ทันทีที่เจ้าหน้าที่พิธีการร้องว่า ‘เสร็จพิธี’ ไม่น่าเชื่อว่าบนนภาจะมีเสียงฟ้าร้องกึกก้องกัมปนาทดังขึ้น
ชาวบ้านเงยหน้ามองตามสัญชาตญาณ ถึงได้พบว่าท้องฟ้าที่แจ่มใสลมพัดโชย ได้เต็มไปด้วยเมฆาดำมืดทึบทึมแล้ว เมฆาทมิฬหนาแน่น ทำเอาคนหายใจแทบไม่ออก
นี่คือสวรรค์ไม่เห็นดีกับคู่นี้หรือ?
คำถามพาดผ่านในใจของฝูงชน
คุนเสวี่ยอี๋แทบหลั่งน้ำตาแล้ว เขาไม่อยากเข้าพิธีกับอวิ๋นเยียนหลีผู้นี้…
ทว่าจับผลัดจับผลูเข้าพิธีเสร็จสิ้นไปแล้ว!
หรือนี่จะเป็นบทลงโทษจากสวรรค์ที่เขาปากพล่อย?
เฟิงหรูฮั่วที่อยู่ด้านล่างเวทีมองเขาอย่างยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ยากนักที่จะได้เห็นเจ้าคุนตัวนี้ตกที่นั่งลำบาก นางต้องมองให้มากหน่อยถึงจะถูก
จะว่าไปอวิ๋นเยียนหลีผู้นี้ช่างวิปริตโดยแท้ ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้วไม่น่าเชื่อว่าจะยังไม่ตัดใจจากการเข้าพิธีอีก นี่ช่างเป็นความหมกมุ่นที่แรงกล้านัก!
แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเฟิงหรูฮั่วยิ่งนักเช่นกัน
เดิมทีแผนการของพวกเขาคือ กู้ซีจิ่วไปทำลายจวน เผยผังดาราออกมา
อวิ๋นเยียนหลีที่ตกอยู่ภายใต้ความร้อนใจจะต้องไปปกปิดผังดาราจากสายตาประชาชนเป็นแน่ ไม่สนใจเข้าพิธีชั่วคราว พวกเขาก็จะสบจังหวะช่วยเหลือรูปสลักหยก อาศัยความวุ่นวายหลบหนีไป…
เดิมทีพวกเฟิงหรูฮั่วคิดจะยกทัพมารกองใหญ่บุกเข้าเมือง สร้างเรื่องก่อความวุ่นวาย ทว่าถูกกู้ซีจิ่วปรามไว้
กู้ซีจิ่วพูดจาชัดเจนยิ่งนัก หนนี้อวิ๋นเยียนหลีเคลื่อนไหวใหญ่โตถึงเพียงนี้ เป็นแผนล่อชาวอาณาจักรมารมาติดกับ หากทัพมารยาตราเข้าไป จะต้องติดกับดักที่อวิ๋นเยียนหลีเตรียมไว้เต็มหม้อแน่ๆ หนีรอดได้ยาก
ดังนั้นครั้งนี้อาณาจักรมารจึงพา ยอดยุทธ์สิบห้าคนที่สามารถต้านคนนับร้อยได้ มาเท่านั้น
คนเหล่านี้ปะปนอยู่ในฝูงชน รอโอกาสลงมือ
แน่นอน ตอนที่ชาวบ้านเอะอะโวยวายก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ได้ส่งเสียงเลย เพียงพูดจาก่อให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังอย่างไม่รีบไม่ร้อน ยุยงให้คนที่อารมณ์ร้อนเหล่านั้นโวยวายขึ้นมา
อวิ๋นเยียนหลีนึกไปนึกมา ครั้งนี้คนของอาณาจักรมารจะต้องเคลื่อนไหวที่จัตุรัสราชธรรมอย่างใหญ่โตเป็นแน่ มีทหารดักซุ่มอยู่นับไม่ถ้วน ผลคือจวบจนเข้าพิธีเสร็จสิ้น ก็ไม่เห็นทัพมารเลยสักคน กลับจับกุมชาวบ้านเอาไว้ไม่น้อย ยั่วยุโทสะของฝูงชนขึ้นมา…
ถึงแม้พวกชาวบ้านจะถูกคนของเขาสะกดไว้ชั่วคราว แต่ในใจยังคงไม่ยินยอม มักจะมองไปทางจวนว่าการที่มี ‘แสงดาว’ ส่องกะพริบอยู่เนืองๆ…
ยิ่งห้ามไม่ให้พวกเขาไปตรวจสอบดู ก็ยิ่งยืนยันให้เห็นว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน!
ไม่แน่เรื่องทั้งหมดที่รูปสลักหยกพูด ตอนปรากฏตัวขึ้นครั้งก่อนอาจจะเป็นความจริงก็ได้…
คนมากมายมองไปที่รูปสลักหยกบนเวทีทิศเหนือ…
ภายใต้การมองดูครั้งนี้ แต่ละคนพลันใจหายวาบ
เพลิงในกระถางสัมฤทธิ์ทั้งแปดใบลุกโชนสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ศิลาห้าสีที่ใช้สร้างเวทีเริ่มคุแดงขึ้นมาแล้ว แสงสีแดงนั้นเข้มขึ้นเรื่อยๆ ราวกับศิลาห้าสีก็จะลุกไหม้ด้วยเช่นกัน…
————————————————————————————-
บทที่ 2561 มรสุมงานวิวาห์ 2
แต่เดิมทีที่เป็นเวทีก็ได้กลายเป็นแท่นเผาไปเสียแล้ว เพลิงแปดสีลุกโชติช่วง ลุกไหม้ขึ้นเรื่อยๆ
บนเวทีย่อมให้คนยืนต่อไปไม่ได้แล้ว พวกเจ้าวังน้อยกระโดดลงมาตั้งนานแล้ว เพียงโอบล้อมอยู่สี่ด้านของเวที ป้องกันไว้เผื่อมีใครกระโจนขึ้นไปชิงรูปสลักหยก…
เฟิงหรูฮั่วร้อนใจนัก จ้องแท่นเพลิงนั้นเขม็งกำมือแน่น
กู้ซีจิ่ว สรุปแล้วเคลื่อนย้ายไปช่วยรูปสลักหยกบนเวทีหรือยัง?!
ตามแผนการที่วางกันไว้ก่อนหน้านี้ ในช่วงเวลานี้กู้ซีจิ่วสมควรจะเคลื่อนย้ายไปโผล่บนเวที ก่อความวุ่นวายช่วยเหลือรูปสลักหยกแล้ว
เนื่องจากกู้ซีจิ่วมียันต์เร้นกายติดตัว ต่อให้นางขึ้นไปบนเวทีแล้ว ก็ไม่มีใครมองเห็นนางอยู่ดี ดังนั้นพวกเฟิงหรูฮั่วจึงไม่แน่ใจ…
หรือว่าแม่นางกู้จะได้รับบาดเจ็บตอนระเบิดจวนว่าการ?
ในจุดที่เฟิงหรูฮั่วอยู่นี้ มีทหารของอวิ๋นเยียนหลีไม่น้อยเลย คนเหล่านี้จับจ้องประชาชนที่นี่อย่างดุดันดั่งพยัคฆ์ ถ้าใครเคลื่อนไหวผิดปกติล้วนถูกพวกเขาสังเกตเห็นได้ ดังนั้นถ้าไม่ถึงช่วงเวลาคับขัน เฟิงหรูฮั่วก็ไม่กล้าใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อหากู้ซีจิ่ว…
ก่อนหน้านี้ตอนที่ทหารที่ดักซุ่มอยู่ยังไม่โผล่ออกมา การจัดพื้นที่อย่างไม่เข้มงวดถึงเพียงนั้น เฟิงหรูฮั่วเคยติดต่อหากู้ซีจิ่วแล้วหนหนึ่ง ตอนนั้นกู้ซีจิ่วยังสบายดีอยู่ บอกว่าเข้าไปในผังดาราแล้ว กำลังฝังดินระเบิดอยู่…ให้นางวางใจได้ บอกว่าขอเพียงนางระเบิดที่นี่แล้ว จะเคลื่อนย้ายไปช่วยรูปสลักหยกที่จัตุรัสราชธรรมทันที…
ยังบอกอีกว่าหากไม่เกิดเหตุนอกเหนือความคาดหมาย นางจะสามารถอุ้มรูปสลักหยกหลบหนีได้ภายในระยะเวลาหนึ่งถ้วยชา
แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปสองถ้วยชาแล้ว คุนเสวี่ยอี๋ก็ถูกบังคับเข้าพิธีกับอวิ๋นเยียนหลีไปเรียบร้อยแล้ว กลับยังไม่ปรากฏเงาของกู้ซีจิ่วเช่นเดิม รูปสลักหยกก็ยังตั้งอยู่ตรงนั้น…
เพลิงเริ่มลามไปถึงใจกลางเวที เปลวไฟโชติช่วงเริ่มเผาไหม้เสาไม้ด้านหลังรูปสลักหยกแล้ว เสาไม้นั้นก็เป็นสีแดงหม่น เมื่ออยู่ภายใต้การแผดเผาของเพลิงแปดสี มันก็เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะขาวขึ้นเรื่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ…
หลังจากอวิ๋นเยียนหลีเข้าพิธีเสร็จ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะพาเจ้าสาวของตัวเองเข้าห้องหอเลย กลับโอบเอวอีกฝ่ายยืนอยู่ริมราวกั้น มองเวทีฝั่งตรงข้ามที่เพลิงลุกโชติช่วงขึ้นเรื่อยๆ
เขาพึงพอนัก ในน้ำเสียงเจือแววยิ้มหัวไว้
“ซีจิ่ว รู้ไหมว่าเพลิงนี้คือเพลิงอะไร?”
คุนเสวี่ยอี๋ตอบอย่างแข็งกระด้าง
“ไม่รู้”
“เพลิงนี้คือเพลิงผลาญโสดาบัน เพลิงนี้สามารถแผดเผาทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ได้ ไม่เพียงแต่เผาทำลายกายเนื้อเท่านั้น แม้แต่ดวงวิญญาณก็จะถูกกักขังไว้ด้านในออกมาไม่ได้ ร้ายกาจกว่าเพลิงบัวอัคคีเป็นร้อยเท่า! เห็นเสาไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ตรงกลางไหม? นั่นคือไม้โพธิ์อันธการ กักขังวิญญาณได้ ถ้าใครถูกมัดไว้บนนั้น วิญญาณจะถูกผนึกไว้ มีแต่ต้องมอดไหม้เป็นเถ้าธุลีไปพร้อมกับกายเนื้อ ไม่ว่ารูปสลักหยกนี้จะใช่ตี้ฝูอีหรือไม่ จุดจบที่รอมันอยู่ก็มีเพียงอย่างเดียว สลายเป็นเถ้าธุลีไปโดยสมบูรณ์”
คุนเสวี่ยอี๋หน้าเปลี่ยนสีแล้ว
รอต่อไปไม่ได้แล้ว!
พวกเราไม่สามารถเบิกตามองนายท่านของบ้านตนถูกเผาตายทั้งเป็นอยู่ที่นี่ได้!
สำหรับแผนในปัจจุบัน มีแต่ต้องฝืนชิงมาเท่านั้น…
เขาขยับปลายนิ้วเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้ด้านล่างเวที
ผ่านไปครู่หนึ่งมีเสียงตะโกนดังขึ้นจากในซุ้มม่าน
“อวิ๋นเยียนหลีใช้วิญญาณอาฆาตนับล้านเซ่นสังเวย ก่อผังดาราขึ้น ผังดาราเหล่านั้นไม่มีทางช่วยเหลือปวงชนได้ ซ้ำยังดูดเอาไอวิญญาณจากฟ้าดินอีก ใช้ไอวิญญาณมาหลอมกลั่นไอพยาบาทวิญญาณอาฆาต แปลงเป็นวิชามารชั่วช้า! ผังดาราเป็นแหล่งกำเนิดค้างคาวโลหิต…อวิ๋นเยียนหลีต่างหากที่เป็นมาร! มารที่ทำร้ายปวงชน! รูปสลักหยกนี้เป็นเทพเซียน เซียนที่ช่วยเหลือผองชน…”
คนที่ตะโกนวาจานี้ขึ้นมาคือ…หุ่นเชิดของเทียนซิ่วซิ่ว
แถมยังใช้วิธีการพิเศษทำให้การร้องตะโกนนั้น ปากไม่ขยับเลย ถึงขั้นที่ทำให้คนแยกแยะไม่ออกด้วยว่าเสียงมาจากทิศทางไหน