บทที่ 2614 จากไป 3
ในชั่วขณะนั้น ธารน้ำลายแห่งความชิงชังแทบจะท่วมอวิ๋นเยียนหลีตายแล้ว
แต่อวิ๋นเยียนหลีกลับหัวรั้นยิ่ง ไม่ว่าคนเหล่านี้จะด่าทออย่างไร เขาก็ทำหูทวนลมไปหมด
เขาเพียงจ้องมองตี้ฝูอี แววตายิ้มหัวยินดี…
ในที่สุดก็เอาคืนอีกฝ่ายได้แล้ว เบิกบานใจขึ้นนิดหน่อยแล้ว…
เพียงแต่ ตี้ฝูอีก็ไม่ปล่อยให้ความเบิกบานในใจของเขาดำเนินอยู่นานนัก เนื่องจากเขาโบกมือให้สัญญาณด้านหลังแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฟิงหรูฮั่วก็คุมตัวคนผู้หนึ่งออกมาจากฝูงชน
คนผู้นี้คือเจ้าวังน้อย
เจ้าวังน้อยก็ทรุดโทรมลงมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะกลับไปแต่งชุดสตรีแล้ว เพียงแต่แต่งตัวเป็นสาวชาวบ้านทั่วไป
หลายวันมานี้นางไม่ได้ทำอื่นใดเลย เพียงตามหาอวิ๋นเยียนหลีเจ้านายของตนอย่างบ้าคลั่ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ก่อกรรมไว้มากมายเกินไป นางเกรงว่าจะถูกจดจำนางได้แล้วมีคนมาล้างแค้น ดังนั้นนางจึงสวมเสื้อผ้าธรรมดาที่ดาษดื่นกลมกลืนเช่นนี้ หลายวันมานี้นางกินไม่ได้นอนไม่หลับ สีหน้าย่อมย่ำแย่ลงเช่นกัน หน้าหมองเปื้อนฝุ่น
หลังจากข่าวที่คู่ตี้ฝูอีสามีภรรยาทำลายผังดาวอันสุดท้ายไปแล้วแพร่ออกไป นางคาดการณ์ว่าอวิ๋นเยียนหลีอาจจะไปดูก็ได้ ดังนั้นจึงโอบอุ้มความหวังอัยน้อยนิดตามมาด้วย
ท่ามกลางฝูงชน ตั้งแต่ต้นจนจบนางสัมผัสถึงตัวตนของอวิ๋นเยียนหลีไม่ได้เลย หัวใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง กลับนึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอีจะคว้าตัวอวิ๋นเยียนหลีออกมาตรงๆ…
นางฝืนข่มความตื่นเต้นแฝงเร้นอยู่ท่ามกลางฝูงชน เตรียมพร้อมหากอวิ๋นเยียนหลีมีอันตราย นางจะพุ่งเข้าไปขวางให้เขาอย่างไม่แยแสความเป็นความตาย
กลับคาดไม่ถึงว่านางยังไม่พบโอกาสเช่นนี้ พลันมีคนซัดฝ่ามือใส่จากด้านหลังคราหนึ่ง…
ทั่วร่างของนางชาหนึบไปหมดแล้ว ฝืนหันกลับไปจึงได้เห็นวงหน้างามเย้ายวนดวงนั้นของเฟิงหรูฮั่ว…
ด้วยเหตุนี้ นางจึงถูกผลักออกมา งูตัวนั้นที่พันอยู่บนข้อมือของเฟิงหรูฮั่วยามนี้เลื้อยพันอยู่บนคอนาง จุดที่งูเชิดหัวขู่ฟ่อๆ ใส่อยู่คือเส้นเลือดแดงที่เต้นตุบๆ ของนาง…
เจ้าวังน้อยไม่มีข้อสงสัยเลย งูตัวนี้กัดคำเดียวก็เอาชีวิตนางได้แล้ว
อวิ๋นเยียนหลีขมวดคิ้วนิดๆ
“ตี้ฝูอี เจ้าผลักนางออกมาทำไม?!”
“ข่มขู่เจ้า”
ตี้ฝูอีตอบตรงยิ่งนัก
“ตอนนี้เจ้าเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งแล้ว ยังใช้อุบายต่ำช้าเช่นนี้อีกหรือ?!”
“หากว่าเจ้าไม่พูด ผู้ทรงสิทธิ์อย่างข้าสามารถต่ำช้าได้ยิ่งกว่านี้อีก”
ตี้ฝูอีตอบอย่างเป็นธรรมชาติ
อวิ๋นเยียนหลีพูดไม่ออกเลย
เขายิ้มหยัน
“นางนับเป็นตัวอันใดกัน? เป็นเพียงสุนัขรับใช้ที่ค่อนข้างมีประโยชน์ตัวหนึ่งของข้าเท่านั้น เจ้าคิดว่าเจ้าจะใช้สุนัขตัวหนึ่งมาข่มขู่ข้าได้หรือ?”
ใบหน้าพริ้มเพราของเจ้าวังน้อยซีดเผือดแล้ว มองอวิ๋นเยียนหลีอย่างไม่อยากเชื่อ มือที่อยู่ในแขนเสื้อสั่นเทานิดๆ
เขาเห็นนางเป็นเพียงสุนัขรับใช้หรือ?!
เขาเคยบอกเอาไว้ชัดๆ ว่านางคือสหายของเขา ถึงขั้นที่รับปากไว้ด้วยว่าจะแต่งนางเป็นภรรยาอย่างชอบธรรม
ที่แท้ล้วนหลอกลวงนางทั้งสิ้น!
เขาเห็นนางเป็นเพียงสุนัขรับใช้ที่มีประโยชน์ตัวหนึ่งเท่านั้น…
เจ้าวังน้อยนัยน์ตาแดงเรื่อแล้ว จ้องอวิ๋นเยียนหลีเขม็ง
อวิ๋นเยียนหลีกลับไม่มองนางเลย ละสายตาไปทันที
ในที่สุดเจ้าวังน้อยก็เปิดปากแล้ว เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
“อวิ๋นเยียนหลี ท่านเห็นข้าเป็นสุนัขหรือ?”
อวิ๋นเยียนหลีหลับตาลงนิดๆ ไม่ตอบคำถามของนาง
และเมื่อไม่พูดก็เป็นการยอมรับไปโดยปริยาย เจ้าวังน้อยผิดหวังกว่าเดิม จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา
“ดี! ดี!”
พลันก้มหน้าลงไป อ้าปากหมายจะกัดลงไปบนหัวของอสรพิษแดงที่พันอยู่ข้างลำคอนาง!
งูแดงมีพิษร้ายแรง ถูกมันกัดทีเดียวก็ถึงฆาตแล้ว แต่นางกลับคิดจะกัดงูแดง เห็นได้ว่าเป็นการหาที่ตาย…
อวิ๋นเยียนหลีหน้าเปลี่ยนสีทันที สะกิดปลายเท้า คล้ายคิดจะโผเข้ามา
แต่ตี้ฝูอีไวกว่าเขา กระแสดัชนีสายหนึ่งพุ่งเข้ามาก่อน ดีดหัวงูแดงให้เบี่ยงออกจากการปะทะกับเจ้าวังน้อยที่อ้าปากกว้างคอยท่าแล้ว…
การกัดครานี้ของเจ้าวังน้อยย่อมคว้าน้ำเหลว โชคดีที่เฟิงหรูฮั่วก็ตอบสนองว่องไว ลงมือสกัดจุดเจ้าวังน้อยได้ทันเวลา กันไม่ให้นางทำเรื่องโง่เขลาอีกเป็นหนที่สอง
————————————————————————————-
บทที่ 2615 จากไป 4
น่าขัน เรื่องที่นายท่านต้องการกลับสู่ดินแดนเบื้องบนยังไม่ได้ข้อสรุป จะปล่อยให้ตัวประกันตายไปเช่นนี้ได้อย่างไร?
ส่วนอวิ๋นเยียนหลีที่เมื่อครู่ขยับตัวอย่างกะทันหัน ก็เผยจิตใจที่แท้จริงของเขาออกมาแล้ว เขาใส่ใจเจ้าวังน้อย! อย่างน้อยก็ไม่อยากให้นางตาย…
เขามองไปที่ตี้ฝูอีอีกครั้ง มองเห็นความกระจ่างในแววตาของอีกฝ่าย
เขากับตี้ฝูอีล้วนเป็นคนฉลาด และการต่อสู้ระหว่างคนฉลาดกับคนฉลาดก็ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายออกกระบวนท่าทั้งหมด
เขาสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ยอมพูดแล้ว
“ข้าสามารถพาพวกเจ้าไปได้ แต่เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
“ว่ามา!”
“เมื่อพวกเจ้าพบจู๋ตู๋ชิงและจะทำศึกตัดสินกับเขา ต้องอนุญาตให้ข้าร่วมศึกด้วย!”
ตี้ฝูอีมองเขาแวบหนึ่ง
“ถ้าเกิดเจ้าเข้าร่วมศึกในสภาพเช่นนี้จริง เจ้าจะมิใช่พลศึกที่ไร้ค่าหรอกหรือ?”
ในอนาคตระหว่างเขากับจู๋ตู๋ชิงจะต้องเกิดศึกชี้ชะตาแน่นอน แต่ในศึกใหญ่เช่นนั้นย่อมจะสะท้านสะเทือนเลือนลั่น เกรงว่าคนอื่นจะไม่มีทางสอดมือเข้าไปได้…
ส่วนอวิ๋นเยียนหลีถึงอย่างก็แขนด้วนไปข้างหนึ่งแล้ว นับว่าไร้สมรรถภาพแล้ว หากเขาเข้าร่วมดังว่า จะเป็นเพียงตัวรับเคราะห์จากการต่อสู้ของคนทั้งสอง…
อวิ๋นเยียนหลีเม้มริมฝีปากบางนิดๆ โบกแขนซ้ายของตน
“ลืมบอกเจ้าไป อันที่จริงข้าถนัดซ้ายมาโดยตลอด กระบี่มือซ้ายเลิศล้ำกว่ากระบี่มือขวา ถ้าไม่วางใจ เจ้าสามารถประมือกับข้าที่นี่ดูก่อนสักสองสามกระบวนท่าได้”
ตี้ฝูอีคร้านจะประมือกับเขา ตอนนี้เขาร้อนใจอยากกลับไปอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงตอบรับเงื่อนไขของอวิ๋นเยียนหลี
อวิ๋นเยียนหลีถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ดีมาก เช่นนั้นหนนี้ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย”
“นายท่าน ข้าน้อยจะไปด้วย!”
“นายท่าน ยังมีข้าน้อยด้วย…”
พวกเฟิงหรูฮั่วพากันแสดงความเห็น พวกเขาไม่อยากแยกจากตี้ฝูอีผู้เป็นนาย ต้องการติดตามอยู่ข้างกายของเขา ไปทำลายล้างเจ้าไผ่ใจดำผู้นั้นด้วย
เพียงแต่ตี้ฝูอีไม่เห็นด้วย
พวกเฟิงหรูฮั่วล้วนเป็นชาวมารที่ถือกำเนิดเติบโตในแดนอสุรา ถ้าออกจากแดนอสุรา เกรงว่าจะปรับตัวให้เข้ากับสภาวะของดินแดนเบื้องบนไม่ได้ ไอวิญญาณของดินแดนเบื้องบนสำหรับพวกเขาเหล่านี้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจเป็นพิษทะลวงไส้ก็ได้
พวกเฟิงหรูฮั่วไม่กล้าคัดค้านเขา สบตากันแวบหนึ่ง ได้แต่ถอยไปอย่างหงอยๆ
“แน่นอนว่าอย่าลืมข้าด้วย สถานที่ผีสางแห่งนี้ข้าอยู่มาพอแล้ว! นายท่าน ต้องพาข้าไปด้วยนะ”
คุนเสวี่ยอี๋ก้าวเข้ามา ในมือยังจูงตี้เฮ่ามาด้วย
ส่วนตี้เฮ่าก็จูงเซี่ยจื้อของเขามาอีกที
เนื่องจากบรรลุเป้าหมายแล้ว เฟิงหรูฮั่วจึงซัดฝ่ามือคลายจุดให้เจ้าวังน้อยผู้เป็นตัวประกัน ปล่อยนางเป็นอิสระ
ในที่สุดเจ้าวังน้อยก็เข้าใจแล้วว่าอวิ๋นเยียนหลียังคงห่วงใยนาง รีบก้าวเข้ามาหา
“นายท่าน ข้าน้อยก็จะติดตามท่านกลับดินแดนเบื้องบน”
“หมิงเตี๋ย ข้าไม่ใช่นายของเจ้าอีกแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องติดตามข้าอีก!”
อวิ๋นเยียนหลีปฏิเสธเสียงเยียบเย็น
เขาไม่มีความรู้สึกในเชิงนั้นต่อเจ้าวังน้อยเลยจริงๆ เดิมแต่ก่อนก็แค่ใช้ประโยชน์เท่านั้น
แน่นอน เนื่องจากนางภักดีต่อเขา พอนานวันเข้า เขาก็มองเจ้าวังน้อยเป็นสหายไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ก็เป็นเพียงเท่านี้
ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้เขาเป็นคนตกอับแล้ว ไม่มีใจใฝ่ครองใต้หล้าแล้ว วันหน้าย่อมมอบตำแหน่งนางสนมให้เจ้าวังน้อยไม่ได้แล้ว เขาไม่อยากถ่วงรั้งนางเอาไว้อีก อยากให้นางเป็นอิสระ
เจ้าวังน้อยหน้าซีดเผือด ทราบว่าอวิ๋นเยียนหลีพูดคำไหนคำนั้นเสมอมา แม้ว่าในใจจะไม่ยินยอมยิ่งนัก ก็ไม่กล้าโต้แย้งอยู่ดี เบิกตามองอวิ๋นเยียนหลีร่ายอาคมอยู่ตรงนั้น เปิดเส้นทางสู่ดินแดนเบื้องบน เงาร่างของเขาค่อยๆ หายเข้าไปในเส้นทาง เจ้าวังน้อยหลุบตาลงนิดๆ กำมือแน่น
“เจ้าก็อยากตามขึ้นไปเหมือนกันใช่ไหม?”
เฟิงหรูฮั่วขยับเข้ามาใกล้นาง
“เขาไม่อยากให้ข้าตามไป…”
“โง่งม เขาไม่ให้ตามเจ้าก็ไม่ตามหรือ? การไล่ตามบุรุษมิใช่การไล่ตามเช่นนี้ เจ้าต้องหัดเรียนรู้ที่จะแอบไล่ตามบ้าง ภาษิตกล่าวไว้ บุรุษไล่ตามสตรีคั่นขวางด้วยขุนเขา สตรีไล่ตามบุรุษคั่นเพียงเส้นไหม…”
เฟิงหรูฮั่วเริ่มทำตัวเป็นพี่สาวผู้เข้าอกเข้าใจ
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่อะไรเลย เจ้าก็แค่พูดมาว่าเจ้าอยากตามไปไหม!”
“อยาก! แต่ว่ากำลังของข้ามีจำกัด เปิดเส้นทางนั้นไม่ได้…”
“ไม่เป็นไร เจ้ารู้วิธีเปิดเส้นทางก็พอแล้ว ที่เหลือพวกเราสามารถช่วยเจ้าได้…”
เฟิงหรูฮั่วค่อยๆ โน้มน้าว
“ความจริงพวกเจ้าก็อยากตามไปเช่นกันกระมัง!”
ในที่สุดปฏิกิริยาตอบสนองของเจ้าวังน้อยก็กลับมาแล้ว
เฟิงหรูฮั่วดีดนิ้วดังเปาะ
“ฉลาด! ดังนั้นพวกเราก็ไม่ได้ช่วยเจ้าเปล่าๆ นับว่าพวกเราช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นอย่างไร? เจ้าจะทำไหม?”
เจ้าวังน้อยใคร่ครวญอยู่ถึงหนึ่งก้านธูปเต็มๆ ในที่สุดก็เอ่ยออกมาคำหนึ่ง
“ทำ!”
เฟิงหรูฮั่วยิ้มแย้มแล้ว
“ดีมาก ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน พวกเราเริ่มกันเถอะ!”
เจ้าวังน้อยกลับส่ายหน้า
“ตอนนี้ยังไม่ได้ จะเปิดเส้นทางนั้นต้องการวัตถุดิบพิเศษ ข้าจะไปเก็บมา อีกสิบวันให้หลังพวกเราค่อยมารวมตัวกันที่นี่”
เอาเถอะ! สิบวันก็สิบวัน อาหารเลิศรสไม่หน่ายที่ต้องรอ ขอเพียงได้ไปก็พอแล้ว…