บทที่ 2575 ตัวการที่อยู่เบื้องหลัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง จู๋ตู๋ชิงเงยหน้ายิ้มนิดๆ
“ใช่!”
หนึ่งคำยืนยันชัดเจน ทุกคนในลานล้วนลุกฮือขึ้นมาแล้ว! โดยเฉพาะประชากรดั้งเดิมของแดนอสุราเหล่านั้น
เพราะอะไร?
เพราะอะไรถึงทำแบบนี้?
อารมณ์ของฝูงชนปั่นป่วน ตะโกนถามด้วยความโกรธ คำถามประณามอย่างโกรธเคืองมากมายกลายเป็นกระแสหลักของเสียงโหวกเหวกโวยวาย ท่วมท้นไปทั่วจัตุรัสราชธรรม
มีผู้บำเพ็ญที่วรยุทธ์สูงส่งจำนวนหนึ่งพุ่งทะยานเข้ามา หมายจะสับจู๋ตู๋ชิงให้เละเป็นเนื้อบด ล้างแค้นให้ญาติมิตรที่สิ้นชีพไปแล้ว
จู๋ตู๋ชิงกลับคล้ายว่าไม่แยแสเลย เพียงโบกแขนเสื้อใส่คนที่พุ่งเข้ามาเหล่านั้น คลื่นแสงหลายสายพุ่งออกมาจากแขนเสื้อเขา ปะทะกับคนที่โผเข้ามาเหล่านั้น
คลื่นแสงเป็นสีแดงอมส้ม เจิดจ้ายิ่งนัก
ราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องการจะโอบคลุมเหล่าผู้ศรัทธาของมัน
คนที่โผเข้ามาเหล่านั้นทุกคนเพียงรู้สึกตะลึงตะลาน รู้สึกรางๆ ว่าภายในคลื่นแสงแดงอมส้มนี้คือแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเสาะแสวงหาด้วยความยากลำบาก ใบหน้าเผยรอยยิ้มโหยหาไม่หลบเลี่ยง กลับอ้าแขนต้อนรับสิ่งที่เข้ามา
แต่ในสายตาของคนที่มุงดูอยู่แล้ว ภายในคลื่นแสงแดงอมส้มเหล่านั้นมีใบมีดแหลมคมอยู่นับไม่ถ้วน มากพอจะบดขยี้สิ่งที่มันเข้าครอบคลุมให้กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยได้ สู้ไม่ได้เลย!
เมื่อเห็นคนเหล่านั้นกำลังจะโผเข้าไปในคลื่นแดงแดงอมส้ม ฝูงชนที่มุงดูอยู่ก็ส่งเสียงอุทาน!
เพียงแต่พวกเขาเพิ่งจะร้องอุทาน คลื่นแสงสีรุ้งหลายสายพลันปรากฏขึ้นมา แยกกันเข้าปะทะคลื่นแสงแดงอมส้มเหล่านั้น
คลื่นแสงปะทะกัน เกิดเสียงระเบิดกึกก้องอยู่หลายครั้ง สั่นสะเทือนผู้คนให้ถอยร่นไปหลายก้าว
คนที่โผเข้าใส่เหล่านั้นอยู่ใกล้ แทบจะถูกสะเทือนไปทั้งร่างแล้ว!
ตอนที่พวกเขาลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง คลื่นแสงสลายไปแล้ว ทิ้งหลุมใหญ่หลายแห่งและเสาศิลาที่ถูกสะบั้นหักกองหนึ่งไว้ตรงจุดเดิม
ส่วนที่ถูกสะบั้นออกไปของเสาศิลาแตกกระจายแล้ว ที่น่าประหลาดคือท่ามกลางเศษซากมีหนอนสีแดงอมส้มนับไม่ถ้วนดีดดิ้นอยู่ แต่ละตัวมีขนาดเท่าข้าวสารครึ่งเม็ด ถ้าไม่มองให้ละเอียดคงนึกว่าเป็นควันสีแดงอมส้ม…
ชัดเจนยิ่งนัก สิ่งเหล่านี้ตกค้างมาจากฝ่ามือนั้นของจู๋ตู๋ชิง
หากมิใช่แสงสีรุ้งนั้นสกัดแสงแดงอมส้มเอาไว้ คนที่โผเข้าไปเหล่านั้นคงกลายเป็นซากเนื้อแล้ว…
แทบทุกคนต่างสูดหายใจเย็นเยียบเฮือกหนึ่ง ไม่กล้าบุ่มบ่ามอีกต่อไป
จู๋ตู๋ชิงเชิดหน้ายิ้มแวบหนึ่ง
“ตี้ฝูอี ไม่นึกเลยว่าพลังยุทธ์ของเจ้าจะฟื้นฟูกลับมารวดเร็วปานนี้ เพียงแต่ เจ้าจะช่วยพวกเขาได้สักกี่หนเล่า?”
พลันหัวเราะฮ่าๆ เรือนกายโยกไหวคราหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อโบกพลิ้ว ลำแสงสีแดงอมส้มนับไม่ถ้วนพุ่งสู่ภายนอก
เพียงแต่ สิ่งที่เขาสะบัดคราวนี้มิใช่มนุษย์ แต่เป็นกระถางสัมฤทธิ์ใหญ่แปดใบนั้น…
มีเสียงกรีดร้องเสียดแหลมแว่วออกมาจากภายในกระถางสัมฤทธิ์แปดใบที่ลุกไหม้อยู่ มีควันล่องลอยออกมาจากกระถางสัมฤทธิ์แต่ละใบ ควันแต่ละสีรวมตัวกันกลางอากาศอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปลักษณ์แปลกพิสดารตัวแล้วตัวเล่า…
เทาเที่ย ปี้ฟาง เฝยเฝย แรดแยกนภา ฉงฉี…สัตว์ร้ายบรรพกาลแหล่านั้นอยู่ภายในโลหิตที่กำลังเดือดพล่านในกระถางสัมฤทธิ์
พวกมันปรากฏขึ้นในสภาพกึ่งกายเนื้อ ดูเหมือนพวกมันจะเจ็บปวดทรมานอย่างสุดขีด พอปรากฏตัวขึ้นมาก็คำรามโหยหวน กระโจนเข้าใส่ฝูงชนอย่างบ้าคลั่ง!
คนที่อยู่ในพื้นที่มีเหยียบหมื่น มีสัตว์ร้ายเช่นนี้ตัวเดียวก็เพียงพอจะทำลายล้างฟ้าดินได้แล้ว นับประสาอะไรกับโผล่มาหลายตัวเช่นนี้เล่า?
เหล่าชาวบ้านแตกตื่นแล้ว หลบหนีตามสัญชาตญาณ!
แต่หนีไปได้ไม่กี่สิบก้าว ก็สัมผัสถึงความผิดปกติได้
ฝ่าเท้าของพวกเขาราวกับติดอยู่ในหล่มโคลน วิ่งไม่ออกเลย!
ทำได้เพียงเบิกตามองสัตว์ร้ายเหล่านั้นที่บ้างก็พ่นทรายเหลืองคลุมฟ้า บ้างก็ก่อพายุสลาตัน บ้างก็ก่อคลื่นน้ำ บ้างก็พ่นไฟออกมา…
ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนติดอยู่ในพื้นที่ขนาดหนึ่งชุ่น เสียงกรีดร้อง เสียงร่ำไห้ เสียงเด็กโหยสตรีหวน ดังระงมไปทั่ว
ทั่วทั้งจัตุรัสวุ่นวายไปหมด
และท่ามกลางความวุ่นวาย จู๋ตู๋ชิงกู่ร้องเสียงยาว มีเสียงคำรามตอบรับแว่วรางๆ มาแต่ไกล…
————————————————————————————-
บทที่ 2576 ตัวการที่อยู่เบื้องหลัง 2
เสียงคำรามปานฟ้าผ่าที่อยู่ไกลๆ ขยับใกล้เข้ามา เงาดำยาวเฟื้อยสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางนภา และทันทีที่เงาดำสายนี้ปรากฏขึ้นมา รอบข้างพลันมืดมิดลง ดุจรัตติกาลอันมืดมิดที่ยื่นมือแล้วไม่เห็นนิ้ว มีเพียงมันที่ส่องประกาย รูปลักษณ์ของมันคล้ายมังกร เกล็ดทั่วร่างส่องประกายอยู่ในความมืด บนศีรษะของมันมีเขาหนึ่งอัน บนเขาคล้ายมีมุกราตรีเม็ดหนึ่งห้อยอยู่ ส่องสว่างไปทั่วผืนปฐพี
มังกรประทีป!
หัวใจกู้ซีจิ่วดิ่งวาบ จดจำได้
มังกรประทีปตัวนั้นม้วนกลิ้งกลางนภาคราหนึ่ง จู๋ตู๋ชิงก็ยืนอยู่บนร่างของมันแล้ว
ท่ามกลางสายลมอื้ออึงเขาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอีกครั้ง เดิมเขาสวมเสื้อคลุมสีเขียวเข้มตัวหนึ่งอยู่ ทว่ายามนี้เปลี่ยนเป็นสีดำดุจหมึกแล้ว
บนเสื้อคลุมสีดำตัวนั้นคล้ายมีแสงดาราพร่างพราว เมื่ออาภรณ์ปลิวไสวราวกับมีดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องกะพริบอยู่บนร่างของเขา ประกอบกับใต้เท้าของเขาคือมังกรประทีป ทั้งตัวคนเสมือนเมฆาก้อนหนึ่งที่ส่องแสงอยู่ในรัตติกาล มอบความรู้สึกหลอนลวงอันทรงพลังและแปลกประหลาดยิ่งนักอย่างหนึ่ง
เดิมทีประชาชนของที่นี่ก็เกลียดชังเขาจนอยากจะแทะกระดูกอยู่แล้ว แต่ทันทีที่เห็นเขาปรากฏกายเช่นนี้อยู่กลางนภา แทบทุกคนต่างกระวนกระวาย สองขาอ่อนยวบ ปรารถนาจะกราบกรานเขาเหลือเกิน
มีบางคนคุกเข่าคารวะไปแล้ว ดึงให้ลุกขึ้นมาไม่ได้แล้ว
เขาเป็นใคร?! เหตุใดจึงมีอำนาจกล้าแกร่งถึงเพียงนี้?
จู๋ตู๋ชิงที่ปรากฏตัวต่อหน้ากู้ซีจิ่ว ปิดตาข้างหนึ่งเอาไว้ตลอด บางครั้งก็อวดดีบางครั้งก็น่ารัก แต่ตอนนี้ พอเขาสลัดคราบออกไปแล้ว ก็ไม่มีกลิ่นอายของก่อนหน้านี้อยู่เลยสักเสี้ยว ในที่สุดแถบคาดตาก็หายไปหมดแล้ว ทำให้คนมองเห็นรูปโฉมโดยสมบูรณ์ของเขา
เขามีเรือนผมยาวสีดำประกายเงิน ใช้ที่ครอบผมที่คล้ายขนนกสีดำรวบไว้
คราวนี้ไม่ได้ปิดบังรูปโฉมแล้ว แต่อาจเป็นเพราะอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล คนที่อยู่ตรงนี้ยังคงมองเห็นใบหน้าเขาไม่ชัด เพียงสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้สง่างามยิ่งสูงศักดิ์นัก
เขายืนอยู่บนหลังมังกรประทีปทอดมองเบื้องล่าง ราวกับมองมดปลวกที่เกลือกลิ้งอยู่ในหล่มโคลน ดูสูงส่งเหนือปวงชนและหยามหยันยิ่งนัก มุมปากถึงขั้นแต้มรอยยิ้มภาคภูมิไว้
และบนลานกว้าง สัตว์ร้ายมหึมาแปดตัวปิดล้อมคนทั้งหมดอย่างสมบูรณ์แล้ว กำลังมุ่งสู่ใจกลางจัตุรัสทีละชั้นๆ
“นายท่าน ทำยังไงดี?”
เจ้าวังน้อยดึงแขนเสื้ออวิ๋นเยียนหลีไว้แน่น นางกับลูกน้องของนางก็วิ่งไม่ออกเช่นกัน
อวิ๋นเยียนหลีกลับคล้ายวิญญาณหลุดไปแล้ว ยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
หากมิใช่เจ้าวังน้อยดึงเขาหลบออกมาได้ทัน เขาคงถูกเพลิงที่พุ่งสูงเสียดฟ้าม้วนเข้าไปแล้ว
“อวิ๋นเยียนหลี ค่ายกลนี้เจ้าเป็นผู้ก่อ มีวิธีแก้หรือไม่?”
จู่ๆ ตี้ฝูอีก็เปิดปากถาม
อวิ๋นเยียนหลีสะบัดหน้า
“อาศัยสิ่งใดให้ข้าบอกเจ้า?!”
“อันตรายของชาวบ้านเหล่านี้เจ้าไม่แยแสเลยหรือ?”
น้ำเสียงตี้ฝูอีเยียบเย็น
“พวกเขากบฏต่อข้า อาศัยสิ่งใดให้ข้าแยแสพวกเขา?”
อวิ๋นเยียนหลีเถียงกลับไปตามสัญชาตญาณ ทว่านิ้วมือภายในแขนเสื้อกลับสั่นนิดๆ
“เช่นนั้นลูกน้องที่เคยติดตามร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้าเหล่านี้ล่ะ? เจ้าก็ไม่แยแสความเป็นความตายของพวกเขาเหมือนกันรึ?”
อวิ๋นเยียนหลีผงะไปแวบหนึ่ง
“พวกเขา…พวกเขาทรยศข้าแล้ว…”
กล่าวมาถึงส่วนท้ายก็เห็นได้ชัดว่าไม่มั่นใจแล้ว
ตี้ฝูอีมองเขาอย่างเยือกเย็น ไม่เอ่ยวาจา
อวิ๋นเยียนหลีนิ่งไปครู่หนึ่ง กล่าวอย่างโกรธเคือง
“พวกเขาทรยศข้า จะให้ข้าช่วยเหลือพวกเขาโดยไม่ติดใจเรื่องก่อนหน้านี้อีกหรือ?!”
ตี้ฝูอียังคงเงียบงัน และเสียงร่ำไห้ของชาวบ้านรอบข้างก็ดังระงมขึ้นเรื่อยๆ รันทดหมดหวัง ทำให้คนทนฟังต่อไม่ได้
สีหน้าอวิ๋นเยียนหลีซีดเผือด นิ้วมือที่อยู่ในแขนเสื้อกำแน่น!
เขาควบคุมค่ายกลนี้ ตามที่คนในความฝันสอน เพียงสอนวิธีจุดเพลิงเหล่านี้ให้เขาเท่านั้น เขาไม่นึกเลยว่าจะมีสัตว์ร้ายผุดออกมาจากกระถางสัมฤทธิ์เหล่านี้ด้วย…
เขาไม่รู้เลยว่าควรจัดการอย่างไร!
ตอนนี้เขามีใจอยากสู้ทว่าไร้กำลัง!
เสียงโหยไห้แว่วอยู่ในฝูงชน เขามองเห็นเด็กคนหนึ่งถูกสูบเข้าไปในคลื่นทราย กำลังจะถูกเขมือบลงไปต่อหน้า…
————————————————————————————-